แสงของเช้าวันใหม่ค่อย ๆ โรยตัวลงสู่หมู่บ้านม่อหวนเสียงนกร้องแ่เบา คลอเคล้าไปกับเสียงฝีเท้าของเด็กน้อยผู้หนึ่งที่กำลังวิ่งเล่นไปทั่วลานดินหลานจิ่วอวิ๋น ยังคงไร้เดียงสาดังเช่นเด็กในวัยเดียวกันเสียงหัวเราะของเขาดังแว่วไปทั่ว… สดใส… บริสุทธิ์… และเปี่ยมด้วยชีวิต
หลานเยว่ยืนมองอยู่ไม่ไกลใบหน้าเรียบเฉยของนางแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มบางเบาอ่อนโยนประหนึ่งผู้เป็แม่ผู้เฝ้ามองการเติบโตของลูกชายด้วยหัวใจเปี่ยมสุข…หากแต่นั่น ก็เป็เพียง ภาพลวงรอยยิ้มนี้คือหน้ากาก…ฉากหน้าของสตรีผู้เคยดำรงชีวิตในโลกแห่งความตาย
ความรู้สึกภายในของนาง ไม่ต่างจากวันแรกที่ย่างเข้าสู่ร่างนี้ว่างเปล่า... เฉยชา... และเย็นเยียบเพราะแท้จริงแล้ว นางคือนักฆ่าระดับพระกาฬสตรีผู้ดับลมหายใจของศัตรูนับไม่ถ้วนการฆ่าคือสัญชาตญาณการอยู่รอดคือพันธกิจและทุกอารมณ์… ล้วนถูกฝังกลบั้แ่วันที่นางก้าวเข้าสู่โลกแห่งเงา
พลังปราณของโลกใหม่นี้...กลับหลอมรวมกับวิชาสังหารของนางได้อย่างกลมกลืน ราวกับมันถูกสร้างมาเพื่อเธอไม่ต้องฝึกฝน ไม่ต้องไขว่คว้าเพียงแค่ ระลึก และ ลงมือ ทุกอย่างก็กลับคืนมาอย่างสมบูรณ์
ขณะที่สายตาของนางจับจ้องลูกชายผู้วิ่งเล่นอย่างมีความสุขอีกด้านหนึ่งของนางก็กำลัง ฝึกฝน อย่างเงียบงันในมือตะเกียบไม้ที่หักเป็เศษเล็กเศษน้อยนางดีดมันด้วยปลายนิ้วเศษไม้เล็กจิ๋วพุ่งปักแน่นลงบนลำต้นไม้แห้งที่ตั้งอยู่ห่างไปหลายเมตรแม่นยำ… เงียบงัน… รวดเร็วราวกับะุที่ไร้เสียงทุกการกระทำของหลานเยว่ในโลกใหม่นี้คือการ ฝึกภายใต้หน้ากากของมารดา
“หลานจิ่วอวิ๋น... ลูกแม่” เสียงของนางอ่อนโยนอย่างน่าประหลาดแววตาอ่อนแสง รอยยิ้มละมุนละไมจาง ๆ บนใบหน้าเยือกเย็นที่เคยไร้อารมณ์นับวัน... บทบาทของแม่ ที่นางสวมอยู่ก็ยิ่งแเีราวกับมันเป็ส่วนหนึ่งของเธอจริง ๆ
“ท่านแม่!” เสียงใสของเด็กชายดังตอบรับหลานจิ่วอวิ๋นวิ่งมากอดเอวมารดาด้วยความเคยชินและไว้ใจ ใบหน้าเปื้อนยิ้มสดใส…ราวกับโลกทั้งใบปลอดภัยเพียงเพราะมีเธออยู่
“แม่จะเข้าเมืองหลวง” หลานเยว่เอ่ยเบา ๆ “เ้าต้องไม่ดื้อ ไม่ซนนะ... เดี๋ยวเย็นนี้แม่ก็กลับแล้ว”
