หลิงหลินไม่ได้สนใจในคำพูดของหยางซื่อ เขาเป็คนเลวทรามมาแต่ไหนแต่ไร ในหมู่บ้านยังได้ลวนลามต่อสตรีที่มีสามีเ่าั้ด้วย ไหนเลยจะคิดถึงผลกระทบของการตรวจสอบาแกับหญิงสาวผู้หนึ่งได้? ด้วยบุคลิกที่เห็นแก่ตัวของเขา
ถึงแม้ว่าจะรู้ว่ามีผลกระทบอย่างไรแล้วจะทำไม? ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้สนใจ
หลี่เจิ้งเป็ประเภทเดียวกับหลิงหลิน
ทว่าฉลาดกว่าคนผู้นี้นัก ไม่ได้มีหัวสมองที่เรียบง่ายเหมือนกับหลิงหลิน
เมื่อเห็นหยางซื่อพูดเช่นนี้ เขาก็รู้ว่าไม่สามารถบีบบังคับมากจนเกินไปได้
ถ้าหากเกิดเื่จนถึงแก่ชีวิตขึ้นมาจริงๆ
ตำแหน่งหลี่เจิ้งที่เขาได้มาอย่างยากเย็นก็คงรักษาเอาไว้ไม่ได้แล้ว
“แม่จื่อเซวียน
เ้าไม่ต้องตื่นตระหนกขนาดนี้ พวกเรามีเื่อะไร เหตุใดถึงไม่พูดกันดีๆ เล่า?” หลี่เจิ้งกล่าวด้วยรอยยิ้มตาหยี “เ้าเด็กหนุ่มจื่อชิ่งผู้นั้นาเ็หนัก
จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้สติ ตอนนั้นแม่นางมู่เป็คนสุดท้ายที่เห็นเขา
แน่นอนว่าพวกเราต้องมาหานางเพื่อถามไถ่เื่ราวให้ชัดเจน”
“ท่านลุงหลี่เจิ้ง
ข้าไม่ค่อยเข้าใจความหมายของท่าน ข้ากลับมาก่อนผู้ใด
ตามหลักแล้วควรจะเดินอยู่ด้านหน้า พี่ชิ่งอยู่ด้านหลัง
ข้าจะเป็คนสุดท้ายที่เห็นเขาได้อย่างไร?” หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ได้โง่เขลาที่จะหลงกลแผนการที่หลี่เจิ้งวางไว้
ในมือของพวกเขาไม่มีหลักฐานใด นางก็อยากจะรู้ว่าเขาจะโยนความผิดให้ตัวนางได้อย่างไร
“นี่…”
ทุกคนต่างมองหน้ากัน
หลิงมู่เอ๋อร์พูดมีเหตุผล
ไม่ว่าจะคิดอย่างไร เื่นี้ก็โทษนางไม่ได้ พวกเขาระดมกำลังมาถามหาความผิด
ทว่ากลับไม่มีน้ำหนักมากพอจริงๆ
“ท่านลุงหลี่เจิ้ง
นี่ไม่ใช่เื่ง่ายดายหรือเ้าคะ หากอยากรู้ว่าจื่อชิ่งไม่ระวังจนลื่นไถลลงมาด้วยตัวเองหรือว่ามีคนเจตนาผลักกันแน่?” หลิงมู่เอ๋อร์มองหลี่เจิ้งอย่างนิ่งๆ
“ขอเพียงแค่รอให้เขาตื่นขึ้นมา ความจริงทั้งหมดก็จะปรากฏออกมา
ตัวของเขาเองเป็หลักฐานที่มีน้ำหนักมากที่สุด”
“แม่นางมู่พูดไม่ผิด”
หลี่เจิ้งหัวเราะแล้วกล่าว “ที่จริง พวกเราเห็นเ้าเด็กหนุ่มชิ่งได้รับาเ็
ก็เป็ห่วงว่าแม่นางมู่ก็จะได้รับาเ็เช่นกัน เ้าเป็สตรีที่เดินทางไกลคนเดียว
ถนนหนทางล้วนเป็หิมะ ถ้าหากเกิดล้มขึ้นมาจะไม่ดีเอาได้
ตอนนี้เห็นเ้าไม่เป็อันใด พวกเราก็วางใจแล้ว
เมื่อครู่นี้เป็เพียงการเข้าใจผิดกัน น้องชายน้องสาวโปรดอย่าเอามาใส่ใจ”
หยางซื่อได้ยินคำพูดของหลี่เจิ้งเช่นนี้
สีหน้าก็ดูดีขึ้นมา นางจับแขนของหลิงมู่เอ๋อร์ กล่าวขอโทษต่อหลี่เจิ้ง “แม่นางมู่ของครอบครัวพวกเราไม่สบายจริงๆ ท่านดูครอบครัวของพวกเรา
คนแก่ก็แก่ เด็กก็ยังเด็กอยู่ แม่นางมู่เป็เพียงหญิงอ่อนแอ
หัวหน้าครอบครัวก็ยังไม่กลับมา เื่ทำความสะอาดถนน...”
