ปพนต์เดินเข้ามาใกล้ วางถ้วยกาแฟลง แล้วจูบหน้าผากเธออย่างแ่เบา ก่อนจะเลื่อนลงมาที่ริมฝีปากอวบชื้น “เธอคือทั้งสองอย่าง...แล้วก็ยังมากกว่านั้นอีก”
หลังอาหารเช้า มารตีแอบไปเปิดบันทึกในโทรศัพท์ของตัวเอง เธอมีนิสัยชอบจดความคิดทุกเช้า…โดยเฉพาะหลังค่ำคืนที่มีอะไรมากกว่าการหลับใหล “ฉันเคยคิดว่ารักแท้คือการได้อยู่กับใครคนหนึ่งตลอดไป แต่วันนี้ฉันเริ่มเข้าใจว่า รักแท้...อาจจะเป็แค่การได้เปิดใจ ให้ตัวเองได้รักใครสักคน อย่างที่เขาเป็ และให้ตัวเองเปลือยความรู้สึก ไปพร้อมกับการเปลือยกาย”
หญิงสาวยิ้มกับตัวเอง ก่อนจะวางโทรศัพท์ลง เดินออกไปนอกระเบียง ปพนต์ยืนรออยู่ที่นั่นแล้ว พร้อมกับกาแฟถ้วยใหม่ “รตีเคยบอกว่า รักพี่ รักนัทพงษ์ รักพีช แล้วตอนนี้ล่ะ?” ปพนต์ถามเสียงเบา แต่ั์ตามีแววขี้เล่นนิดๆ แบบที่เธอชอบ
ภรรยาสาวคนสวยเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบช้าๆ “ตอนนี้รตีรู้ว่า ไม่ได้รักแค่สามีของตัวเอง ...แต่รตีรักได้มากกว่านั้น รักแบบที่ไม่ต้องเปรียบเทียบ และไม่ต้องกำหนดให้รักแบบเดียวกันกับทุกคน”
“รตีเปิดกว้างขนาดนั้นเลยเหรอจ๊ะ?”
“อื้ม…” เธอยิ้ม “บางที...หัวใจของรตีอาจไม่ได้มีแค่สามห้องก็ได้”
ปพนต์ยิ้ม ก่อนจะดึงเธอมากอด และในกอดนั้น มารตีรู้สึกเหมือนได้ยืนอยู่ตรงกลาง ของทุกความสัมพันธ์ ที่ไม่จำเป็ต้องจัดหมวดหมู่ หรือวางให้ตรงตำแหน่ง
บนท้องถนน วิชิตยังไม่พูดอะไร แต่ในใจกำลังวนเวียนอยู่กับคำพูดของมารตีเมื่อคืน “ฉันไม่ได้หวงใครไว้คนเดียว…แต่ใครก็ตามที่เข้ามา ต้องกล้าที่จะรักฉัน…ในแบบที่ฉันเป็ และยอมให้ฉันรักในแบบที่ฉันอยากเป็” เขายังไม่แน่ใจว่า…กล้าพอหรือยัง แต่เขาแค่รู้ว่า…เขาอยากลอง
แสงแดดอ่อนยามสายไหลลอดผ่านกระจกเข้ามาภายในออฟฟิศเปิดโล่งสีขาวสะอาด บรรยากาศสงบเงียบมีเพียงเสียงพิมพ์แป้นคีย์บอร์ดแ่เบา ชายหนุ่มนั่งอยู่ในมุมทำงานของตน หน้าจอคอมพิวเตอร์เปิดงานกราฟิกที่ยังไม่เสร็จดี นิ้วเรียวยังคงลากเส้นไปมาอย่างตั้งใจ แต่สายตา...กลับไม่เป็ไปตามนั้น
เขาเหลือบมองออกไปทางด้านข้าง ผ่านชั้นวางหนังสือที่ไม่ได้สูงนัก เห็นมารตีในเสื้อเบลาส์สีขาวกระจายแสง และกางเกงเข้ารูปที่ไม่จำเป็ต้องรัดก็ยังเผยสัดส่วนอันตราตรึงทุกครั้งที่เธอก้าวเดิน
“หืม… จะมองอีกนานมั้ยเราน่ะ?” เสียงใสของมารตีลอยมาก่อนที่เธอจะหยุดยืนข้างโต๊ะของเขา
นัทพงษ์สะดุ้งเฮือก หันกลับมาที่หน้าจอในจังหวะที่เมาส์เกือบหลุดจากมือ “ผะ... ผมดูแสงเงาในงานครับพี่… แบบว่าแสงมันดู...คล้ายแสงตรงพี่เดินผ่านพอดี”
