“…ข้าไปอย่างมากก็ครึ่งเดือน หากดวงดี ไม่กี่วันก็กลับมาแล้ว ถ้าที่บ้านมีอะไรที่เ้าทำไม่ได้ก็ไปหาฟู่กุ้ยหรือไม่ก็สุ่ยเซิง ข้าบอกกล่าวพวกเขาเอาไว้แล้ว ส่วนถ้ามีใครมาหาเื่ เ้าก็ไม่ต้องไปสนใจ ไว้ข้ากลับมาแล้วจะจัดการให้เอง”
ก่อนออกจากบ้าน เจียงหงหย่วนกำชับหลินหวั่นชิวซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาเองก็อยากอยู่บ้านเฝ้าเมีย แต่ทำอย่างไรได้ คนทั้งบ้านต้องกินต้องใช้
อีกอย่าง เขาก็ไม่อยากให้เมียตัวน้อยลำบาก อยากให้นางสุขสบาย
“ได้ ข้าจดจำเอาไว้แล้ว”
หลินหวั่นชิวกับเจียงหงหนิงมาส่งเขาออกจากบ้าน เมื่อเงาร่างเขาห่างไปไกลแล้ว หลินหวั่นชิวจึงปิดประตู ทำงานมาทั้งวัน นางว่าจะกลับห้องไปพักสักครู่แล้วค่อยเย็บผ้าห่ม
ที่สำคัญที่สุดคือ ก่อนหน้านี้นางอาศัย่ที่เจียงหงหย่วนออกจากบ้านไป เอาหนังกระต่ายสามแผ่นนั้นไปขายในเสียนอวี๋ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะขายไปแล้วหรือยัง
หลินหวั่นชิวลงกลอนประตูห้องแล้วเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ขอกล่องเข็มกับด้ายจากเจียงหงหนิง แต่จังหวะที่นางจะออกจากห้องก็นึกถึงความสามารถของเสียนอวี๋ขึ้นมา เหมือนว่าในนั้นจะมีห้องหัตถกรรมระดับต่ำอยู่หนึ่งห้อง…หลินหวั่นชิวตัดสินใจจะลองใช้ดู นางมองเครื่องนอนบนเตียงกับผ้าที่ถูกใช้เป็ผ้าปูชั่วคราว ในใจนึกถึงของห้องหัตถกรรมระดับต่ำของเสียนอวี๋
ของบนเตียงแทบจะหายไปในพริบตา
ช่างน่าตะลึง!
นางรีบดูในเสียนอวี๋ พบว่าภายในห้องหัตถกรรมระดับต่ำที่ใส่วัตถุดิบได้ห้าช่องมีของใส่อยู่สองช่อง
ช่องหนึ่งคือผ้าที่เจียงหงหย่วนซื้อกลับมาเตรียมเย็บเป็ผ้าห่ม อีกช่องคือไส้ในฝ้ายสองผืน
คำว่าผสานส่องประกายแวววับอยู่ตรงหน้านาง นางอดยื่นมือออกไปแตะไม่ได้ แม้นิ้วมือจะแค่แตะลงบนอากาศ แต่เื่แปลกประหลาดได้เกิดขึ้นแล้ว ผ้าห่มเย็บเสร็จทันที
ตรงหน้ามีกล่องแจ้งเตือนเด้งขึ้นมาอีกสองช่อง เก็บเข้าช่องเก็บของ? นำออก?
หลินหวั่นชิวแค่คิดว่าจะหยิบออกมา ผ้าห่มที่เย็บเสร็จเรียบร้อยก็ร่วงจากอากาศลงบนตัวนาง เกือบจะฝังร่างนางมิด
มหัศจรรย์เกินไปแล้ว
หลินหวั่นชิวดีใจมาก
นี่หมายความว่าต่อไปนี้หากนางอยากสร้างอะไรก็แค่ใส่วัตถุดิบลงไปในช่อง จากนั้นแค่คิด ระบบห้องหัตถกรรมในเสียนอวี๋ก็จะช่วยทำให้!