“สถานการณ์ของครอบครัวพวกเ้าพิเศษ
เช่นนั้นก็เลื่อนเวลาออกไปก่อนแล้วกัน
รอให้ขาของเ้าเด็กเซวียนเดินสะดวกกว่านี้ก่อนค่อยไป” หลี่เจิ้งจะไม่ยอมเสียแรงงานในการทำงานนี้โดยเปล่าประโยชน์เป็แน่
ดังนั้นถึงแม้หยางซื่อจะกล่าวคำนี้ออกมา เขาก็ไม่ยอมปล่อยไป เขากล่าวกับคนด้านหลัง “เอาล่ะ ทุกคนกลับบ้านไปกินข้าวก่อน
กินข้าวเสร็จก็มาทำความสะอาดถนนกันต่อ”
หลิงหลินยังรู้สึกไม่สบายใจ
เขาเคยพูดกับหลิงจื่อชิ่งแล้วว่าจะจัดการกับหลิงมู่เอ๋อร์ แต่ผลสรุปกลับเป็หลิงจื่อชิ่งที่ได้รับาเ็สาหัสแทน
มองดูาแของเขา เกรงว่าเขาคงไม่ได้ฟื้นขึ้นมาเร็วๆ นี้แน่
อีกทั้งตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานโยนความผิดใส่หลิงมู่เอ๋อร์ด้วย
นับว่าสูญเสียทั้งสองอย่างในคราเดียวจริงๆ ทว่า...
นางเด็กนี่เป็คนพูดจาฉะฉานั้แ่เมื่อไหร่?
หลิงมู่เอ๋อร์มองแขกที่ไม่ได้รับเชิญเดินจากไป
แววตาที่ชั่วร้ายของหลิงหลินจ้องไปที่ดวงตาของนาง นางรู้ว่าความวุ่นวายยังไม่จบดี
ใครให้เ้าของเดิมมีครอบครัวเช่นนี้กันเล่า
ชะตาลิขิตให้ไม่มีวันที่จะสงบสุขอย่างแน่นอน
เว้นเสียแต่นางจะพาคนในครอบครัวไปจากหมู่บ้านแห่งนี้
ไปจากครอบครัวที่เลวทรามป่าเถื่อนนี้
“มู่เอ๋อร์
หลี่เจิ้งให้เ้าพักผ่อน เ้าไม่ต้องไปทำงานหนักนั่นอีกแล้ว ขอบคุณ์เบื้องบน
ในที่สุดก็มีเื่ดีๆ แล้ว” หยางซื่อสิบนิ้วพนมมือพร้อมเอ่ยกล่าว
หลิงมู่เอ๋อร์มองที่หญิงชราที่ตรงหน้าผู้นี้
กาลเวลาพรากความงดงามของนางไปอย่างไร้ความปรานี
หญิงออกเรือนที่งดงามในความทรงจำผู้นั้นยิ่งนานวันแก่ลง
แก่กว่าคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันนับสิบปี เดิมทีนางมีดวงตาที่สดใสเปล่งประกาย
ตอนนี้ดวงตาคู่นั้นเหมือนกับดวงตาของปลาที่ตายไปแล้ว ไม่มีราศีเลยสักนิด
“ท่านแม่
ด้านนอกอากาศหนาว เข้าไปพักในบ้านเถิดเ้าค่ะ!” หลิงมู่เอ๋อร์จับแขนของหยางซื่อไว้ พานางเข้าไปในห้องนอน
หลิงจื่อเซวียนที่อยู่ด้านข้างเดินกะเผลกๆ
อยู่ด้านหลังพวกเขา ทวงท่าของเขาดูน่าเกรงขามเป็อย่างยิ่ง
ความแค้นเคืองในดวงตาเหมือนกับคลื่นที่โหมกระหน่ำ แรงกดดันสูงมาก
“อืม…” น้ำเสียงอู้อี้ของหลิงจื่ออวี้ดังมาจากห้องข้างๆ
ทั้งสามคนได้ยินเสียง
ก็เร่งรีบวิ่งไปดู
หลิงจื่ออวี้สลบไปนานมาก
ในที่สุดก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว หากไม่ใช่เป็เพราะว่าทางออกหมู่บ้านถูกปิดกั้น
หยางซื่อก็จะไปหาท่านหมอในเมืองมารักษาั้แ่แรก
นางไม่สามารถเชิญหมอมืออาชีพมาได้