มารตีหัวเราะน้อยๆ “อ๋อเหรอ... แล้วสายตามันต้องวัดแสงเงาั้แ่ข้างล่างขึ้นมาจนถึงหน้าแบบนั้นเลยเหรอจ๊ะ?” น้ำเสียงของเธอไม่ได้ดุ แต่ก็ไม่ใช่เสียงธรรมดา มันชวนให้เขิน…และชวนให้หัวใจเต้นแรงกว่าเดิม นัทพงษ์ก้มหน้าลงเหมือนเด็กนักเรียนโดนคุณครูจับได้ตอนแอบวาดรูปการ์ตูนในสมุดเรียน
ผู้จัดการสาวหย่อนตัวนั่งบนขอบโต๊ะเบาๆ ไม่ห่างจากเขาเกินแขนเอื้อมถึง สายตาจับจ้องที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เขาทำงานค้างไว้ “งานออกแบบสวยดีนะ แต่ถ้าตัวจริงมาจ้องขนาดนั้น เดี๋ยวออกแบบต่อไม่ไหวนะสิ”
นัทพงษ์ยิ้มแห้งๆ ไม่กล้าสู้สายตา ริมฝีปากเม้มแน่นจนสีเริ่มซีด
“เราเขินง่ายเนอะ” มารตีหันหน้ามายิ้มให้อย่างอ่อนโยน “หรือว่า... ไม่ค่อยมีคนพูดด้วยแบบนี้?”
เขาส่ายหน้าช้าๆ ยอมรับโดยไม่ต้องพูด
“อื้ม...” เธอลดเสียงลงเหมือนจะบอกความลับ “พี่เดานะ… ไม่เคยมีแฟนมาก่อนแน่เลย ใช่มั้ย?”
เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย คล้ายจะค้าน แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก ได้แต่พยักหน้าเบาๆ
“ไม่เป็ไรหรอก พี่ก็ไม่ได้จะล้อ แต่มันน่ารักดี… ตรงๆ แบบนี้น่ะ หายากจะตาย”
สายลมเบาๆ จากเครื่องปรับอากาศพัดผ่าน ขณะที่มารตีลุกขึ้นยืนอีกครั้งและหยิบแฟ้มเอกสารบางอย่างจากโต๊ะฝั่งตรงข้าม “ไปประชุมด้วยกันตอนบ่ายนะ เราต้องช่วยพี่นำเสนอแบบใหม่นี่แหละ คนอื่นยังไม่รู้ว่าเราออกแบบได้ขนาดนี้”
“ครับ…” นัทพงษ์ตอบเสียงเบา แต่หัวใจกลับมีเสียงดังอยู่ภายใน
เธอเดินจากไป รอยยิ้มยังคงอยู่บนริมฝีปาก เหมือนรู้ตัวว่าได้ทิ้งอะไรบางอย่างไว้ในหัวใจคนข้างหลังแล้ว...
นัทพงษ์หันกลับมามองจออีกครั้ง พยายามตั้งใจทำงาน แต่ภาพที่ติดตาอยู่ตอนนี้ไม่ใช่กราฟิกบนหน้าจอ แต่เป็ใบหน้าของมารตี…เวลาที่เธอยิ้ม เวลาที่เธอถามด้วยน้ำเสียงเอ็นดู เวลาที่เธอนั่งอยู่ตรงนั้น…ใกล้เขาแค่เอื้อม
เด็กหนุ่มถอนหายใจยาว แต่กลับยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว ไม่แน่ใจว่าความรู้สึกนี้คืออะไร แต่รู้ว่าใจเขาเริ่มเปิด…เปิดให้กับผู้หญิงที่ชื่อมารตี คนนี้แล้ว และเขายังคิดไม่ถึงเลยด้วยซ้ำ ว่าชีวิตหลังจากนี้ จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
“นัทพงษ์เอาส่งเอกสารไปส่งให้พี่มารตีหน่อย” เสียงหัวหน้าเอ่ยขึ้นขณะเดินผ่านโต๊ะทำงานมุมเล็กของหนุ่มน้อยผู้อ่อนต่อโลก
เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วพยักหน้ารับเบาๆ หัวใจเต้นโครมครามจนแทบจะะเืไปถึงแผ่นกระดาษที่อยู่ตรงหน้า
