ซ่งอี้เฉินรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่ผิดปกติ
เกิดเื่ที่ตำหนักหลัง ขณะที่ลี่เจาอี๋ป่วย ซูเฟยผู้ดูแลตำหนักหลังไม่ได้อยู่พอดี ซึ่งเป็เื่บังเอิญถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
เห็นได้ชัดว่าเื่นี้มีจุดประสงค์เพื่อดึงดูดความสนใจของเขา หรือว่า.....จะเป็นาง?
ดวงตาของเขาเป็ประกายและมีความอ่อนโยนอยู่ภายในจนทำให้สตรีในแผ่นดินต่างรู้สึกหวั่นไหว “อวี้เอ๋อร์ของเจิ้นช่างจิตใจดีใสซื่อบริสุทธิ์ ไม่มีเจิ้นคอยปกป้องไม่ได้จริงๆ......”
ความเอ็นดูโปรดปรานเช่นนี้คล้ายรักแท้ ทว่าน่าเสียดายที่มันเป็การแสดง นางไม่เคยลืมว่ามือของเขาเคยเปื้อนเืของคนที่เขารัก
นางยังคงยิ้มเคล้าน้ำตาและยังเห็นรอยยิ้มอันแสนอ่อนหวานจากมุมปากของนาง ประหนึ่งดอกอุทุมพรที่เบ่งบานยามค่ำคืนอันมืดมน ่เวลาแห่งความงามอันอ่อนเยาว์ของมันเพียงพอที่จะทำให้ผู้คนหลงใหล
เห็นได้ชัดว่ามันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทว่าเหตุใดจึงได้คล้ายกันมากถึงเพียงนี้ ซ่งอี้เฉินพึมพำเสียงเบา “เหมือนมาก......”
เหมือนฮวารั่วซีหรือ? เหยียนอู๋อวี้พูดเสริมอยู่ภายในใจ จากนั้นรอยยิ้มที่มุมปากพลันสดใสขึ้น
บุรุษผู้นี้ช่างโหดร้ายยิ่งนัก
ยามนั้นซ่งอี้เฉินรักฮวารั่วซีมากเสียจนถอนตัวไม่ขึ้น เพื่อฮวารั่วซีแล้วเขายอมสละทุกสิ่งทุกอย่างได้ แม้กระทั่งแผ่นดินของเขาเอง
อย่างไรก็ตามเมื่อเขาได้แผ่นดิน และได้ลิ้มรสชาติของอำนาจแล้ว เขากลับเปลี่ยนไปเป็อีกคนหนึ่ง
ยามนี้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินของเขา ฮวารั่วซีจึงกลายเป็คู่รักที่ถูกหมางเมิน
ไม่ว่าเขาจะเ็าต่อฮวารั่วซีมากเพียงใด ก็เทียบกับสิ่งที่เขาปฏิบัติกับนางในครานั้นไม่ได้
ในยามนั้นสิ่งที่ซ่งอี้เฉินปฏิบัติต่ออวิ๋นอู๋เหยียน นอกจากหลอกใช้นางแล้วก็มีเพียงความเ็าเท่านั้น ทั้งเขายังเอ่ยต่อหน้านางว่า ‘ความสำคัญในการมีชีวิตของเ้าล้วนเป็เพราะตระกูลอวิ๋น’ ถึงกระนั้นนางก็ยังคงอยู่เคียงข้างเขาเพราะความลุ่มหลง
ทุกครั้งที่นางขี่ม้าออกต่อสู้เพื่อเขา เขาจะมองนางด้วยสายตาเ็าและไม่เคยกล่าวขอบคุณสักคำ
สี่ปีที่เป็คู่รักร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ร่วมเรียงเคียงหมอนกันนับพันวัน ผ่านสถานการณ์สิ้นหวังมานับครั้งไม่ถ้วน เพื่อแลกกับคำพูดของเขาที่ว่า ‘ข้าเฝ้ารอหวังว่าเ้าจะตายในสนามรบแทบทุกเมื่อเชื่อวัน!’
ต่อมาเกิดฏขึ้นที่ชายแดน นางนำพากองทัพเข้าสู่สนามรบที่นองเื เสบียงเสริมจากทัพหลังผิดปกติและกำลังเสริมที่ล่าช้า ทว่าอย่างไรก็ตามนางและทหารของนางยังคงได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่จากสนามรบที่โหดร้ายนี้
ขณะที่นางกลับมา ซ่งอี้เฉินกลับใช้กระบี่ของเขาแทงทะลุหัวใจนาง ทหารที่ติดตามนางล้วนตายตกจากลูกธนูตามคำสั่งของไทเฮา
ซ่งอี้เฉิน!
เ้าทรยศตระกูลอวิ๋นของข้า เสด็จแม่ของเ้าก็ทรยศต่อเหล่าทหารของข้า!
ข้าจะให้เ้าชดใช้หนี้เื!