ได้แต่เชิญหมอเท้าเปล่าไม่มีใบประกอบมารักษาอาการป่วยของหลิงจื่ออวี้
ตอนนี้เขาฟื้นขึ้นมา ก้อนหินขนาดใหญ่ในใจของทุกคนก็ได้ร่วงหล่นหายไป
“จืออวี้…”
หยางซื่อจับมือเล็กๆ ของหลิงจื่ออวี้
หลิงจื่ออวี้มองทุกคนด้วยความงงงวย
เปิดริมฝีปากอ้า แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
จากความทรงจำเดิมที่ได้รู้
หลิงจื่ออวี้ผู้นี้น่าจะมีอาการจื้อปี้เจิ้ง [1] ั้แ่ไม่กี่ปีก่อนเขาก็เริ่มไม่พูดอะไรเลย
ในสมัยโบราณการแพทย์ล้าหลังอย่างนี้ อาการของโรคเช่นนี้คงเป็โรคที่ไม่มีทางรักษาให้หายได้อย่างไม่ต้องสงสัย
มิน่าล่ะคนในหมู่บ้านถึงไม่มีคนเป็มิตรกับหยางซื่อ
พวกเขาคิดว่าหยางซื่อเป็ตัวซวย ขนาดลูกชายคนโตยังพิการ ลูกชายคนเล็กก็กลายเป็
‘เด็กโง่’
หยางซื่อมักจะใช้น้ำตาต่างน้ำล้างหน้า
นางเป็หญิงโบราณแบบดั้งเดิม คำพูดที่คนเ่าั้พูดนางก็คิดว่าเป็ความจริง
นางมักจะโทษตัวเอง คิดว่าตัวเองเป็หญิงที่มีดวงกินลูกกินสามี
หลิงมู่เอ๋อร์เป็แพทย์ทหาร
จากอาการของหลิงจื่ออวี้นั้น ขอเพียงแต่ให้คำแนะนำเพียงเล็กน้อย
ก็สามารถรักษาอาการป่วยของเขาให้หายได้อย่างแน่นอน นี่เป็โรคทางใจ
แน่นอนว่าต้องค่อยๆ ใช้ยาทางใจในการรักษา
“มู่เอ๋อร์
จื่อเซวียน ในหม้อยังมีน้ำแกงไก่อยู่ พวกเ้าไปอุ่นสักหน่อยแล้วยกเข้ามาเถิด
จือวี้จำเป็ต้องบำรุงดีๆ อย่าได้มีโรคอะไรแทรกซ้อนอีกเลย”
หยางซื่อกล่าวพร้อมกับน้ำตารื้น
“ได้เ้าค่ะ”
หลิงมู่เอ๋อร์รีบไปทำทันที
ในเวลาไม่กี่วันข้างหน้า
บุรุษในหมู่บ้านต่างก็ทำความสะอาดถนนหนทางกันต่อไป
หลิงมู่เอ๋อร์บอกกับคนในหมู่บ้านว่าตัวเองได้รับาเ็
เพราะฉะนั้นเลยไม่สามารถเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนได้ นางหลบอยู่ในบ้านทุกวัน
ช่วยหยางซื่อทำงาน สิ่งที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือญาติผู้สูงส่งเ่าั้ไม่ได้มาหาเื่นางอีก
หลิงจื่อชิ่งสลบไสลไม่ได้สติ
ญาติสูงส่งเ่าั้กลับไม่ได้ถูกหลิงหลินยุยงให้มาหาเื่นาง?ตอนนี้ช่างเงียบสงบเช่นนี้
ทำให้นางรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ในระหว่างที่รอ
เหยื่อตัวน้อยเ่าั้ก็ได้เข้าไปอยู่ในท้องของคนในครอบครัวพวกเขาทั้งหมด
ห้องครัวว่างเปล่าแล้ว อาหารของครอบครัวพวกเขาหมดแล้ว
หลิงมู่เอ๋อร์นึกถึงหมีดำตัวนั้นขึ้นมา
ด้านนอกกระท่อมที่ทรุดโทรม
หลิงมู่เอ๋อร์ถูมือเข้าด้วยกัน แล้วเป่าปากไปที่ฝ่ามือ
เท้าทั้งสองข้างกระทืบอยู่กับที่ คิดที่จะพยายามทำให้ร่างกายตัวเองอบอุ่นขึ้น
นางยังคงใส่เสื้อผ้าเก่าขาด