ฮ่าฮ่าฮ่า นี่เป็ความสามารถที่สุดยอดมาก
อีกอย่าง นางยังพบอีกว่าหลังจากที่รวมวัตถุดิบสองอย่างเข้าด้วยกัน แถบความคืบหน้าใต้ห้องหัตกรรมมีเส้นสีแดงปรากฏสั้นๆ ้ามีเครื่องหมายว่าสิบส่วนในหนึ่งร้อย
นางไม่รู้ว่าแถบความคืบหน้ามีไว้ทำอะไร ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้ใส่ใจ ออกจากห้องหัตถกรรมไปดูที่หน้าร้าน
นางอุทานในใจว่าแม่เ้า หนังกระต่ายสามผืนขายออกหมดแล้ว
ระบบกำหนดราคาอัตโนมัติตั้งราคาไว้ที่ผืนละยี่สิบหยวน สามผืนก็หกสิบหยวน
แม้หกสิบหยวนจะเป็จำนวนเงินไม่เยอะ แต่หลินหวั่นชิวก็ดีใจมากแล้ว เพราะปกติของในเสียนอวี๋ก็ราคาไม่แพง แต่แน่นอนว่าไม่นับพวกวัตถุโบราณ ทองเหลืองและเครื่องหยกต่างๆ
นางปูผ้าปูเสร็จก็นอนคิดว่าจะใช้เงินหกสิบหยวนนี้อย่างไรดี
ครอบครัวนี้จนเกินไป นางจำเป็ต้องใช้เงินทุกสตางค์กับเื่สำคัญ
แต่นางไม่เห็นด้วยกับการตระหนี่แบบเจียงหงหนิง จะตระหนี่ก็ได้ แต่ไม่ใช่เื่กิน
หลังจากที่คิดอยู่นาน ในที่สุดหลินหวั่นชิวก็คิดวิธีหาเงินออก
นางสามารถคัดตำราขาย
แน่นอนว่าไม่ได้คัดด้วยพู่กัน แต่ใช้ปากกาหมึกซึมลูกลื่นหัวเล็กมากมาคัด ใช้สมุดขนาดเท่าฝ่ามือ แบบนี้พวกบัณฑิตจะได้พกติดตัวง่าย เอาออกมาอ่านตอนไหนก็ได้
ต้องเป็เอกลักษณ์ไม่เหมือนใครในยุคนี้แน่นอน
บอกก่อนว่าต่อให้เป็อักษรขนาดเล็กก็ยังเล็กไม่เท่าอักษรที่เขียนด้วยปากกาหมึกซึมลูกลื่น
ที่ช่องทางหาเงินแรกของหลินหวั่นชิวคือการคัดตำราเพราะวิชาคัดอักษรด้วยปากกาของนางอยู่ระดับเก้า ทั้งยังเคยได้รับรางวัล
อยากทำก็ทำเลย หลินหวั่นชิวซื้อปากกาหมึกซึมลูกลื่นจากเสียนอวี๋หนึ่งด้าม ปากกาด้ามนี้คนขายใช้ไปแค่ไม่กี่ครั้ง ราคาแค่…หนึ่งเหมา[1]
จากนั้นจึงซื้อกระดาษโบราณอีกจำนวนหนึ่ง เจอร้านหนึ่งขายกระดาษที่โดนน้ำพอดี กระดาษขนาดเอสี่ หนึ่งพันแผ่นแปดหยวน
หลินหวั่นชิวดูแล้วรู้สึกว่าจุดที่โดนน้ำสามารถตัดทิ้งได้ อย่างไรนางก็วางแผนว่าจะทำตำราขนาดเท่าฝ่ามือผู้หญิงเป็ผู้ใหญ่เต็มตัวอยู่แล้ว ใหญ่สุดไม่เกินฝ่ามือ