“อวี้เอ๋อร์ขมวดคิ้วเช่นนี้ กำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือ?” เวลานี้ น้ำเสียงที่อ่อนโยนของซ่งอี้เฉินทำให้นางกลับคืนสู่โลกของความเป็จริง
เหยียนอู๋อวี้ก้มศีรษะพลางเอ่ยว่า “กำลังคิดว่าคำพูดของฝ่าา อวี้เอ๋อร์ทั้งมีความสุขและทั้งรู้สึกเศร้าใจเพคะ”
“เศร้าหรือ?”
“หม่อมฉันเกรงว่าพี่หญิงคนอื่นจะไม่พอใจเพคะ”
“กลัวว่าพวกนางจะทำร้ายเ้าเช่นนั้นหรือ?” ซ่งอี้เฉินโอบกอดนางพร้อมกล่าวว่า “เจิ้นบอกไปแล้ว เจิ้นจะปกป้องเ้าเอง”
“ขอบพระทัยฝ่าาเพคะ” เหยียนอู๋อวี้ใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ดังกล่าวโน้มตัวแนบซบอกของซ่งอี้เฉินพร้อมยกยิ้มมุมปากกระหายเื
ในคืนนั้น ความโปรดปรานของซ่งอี้เฉินที่มีต่อเหยียนอู๋อวี้แพร่สะพัดไปทั่ววังหลวง มีข่าวลือว่าซ่งอี้เฉินเป็พยานให้เหยียนอู๋อวี้ด้วยตนเอง โดยปฏิเสธข้อกล่าวหาและยืนกรานให้หมอหลวงตามหาฆาตกรตัวจริง เพื่อคืนความยุติธรรมให้แก่นาง อีกทั้งเขายังคอยดูแลปลอบใจนางตลอดทั้งคืนด้วยตนเองอีกด้วย ซึ่งนับเป็การให้เกียรติและแสดงความโปรดปรานอย่างหาที่สุดมิได้
ทว่าเหยียนอู๋อวี้กลับนอนไม่หลับ
ยังคงเป็ความฝันเดิมที่นางกับซ่งอี้เฉินเผชิญหน้ากัน
เมื่อกระบี่แทงเข้าไปในหน้าอกของนาง นางพลันลืมตาตื่นขึ้นทันที และพบว่าไม่มีผู้ใดอยู่ข้างกายนางแล้ว
“ป้าโฉ่ว!”
เหยียนอู๋อวี้ส่งเสียงเรียกด้วยน้ำเสียงแหบต่ำ
ไม่นานผู้ที่อยู่นอกประตูพลันรีบเปิดประตูเข้ามา
นางได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าแ่เบาจากนั้นป้าโฉ่วก็ปรากฏตัวเบื้องหน้านาง
“นายหญิง ข้าเตรียมทุกอย่างไว้ให้ท่านแล้ว” ยังคงเป็น้ำเสียงชราดังเดิม
เหยียนอู๋อวี้มิได้เอ่ยอันใดมากนัก ในขณะที่ป้าโฉ่วกำลังพยุงนางลุกขึ้น
ทันใดนั้นสีหน้าของนางพลันเผยให้เห็นถึงความเ็ป ร่างกายของนางสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้
โชคดีที่ป้าโฉ่วสังเกตเห็นได้ทันจึงเข้าไปช่วยประคองนางอย่างรวดเร็ว
“ร่างกายของข้าแย่ลงเรื่อยๆ” เหยียนอู๋อวี้ยิ้มอย่างขมขื่น พยายามปิดบังหัวใจที่ปวดร้าว อาการวิงเวียนศีรษะเป็เพียงสัญญาณเตือนว่าสถานการณ์ต่อไปภายหน้าจะย่ำแย่ลงไปอีก และนางมีเวลาไม่มากนัก
ป้าโฉ่วออกแรงช่วยประคองนางเดินไปที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งทีละก้าว ทีละก้าว
เมื่อมองภาพสะท้อนของสตรีเลอโฉมในกระจกแล้ว พบว่านางงดงามหยาดเยิ้ม ทุกรอยยิ้มของนางเต็มไปด้วยเสน่ห์เย้ายวน แม้ว่าจะมีความรู้สึกเศร้าเล็กน้อย ทว่าก็ราวกับสตรีงามไซซีที่กำลังครุ่นคิด ยากจะพรรณนา
“เ้าพอรู้สิ่งใดเกี่ยวกับพิษเมื่อวานหรือไม่?” เหยียนอู๋อวี้เอ่ยถามเสียงต่ำ
“แม้ว่าข้าติดตามอาจารย์มาหลายปี ทว่าพิษที่ไม่มีสีและไม่มีกลิ่นในโลกนี้มีเพียงชนิดเดียวคือ ‘หยิ่นอู๋!”