เสื้อ้ามีรอยปะแล้วรอยปะอีก ยากลำบากอย่างถึงที่สุด มือของนางทั้งแดงทั้งบวม
้าเป็แผลเปื่อยที่เกิดจากความเย็น กัดเซาะจนเป็หนอง
สภาพของขาทั้งสองข้างร้ายแรงกว่ามือทั้งสองข้างเสียอีก
เท้าที่เล็กกะทัดรัดคู่นั้นบวมจนไม่รู้จะบวมอย่างไร ในพื้นหิมะเช่นนี้
นางยืนอยู่ด้านนอกท่ามกลางลมหิมะเป็เวลานาน
ซั่งกวนเซ่าเฉินมองเห็นเงาอันผอมเพรียวยืนอยู่ด้านนอกประตูบ้านของเขาจากที่ไกลๆ
เขาสาวเท้าก้าวใหญ่เดินออกไป เมื่อมองเห็นหลิงมู่เอ๋อร์อย่างชัดเจน
ก็รู้จุดประสงค์ในการมาของนางทันที เขาไม่ได้พูดอะไร เดินเข้าไปในห้องครัวโดยตรง
หยิบเนื้อหมีดำชิ้นใหญ่ออกมา จากนั้นจึงยื่นให้กับหลิงมู่เอ๋อร์
หลิงมู่เอ๋อร์รับสิ่งของที่เขายื่นให้มา
กล่าวขอบคุณด้วยความจริงใจ “ขอบคุณเ้าค่ะ”
“สิ่งของเป็ของเ้า
ข้าเพียงแค่เก็บรักษาให้ ไม่ต้องกล่าวขอบคุณ” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวเบาๆ
“ไม่มีเื่อันใดแล้วก็กลับไปเถิด อากาศหนาวเย็น ระวังร่างกายจะตัวแข็ง”
หลิงมู่เอ๋อร์ส่งเสียงตอบรับ
นางมองเสื้อผ้าที่อยู่บนตัวของเขา ลูบที่ใบหน้าแล้วกล่าว “เสื้อผ้าของท่านขาดหมดแล้ว ให้ข้าช่วยท่านเย็บสักหน่อยเถิด!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินมองดูเสื้อผ้าของตนเอง
้านั้นมีรูขาดอยู่มากมาย เป็เช่นนี้ต่อไปก็จะกลายเป็เศษผ้าแล้ว
ถ้าหากเป็เวลาปกติ เขาก็ไปในเมืองซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ แต่ตอนนี้สภาพอากาศย่ำแย่
เข้าไปในเมืองไม่ได้ เขาก็ได้แต่ทนใส่มันไปเท่านั้น
อากาศเช่นนี้สำหรับเขาไม่นับว่าเป็อะไร
ร่างกายเขาแข็งแรง แม้ว่าจะไม่ได้ใส่เสื้อผ้าก็สามารถผ่านฤดูหนาวนี้ไปได้
เขาคิดจะปฏิเสธความตั้งใจของหลิงมู่เอ๋อร์
แต่เมื่อเห็นแววตาที่เปล่งประกายไปด้วยความกังวลและเขินอายในดวงตาของหญิงสาวตัวน้อยนั้นแล้ว
ก็ได้กลืนคำพูดลงไป ที่พูดออกมากลับเปลี่ยนเป็อีกอย่าง “ตกลง เช่นนั้นก็รบกวนเ้าแล้ว”
หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกเสียใจเล็กน้อยในภายหลังกับประโยคนั้นที่พูดออกไป
บุรุษผู้นี้เป็คนเ็า แค่ดูก็รู้ว่าไม่ชอบให้ผู้ใดมารบกวน นางกลับเสนอความคิดเห็นที่จะเย็บเสื้อผ้าให้เขาเอง
อีกอย่างคนสมัยโบราณนั้นรักนวลสงวนตัวยิ่ง
ในสายตาของนางก็แค่อยากขอบคุณที่เขาช่วยเหลือ ในสายตาเขาไม่แน่ว่าจะเป็การมาให้ท่า
ตอนนี้ซั่งกวนเซ่าเฉินตอบตกลงรับคำแล้ว
ถึงแม้หลิงมู่เอ๋อร์จะเสียใจกับคำพูดตนเองที่พูดผิดไป แต่นางก็ต้องกัดฟันทำต่อ
อีกอย่างแต่ไหนแต่ไรนางไม่ใช่คนกระมิดกระเมี้ยน