มือของนางวางบนศีรษะเล็ก ๆ อย่างอ่อนโยนน้ำเสียงนิ่งนุ่ม ฟังแล้วชวนอบอุ่นยิ่งกว่าตะวันอ่อนแสง ในยามที่นางไม่อยู่ ลูกชายของนางไม่เคยโดดเดี่ยวบ้านของผู้นำหมู่บ้านตั้งอยู่ไม่ไกลนักเป็จุดรวมของเด็กทุกวัยไม่ว่าจะเด็กเล็ก เด็กโต ต่างก็มักรวมตัวกันเล่นสนุกอยู่ที่นั่นและผู้นำหมู่บ้านผู้นี้...คือชายชราผู้เมตตา มีใจรักเด็ก และมองว่าคนรุ่นใหม่คืออนาคตของหมู่บ้าน ่เวลากลางวัน ผู้ใหญ่ในหมู่บ้านหลายคนต่างพากันเข้าเมืองหลวงเพื่อหาเลี้ยงชีพ ม่อหวนอาจกันดาร…แต่คนของที่นี่กลับมีน้ำใจ
หลานเยว่เดินออกจากหมู่บ้านม่อหวนโดยแต่งกายเรียบง่าย ราวกับหญิงชาวบ้านทั่วไปผู้จะเข้าเมืองไปทำธุระ หากแต่เื้ัภาพลวงนั้น นางมิได้วางใจหรือวางมือจากสิ่งใดเลย
ภายในแขนเสื้อผ้าหยาบหนานั้น ซ่อนสิ่งหนึ่งไว้แนบกายตะเกียบไม้คู่ใจอาวุธที่ดูธรรมดา แต่เคยปลิดชีพมาแล้วนับไม่ถ้วนเส้นทางเลียบเขาและป่าลึกทอดยาวเบื้องหน้า นางก้าวอย่างมั่นคง ร่างบางเคลื่อนไหวอย่างเป็ธรรมชาติแม้จะผ่านทางแคบหรือเนินชัน ก็ไม่มีแม้ความลังเลในฝีเท้าภาพจำในสมองที่สืบทอดมาจากเ้าของร่างเดิมเส้นทาง หมู่บ้าน ร่องน้ำ ช่องเขาล้วนแจ่มชัดในใจนางตลอดทางมีคนสัญจรผ่านเป็ระยะแต่แล้ว เสียงต่ำ ๆ ก็ดังขึ้นจากเงาไม้ข้างทาง
“ลูกพี่... ท่านดูสตรีนางนั้นสิ งดงามนัก...”ชายหนุ่มรูปร่างผอมแกร็นเอ่ยอย่างตื่นตะลึง ดวงตาหยาบโลนจ้องไปยังร่างของหลานเยว่อีกคนชายร่างใหญ่ที่ดูเป็หัวหน้า เดินตามหลังพลางเหลือบมองตามสายตาของลูกน้อง
“อืม... งามจริง ๆ” เขาตอบเสียงทุ้มต่ำ แววตาเปล่งรัศมีของความอยากกลุ่มชายทั้งห้า…เป็พวกโจรกระจอกที่เที่ยวฉวยโอกาสจากหญิงสาวที่อ่อนแอและมักกลายเป็เหยื่อของพวกมันในป่าเงียบเช่นนี้ ไม่มีใครได้ยินเสียงร้อง ไม่มีใครมาช่วยเหลือและพวกมัน... ก็ชินกับการกระทำต่ำทรามนี้มานักต่อนัก
เวลานี้ สายตาของพวกมันจับจ้องหลานเยว่ราวกับหมาป่าพบลูกแกะหลงทางหาได้รู้ไม่เหยื่อที่พวกมันหมายตา คือ มัจจุราชเงียบงัน