มารตีเดินออกมาจากห้องทำงานพอดี ชุดเดรสสีขาวคอปาดแนบเนื้อที่เธอสวม ดูธรรมดาหากมองผิวเผิน แต่เมื่อเคลื่อนไหวกลับเผยความพลิ้วไหวที่ทำให้นัทพงษ์อยากกลั้นหายใจไว้ชั่วขณะ
“ไปกันเลยไหมจ๊ะ?” มารตีหันมาถามเสียงใส พลางชูแฟ้มสีฟ้าในมือขึ้นเล็กน้อย
“ครับ” นัทพงษ์พยักหน้าตอบ พลางรีบเก็บของจำเป็ใส่กระเป๋าสะพายอย่างเก้ๆ กังๆ
ในรถหรูสีเทา มารตีเป็คนขับ ขณะที่นัทพงษ์นั่งข้างๆ เงียบๆ ทั้งที่ในใจเหมือนมีพลุที่พร้อมะเิอยู่ตลอดเวลา เขาไม่เคยนั่งรถไปกับผู้หญิงสวยระดับนี้เพียงลำพังมาก่อน…ไม่สิ เขาไม่เคยนั่งรถไปกับ “ผู้หญิงคนไหน” แบบนี้เลยด้วยซ้ำ
“ทำไมเงียบจัง?” มารตีถามขึ้นเบาๆ ขณะรถเลี้ยวพ้นจากหน้าบริษัท
“ผม…ก็แค่ไม่รู้จะคุยอะไรดีครับ” นัทพงษ์ตอบพลางมองออกนอกหน้าต่าง แก้มขึ้นสีชมพูจางๆ อย่างห้ามไม่อยู่
“แล้วปกติคุยกับสาวๆ ยังไงล่ะ?” เธอแกล้งแหย่เสียงนุ่มๆ รอยยิ้มซนๆ ผุดขึ้นตรงมุมปาก
“ผมไม่เคยมีแฟนครับ” นัทพงษ์หลุดปากตอบ ก่อนจะเบิกตากว้าง ราวกับเพิ่งรู้ว่าพูดอะไรออกไป
มารตีหัวเราะเบาๆ ไม่ใช่เสียงเยาะ แต่เป็เสียงที่ทำให้นัทพงษ์ยิ่งอยากมุดหน้าลงไปในเบาะรถเสียให้ได้ “อ้าวเหรอ? งั้นก็ยังไม่เคย…จับมือผู้หญิงเลยสิ?”
เขาพยักหน้าเร็วๆ คล้ายจะปฏิเสธ แต่ก็รู้ตัวว่ามันคือความจริง “ก็…ไม่เคยจริงๆ ครับ”
ทันใดนั้นเอง ระหว่างที่เขาจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นจากกระเป๋า เสื้อของเขาก็ขยับ มือข้างหนึ่งเผลอวางพลาดไปโดนมือของมารตีที่กำลังถือเกียร์อยู่ นิ้วแตะกันเบาๆ แค่เพียงเสี้ยววินาที แต่ทั้งสองก็สะดุ้งพร้อมกัน
มารตีหันมามองเขา ดวงตาวาววับซ่อนแววขำขัน นัทพงษ์รีบชักมือกลับจนแทบติดเบรกมือ ร้อนวาบั้แ่ฝ่ามือยันปลายหู
“ยังกับเด็กมัธยมเลยน้า…” เธอแกล้งยิ้มตาเป็ประกาย “เขินขนาดนี้ นี่พี่จะกล้าสอนดีมั้ยเนี่ย?”
นัทพงษ์ทำหน้าเหมือนจะกลั้นหายใจ แล้วก็พูดออกมาสั้นๆ “…ถ้าพี่ไม่รำคาญ ก็อยากให้สอนครับ”
คำพูดของเขาเหมือนหลุดออกจากใจจริงๆ จนมารตีต้องชะงัก เธอมองเขาอีกครั้ง…ครั้งนี้ไม่ใช่เพราะเขาน่ารักหรือซื่อเท่านั้น แต่เป็เพราะเธอเริ่มเห็นอะไรบางอย่างในตัวเขา ความตั้งใจที่ซื่อตรงและไร้การเสแสร้ง…แบบที่เธอเองไม่ค่อยได้เจอ
“ไม่เป็ไร เดี๋ยวพี่สอนเอง…” มารตีพูดเสียงนุ่ม พร้อมยิ้มให้เขาอย่างอบอุ่น
นัทพงษ์ได้แต่กลืนน้ำลายลงคอแรงๆ เหงื่อเริ่มซึมออกมาตามไรผม ทั้งที่ในรถเย็นเฉียบ แต่หัวใจเขากลับร้อนวาบไม่หยุด ไม่นาน รถก็เลี้ยวเข้าเขตสำนักงานที่ต้องนำเอกสารไปส่ง มารตีดึงเบรกมือขึ้น ก่อนจะหันมามองเขาอีกครั้ง
“เอาล่ะ ไปส่งเอกสารกันดีกว่า มือใหม่น้อยๆ ของพี่” หญิงสาวยิ้มล้อๆ