นางเดินตามซั่งกวนเซ่าเฉินเข้าไปในบ้านไม้หลังเล็ก
เมื่อเดินเข้าไป
ก็พบว่าเครื่องเรือนในบ้านของเขาเรียบง่ายกว่าบ้านของพวกนางเสียอีก
บ้านของพวกเขาดีหน่อยที่มีอุปกรณ์การเกษตรวางอยู่บ้าง
บนผนังของบ้านไม้หลังเล็กนี้มีหนังสัตว์แขวนไว้จำนวนมาก
แน่นขนัดไปด้วยหนังสัตว์หลากหลายก็พิสูจน์ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเ้าของบ้าน
นอกจากนี้แล้ว ยังมีโต๊ะหนึ่งตัวและเก้าอี้อีกสองสามตัว
ไม่เหมือนกับโต๊ะและเก้าอี้ที่ชำรุดทรุดโทรมของบ้านพวกนาง โต๊ะและเก้าอี้ของบ้านเขายังอยู่ในสภาพดี
ซั่งกวนเซ่าเฉินเข้ามาในบ้านก็รู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย
เขาทำงานเย็บปักไม่เป็ ดังนั้นในบ้านจึงไม่มีเข็มกับด้าย
หลิงมู่เอ๋อร์ออกจากบ้านย่อมไม่ได้พกเข็มกับด้ายติดตัวมาด้วยอย่างแน่นอน
ดังนั้นความหวังดีของหลิงมู่เอ๋อร์ก็ต้องทำให้ผิดหวังแล้ว
“เช่นนั้น...วันหลังข้าจะพกเข็มกับด้ายมาด้วย! ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวด้วยรอยยิ้มบาง “วันนี้ไม่รบกวนท่านแล้วเ้าค่ะ”
“ตกลง...” ซั่งกวนเซ่าเฉินตอบรับเบาๆ "บนพื้นถนนลื่น
กลับบ้านไปอย่างระวังด้วย"
“ขอบคุณที่เป็ห่วงเ้าค่ะ”
หลิงมู่เอ๋อร์พยักหน้าให้ซั่งกวนเซ่าเฉิน ก้าวเดินอย่างช้าๆ ออกจากบ้านของเขาไป
ซั่งกวนเซ่าเฉินยืนอยู่ตรงประตู
จนเงาของหลิงมู่เอ๋อร์หายไปถึงกลับเข้าไปในบ้าน
เขาเมียงมองบ้านที่เรียบง่ายหลังนี้
ทันใดนั้นก็เหมือนจะรู้สึกว่าที่นี่ดูน่าเบื่อเกินไป
หลิงมู่เอ๋อร์ถือเนื้อหมีดำกลับมาถึงบ้าน
ครั้งนี้นางเตรียมตัวไปอย่างดี ดังนั้นจึงถือตะกร้าที่ใส่หญ้าลงไปด้วย
ตอนนี้เนื้อหมีดำชิ้นใหญ่นั้นก็วางอยู่ในตะกร้า
พวกชาวบ้านที่ลงมาจากูเา
ใบหน้าเต็มไปด้วยความท้อแท้ สายตาที่ว่างเปล่าและงุนงงแทนที่ความสิ้นหวังของพวกเขา
หลิงมู่เอ๋อร์เข้าใจ่นี้มีคนมากมายขึ้นไปหาอาหารบนูเา
แม้แต่เปลือกไม้บนูเายังถูกแกะออกมากินแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่น
ทั้งหมู่บ้านมีอยู่ตั้งกี่ร้อยคน
คนส่วนมากล้วนขาดอาหารแล้ว พวกเขาต่างหวังพึ่งูเาลูกนั้นเพื่อมีชีวิตรอดต่อไป
อย่างไรก็ตาม ปกติูเาใหญ่ก็เป็สถานที่อันโหดร้ายอยู่แล้ว
ในฤดูหนาวที่หนาวเหน็บเช่นนี้
มันโหดร้ายราวกับสัตว์ร้ายที่สามารถกลืนกินพวกเขาได้ตลอดเวลา
เชิงอรรถ
[1] จื้อปี้เจิ้ง หมายถึง ออทิสซึม เป็ภาวะที่เกี่ยวกับความบกพร่องทางพัฒนาการ
แสดงความบกพร่องของการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและการสื่อสาร