ต่อมาคือเครื่องตัดกระดาษ เครื่องเจาะรู เครื่องเข้าเล่ม เครื่องเย็บกระดาษและลวดเย็บกระดาษต่างๆ ของพวกนี้เป็ของมือสองเช่นกัน ใช้ไปทั้งหมดสี่สิบหกหยวน
ทำเอาเงินหกสิบหยวนที่ได้จากการขายหนังกระต่ายเหลือไม่เท่าไร
หลินหวั่นชิวไม่กล้าซื้อของอีก นางใช้เครื่องตัดกระดาษมาตัดส่วนที่ใช้ไม่ได้ออกก่อน จากนั้นจึงตัดส่วนที่ใช้ได้เป็ขนาดที่้า
เก็บของที่ไม่ใช้ลงในช่องเก็บของในเสียนอวี๋ หยิบกระดาษปึกหนึ่งออกมาเริ่มเขียนจากความทรงจำ
คัมภีร์ตรีอักษร [2] ตำราร้อยแซ่ [3] ตำราพันอักษร [4] นางล้วนท่องได้หมด เมื่อก่อนตอนฝึกเขียนอักษรด้วยปากกาต้องคัดอยู่บ่อยๆ ตัดสินใจว่าจะรวมตำราทั้งสามเข้าในเล่มเดียว
นางไม่กลัวว่ายุคนี้จะยังไม่มีตำราสามเริ่มนี้ เพราะหลินหวั่นชิวจำได้ว่าหลินจินเป่า ลูกชายของหลินซย่าจื้อเรียนหนังสืออยู่ที่สำนักศึกษา เ้าของร่างนางเคยเห็นเขาท่องตำราสามเล่มนี้ที่บ้าน
หลินหวั่นชิวเขียวเร็วและสวยมาก ทำรวดเดียวแบบไม่หยุดพัก
ตำราสามเล่ม สองพันกว่าตัวอักษร นางใช้เวลาไม่ถึงสองชั่วยาม
แต่แน่นอนว่าหากเขียนซ้ำอีกหลายรอบ ความเร็วนางจะเพิ่มขึ้นอีก อย่างไรเสียนี่ก็เป็แค่การคัดตำราครั้งแรก
เขียนทุกอย่างจนเสร็จ ไม่ตกหล่นแม้แต่นิดเดียว อักษรตัวบรรจงที่เขียนออกมาทั้งเล็กทั้งสวยงาม
หลินหวั่นชิวใช้เครื่องเย็บกระดาษยึดตำราสามเล่มแยกกันให้เรียบร้อย จากนั้นจึงแปะปกตำราลงไปด้วยน้ำแป้ง
สำเร็จ!
นางเก็บ ‘ตำราตรีร้อยพัน’ ในช่องเก็บของของเสียนอวี๋แล้วออกไปทำอาหาร
เจียงหงหย่วนไม่อยู่บ้าน มื้อเย็นหลินหวั่นชิวจึงใช้น้ำแกงไก่มาทำบะหมี่แกงไก่สามชาม
เจียงหงหนิงไม่สบอารมณ์นักเมื่อเห็นบะหมี่แกงไก่ “พี่สะใภ้ เอ้อร์เกอกินได้แค่โจ๊ก”
หลินหวั่นชิวคิดว่าในเมื่อเจียงหงป๋อขับพิษไปแล้วรอบหนึ่ง ความสามารถในการรับอาหารของกระเพาะน่าจะเพิ่มขึ้นจึงทำบะหมี่ให้ เอาแต่กินโจ๊กทุกมื้อก็ได้แค่ประทังชีวิต ไม่อาจทำให้ร่างกายแข็งแรง
“บะหมี่ค่อนข้างนุ่ม เ้าลองให้เขากินดูก่อน หากกินไม่ได้ ข้าค่อยต้มโจ๊กให้” หลินหวั่นชิวพูด
“เอ้อร์เกอเ้าป่วยมานาน หากกินอาหารได้ ร่างกายเขาถึงจะค่อยๆ มีแรง มีแรงแล้วจะได้สู้กับโรค” หลินหวั่นชิวพูดเสริมเมื่อเห็นว่าเจียงหงหนิงไม่ขยับเขยื้อน