“สาวน้อย เ้ากำลังหลงทางอยู่ใช่หรือไม่…?” เสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างลอยหน้าลอยตา ขณะกลุ่มชายทั้งห้าเดินเข้ามาล้อมนางไว้ราวกับฝูงสุนัขป่าหิวกระหายวงล้อมนั้นค่อย ๆ แคบลงสายตาทุกคู่เต็มไปด้วยความปรารถนาอันหยาบโลนรอยยิ้มบิดเบี้ยวบนใบหน้าที่ไม่สมควรมีคำว่า เมตตาประดับอยู่พวกมันไม่ปิดบังเจตนาเพราะในสายตาของพวกมัน... นางคือเหยื่อผู้ไร้ทางสู้
แต่ในแววตาเรียบสงบของหลานเยว่...กลับไม่มีความตื่นใแม้เพียงนิดนางยืนนิ่ง... ดั่งหินผาริมเหวเงียบงันอย่างเยือกเย็น ราวกับแค่สายลมพัดผ่านแม้นางจะเป็สตรีผู้ไม่ชินกับการแสดงความรู้สึกหัวใจของนางจะด้านชาราวกับไม่มีเืเนื้อแต่ในเื่ของ สัญชาตญาณดิบของมนุษย์...หลานเยว่คือผู้เชี่ยวชาญเหนือผู้ใด
ดวงตาของนางมองพวกมันทีละคน...ไม่ใช่ด้วยความหวาดกลัว แต่กำลังเลือกว่าจะ ฆ่าใครก่อนดี ถึงแม้สัญชาตญาณนักฆ่าจะคำรามภายในอกหลานเยว่… แต่นางก็เลือกที่จะกดมันเอาไว้ นางยิ้มให้พวกมันอย่างอ่อนโยนไม่ใช่เพราะพิศวาสในสายตาโสมมของพวกมันแต่เพราะ…นางกำลัง ฝึกยิ้ม กับคนแปลกหน้าเพื่อที่ในวันหนึ่ง รอยยิ้มแบบนี้จะถูกมอบให้กับบุตรชายของนางอย่างแเีและจริงใจ
“ข้ากำลังจะไปเมืองหลวง… ได้โปรด อย่าทำร้ายข้าเลย”เสียงของนางอ่อนโยน ราบเรียบ ราวกับหญิงสาวชาวบ้านผู้ไม่รู้โลกแต่มันกลับเป็บทฝึก…บทซ้อมสำหรับ การอ่อนโยน ซึ่งนางไม่เคยมีอยู่จริง ในสายตาของหลานเยว่ชายพวกนี้… เปรียบดั่งตุ๊กตาเน่าเปื่อยที่ยังพอมีประโยชน์ในฐานะ เครื่องมือฝึกซ้อม ความเป็แม่
ทว่ารอยยิ้มของนางที่ดูสดใสและบริสุทธิ์กลับกระตุ้นความดิบเถื่อนในตัวพวกมันยิ่งกว่าเดิมเปลวปรารถนาในแววตาเริ่มลุกโชน
“อะไรกัน… นางให้ท่าเรารึเปล่า?” หนึ่งในนั้นกระซิบพลางหัวเราะหึ ๆ ข้างหูอีกคน...สิ่งที่พวกมันเข้าใจ กับสิ่งที่นางทำคือคนละเื่กันโดยสิ้นเชิงราวฟ้ากับเหว มือหยาบกร้านของชายผู้เป็หัวหน้ายื่นออกมาอย่างช้า ๆ นิ้วของมันสั่นด้วยแรงปรารถนา ราวกับพร้อมจะััร่างของหญิงสาวตรงหน้าเพื่อสนองความใคร่ที่ไร้ยางอายแต่ยังไม่ทันปลายนิ้วจะได้เฉียดแตะต้อง
กร๊อบ!! “อ๊ากกก!!”
เสียงกระดูกหักดังสะท้านไปทั่วป่า ตามด้วยเสียงกรีดร้องอย่างโหยหวน ชายร่างใหญ่ทรุดฮวบลงกับพื้น มือข้างนั้นบิดงอผิดรูปจนดูไม่เหมือนของมนุษย์อีกต่อไป
“ล-ลูกพี่!!”