ป้าโฉ่วแอบสังเกตอาหารอยู่นานแล้ว ดังนั้นนางจึงมีข้อสรุปอยู่ภายในใจ
เพียงแต่นางยังมีจุดหนึ่งที่ไม่เข้าใจ
หยิ่นอู๋เมื่อเริ่มออกอาการจะใช้เวลานาน สำหรับผู้ที่ร่างกายไม่แข็งแรงอาการจะกำเริบอย่างน้อยใช้เวลาเจ็ดวัน มากสุดสี่สิบเก้าวันสำหรับผู้ที่ร่างกายแข็งแรง
ทว่าเหตุใดจึงบังเอิญเช่นนี้? พิษกำเริบเมื่อวานพอดิบพอดี
หลังจากแสดงความสงสัยที่เก็บอยู่ในใจออกมา ป้าโฉ่วก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก
ใบหน้าของเหยียนอู๋อวี้ในเวลานี้มีเส้นเืสีแดงปรากฏขึ้นเป็จำนวนมากอีกครั้ง ทำให้รูปโฉมที่งดงามแปรเปลี่ยนเป็ดุร้ายและน่าหวาดกลัวทันที
ทว่าสิ่งเหล่านี้ยังไม่เพียงพอต่อการค้นหาความจริง หากนาง้าสืบให้รู้ความจริง นางต้องค่อยๆ ไต่เต้าให้สูงขึ้นยิ่งกว่านี้
ครั้นเมื่อนางไปถึงจุดสูงสุดก็จะรู้ความจริงทุกอย่างเอง
“นายหญิง ่นี้นายหญิงควรใช้ยาให้น้อยลง! ข้าน้อยเกรงว่าร่างกายของนายหญิงจะทนรับไม่ไหวเ้าค่ะ” ป้าโฉ่วกล่าวอย่างจริงใจ ขณะหันไปมองใบหน้าของเหยียนอู๋อวี้ที่ทำให้ทุกคนต้องประหลาดใจ
การกินยาบ่อยเกินไป หรือเกินปริมาณที่กำหนดจะยิ่งทำให้ชีวิตเหยียนอู๋อวี้สั้นลง
“ตามที่เ้าบอก” เมื่อไม่กี่วันก่อนเหยียนอู๋อวี้ได้กล่าวว่านางจะใช้ความเ็ปนี้เพื่อเตือนตัวเอง ทว่าจู่ๆ กลับเปลี่ยนใจ
สตรีในตำหนักหลังทุกคนต่างต้องอดทนกันอย่างถึงที่สุด ดังนั้นนางเองก็ต้องใช้เวลาต่อสู้กับพวกนางมากยิ่งขึ้น
ภายในห้องกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง มีเพียงเสียงของหวีที่สางเส้นผมเป็ครั้งคราว
ทันใดนั้นพลันมีเสียง ‘ตึงตึง’ ดังจากด้านนอก
พร้อมกับเสียงของซูอิ่งที่ดังตามมา “นายหญิง ซูเฟยให้คนมาเชิญนายหญิงไปพูดคุยซักถามที่ตำหนักิ่ซิ่วเ้าค่ะ”
ฮวารั่วซี? แววตาของเหยียนอู๋อวี้เกิดประกายระแวดระวังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ฮวารั่วซีเรียกหานางเพื่อการใด? หรือเป็เพราะเื่เมื่อคืน?
นายบ่าวทั้งสองไม่รอช้า หลังจากจัดการทุกสิ่งเรียบร้อยจึงรีบไปที่ตำหนักิ่ซิ่วทันที
ไม่คาดคิดว่า ทันทีที่ทั้งสองมาถึงหน้าประตูกลับมีขันทีเข้ามาขวาง ขันทีผู้นั้นแสดงสีหน้าหยิ่งยโสยิ่งนักพลางเอ่ยว่า “ซูเฟยกำลังเสวยพระกระยาหาร สนมเหยียนโปรดรออยู่ด้านนอกกระทั่งพระสนมเสวยพระกระยาหารเสร็จแล้ว สนมเหยียนจึงเข้าพบได้ขอรับ”
เหยียนอู๋อวี้หยุดฝีเท้าและจ้องหน้าขันทีผู้นั้น
เหยียนอู๋อวี้รู้อยู่แก่ใจดีว่า ยามนี้นางมีรูปลักษณ์ ‘จิตใจที่บริสุทธิ์และไม่ต่อสู้แย่งชิงกับผู้ใด’ ดังนั้นนางจึงต้องแสร้งทำเป็ ‘ยอมจำนน’ เป็ธรรมดา หากนาง ‘อาศัยความโปรดปรานแล้วหยิ่งผยอง’ กลับจะยิ่งดึงดูดฝ่ายตรงข้ามที่แอบอยู่ในเงามืดมากขึ้นอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นคงยากที่จะป้องกันแล้ว
หลังจากนางมองขันทีที่เฝ้าประตูตรงหน้า นางจึงเลิกคิ้วพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงแ่เบาว่า “ในเมื่อพี่หญิงกำลังเสวยอยู่ เช่นนั้นข้าก็จะรอ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้