“ช่างเถอะ ข้าเอาไปส่งเองก็ได้” นางอยากเห็นเช่นกันว่าสีหน้าเจียงหงป๋อดีขึ้นบ้างหรือไม่
นางไม่รอให้เจียงหงหนิงตอบ ยกชามเดินเข้าห้องพวกเขาทันที
ใต้ตะเกียงน้ำมัน นางมองสีหน้าเจียงหงป๋อไม่ค่อยออก แต่แววตาเขาดูมีชีวิตชีวากว่าตอนที่เจอกันครั้งแรก
“ข้าทำบะหมี่แกงไก่มาให้ เ้าลุกขึ้นกินหน่อยเถอะ ให้ข้าช่วยพยุงไหม?” หลินหวั่นชิววางชามบนตู้หัวเตียงพร้อมกับถามเจียงหงป๋อ
เจียงหงป๋อเหลือบตามองอย่างอายๆ ตอบว่า “ไม่ต้อง”
เจียงหงหนิงที่อยู่ด้านข้างรีบวิ่งเข้ามาประคอง แต่เจียงหงป๋อก็ยังส่ายหน้าปฏิเสธ
เขาอยากลองเช่นกันว่าจะลุกขึ้นนั่งด้วยตัวเองได้หรือไม่ ไม่รู้เหตุใด หลังจากที่วันนี้ได้ถ่ายของเสียออกไป เขาเอาแต่รู้สึกว่าตัวเองมีแรงขึ้น
เจียงหงป๋อใช้สองมือยันเตียง ค่อยๆ ขยับ ลุกขึ้นนั่งสำเร็จภายใต้สายตาตื่นตระหนกของเจียงหงหนิง เขาพิงหัวเตียงหอบหายใจ
“เอ้อร์เกอ…ท่าน…ท่านลุกขึ้นนั่งเองได้แล้ว!” เจียงหงหนิงน้ำตาไหลด้วยความตื่นเต้น
หลินหวั่นชิวเห็นดังนี้ก็หันตัวออกจากห้อง เจียงหงป๋อนั่งได้ นี่หมายความว่าโอสถชำระไขกระดูกได้ผล
นางกะว่าสองวันนี้จะให้เจียงหงป๋อพักไปก่อน ไว้ผ่านไปอีกสักสองสามวันค่อยผสมผงโอสถไขกระดูกให้เขาอีกครั้ง
เชิงอรรถ
[1] เหมา (毛) หน่วยเงินของจีน คำว่าเหมาเป็ภาษาพูด ในภาษาเขียนจะใช้คำว่าเจี่ยว(角)เป็หน่วยที่เล็กกว่าหยวน โดย 10 เจี่ยวจะเท่ากับ 1 หยวน
[2] คัมภีร์ตรีอักษร (三字经) เป็แบบเรียนขั้นพื้นฐานสำหรับหัดอ่านเบื้องต้น เด็กๆจะศึกษาเรียนรู้ตัวอักษรและคุณธรรมผ่านการท่องคัมภีร์ตรีอักษร ทั้งหมดมี 1722 ตัวอักษร เนื้อหาในคัมภีร์ตรีอักษรประกอบด้วย จารีตโบราณทางการศึกษาของจีน ประวัติศาสตร์ ปรัชญา ดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์ จริยธรรมและคุณธรรม รวมถึงตำนานพื้นบ้านบางเื่
[3] ตำราร้อยแซ่(百家姓) หนังสือรวบรวมแซ่สกุลของชาวจีน
[4] ตำราพันอักษร(千字文) แต่งขึ้นในสมัยราชวงศ์เหลียงในยุคราชวงศ์เหนือใต้ หนึ่งวรรคมีสี่ตัวอักษร ทั้งหมด 250 วรรค รวม 1,000 ตัวอักษร