เหล่าลูกน้องส่งเสียงะโอย่างแตกตื่น แต่ก่อนที่พวกมันจะทันได้ชักดาบ หรือแม้แต่ขยับกายหลีกหนี ร่างของหลานเยว่ก็เคลื่อนไหว รวดเร็ว เพียงอึดใจเดียว แขน ขา กระดูกของพวกมัน…ก็แหลกสะบั้น! เสียงร้องแห่งความเ็ประงมไปทั่ว พวกมันดิ้นพราด ๆ อยู่บนพื้นด้วยความทรมาน น่าสมเพชไม่ต่างจากสัตว์ถูกเชือดหลานเยว่มองพวกมัน...ก่อนจะค่อย ๆ ยิ้มออกมา รอยยิ้มนั้นอ่อนโยน อ่อนหวาน...เหมือนแม่ที่กำลังถามลูกว่า กินอิ่มข้าวหรือยัง
“รอยยิ้มของข้า... เป็อย่างไรบ้าง?” นางถามด้วยน้ำเสียงที่แสนจะอ่อนโยน ชายที่เป็หัวหน้าแม้จะน้ำตานองหน้าและเ็ปแทบขาดใจ แต่กลับพยักหน้าหวาด ๆ“สวย...งามนัก แม่นางช่างมีรอยยิ้มที่สดใสยิ่งนัก… ได้โปรด... ได้โปรดเมตตาข้าเถิด…”
“สดใส... ถึงขนาดนั้นเลยหรือ?”เสียงของนางยังคงไพเราะแววตาเปล่งประกายด้วยความไร้เดียงสา… ราวกับหญิงสาวผู้อบอุ่นและไม่ประสาแต่ในวินาทีต่อมาเงาตะเกียบวาบผ่าน
ฉึก! ฉึก! ฉึก!
ตะเกียบคู่ใจของนางพุ่งตรงเข้าสู่ลำคอของพวกมันอย่างแม่นยำ แหลมคมเสียยิ่งกว่าเหล็กกล้าร่างเ่าั้ทรุดฮวบลงในทันทีดวงตาเบิกกว้างลมหายใจ...ดับวูบ สติ...สลายไปตลอดกาล
ท่ามกลางศพที่เอนราบกับพื้นมีเพียงสตรีหนึ่งเดียว ยืนอยู่ท่ามกลางกลิ่นคาวเืและลมยามสายเธอ…คือแม่ผู้ฝึกซ้อม รอยยิ้ม เพื่อมอบให้ลูกและคือ มัจจุราช ผู้ไม่ลังเลแม้แต่วินาทีเดียวที่จะปลิดชีวิตของผู้ที่ก้าวล้ำ
“รอยยิ้มของเราสดใสถึงเพียงนี้… ลูกของเราต้องมีความสุขแน่ ๆ เลย… คิกคิก…”
เสียงหัวเราะของนางแ่เบา อ่อนโยน…ราวกับแม่ผู้เปี่ยมรักแม้ว่าปลายนิ้วของนาง… ยังเปื้อนเือุ่นใหม่ แม้ว่าใต้ฝ่าเท้าของนาง… ยังมีร่างไร้ลมหายใจนอนแน่นิ่งไม่ไหวติง
ดวงตาของหลานเยว่ไม่แม้แต่จะเหลือบมองพวกมันไม่มีคำสั่งลา… ไม่มีแม้แต่ความรู้สึกใด ๆ ผ่านหัวใจราวกับสิ่งที่ล้มตายลงเื้ั… ไม่ต่างจากฝุ่นผงในสายลมนางเพียงแค่ยกมุมปากอีกครั้งสีหน้ายังคงเปี่ยมด้วยความอ่อนโยนเช่นเดิม
และมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงร่างบางของนางก้าวเดินอย่างแ่เบาสีหน้าเบิกบาน รอยยิ้มอ่อนโยนเกือบจะดูอบอุ่นอย่างแท้จริงดูเหมือนว่า… ทักษะการแสดงอารมณ์บนใบหน้า จะพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้