ตำหนักชิงหยวน
เนื่องจากถูกลอบสังหาร ร่างกายของมู่หรงเฉิงฮ่องเต้แห่งแคว้นเยี่ยนก็แย่ลงอีกครั้ง ต้องพักรักษาตัวเงียบๆ สองวันถึงจะดีขึ้นมาเล็กน้อย
มู่หรงฉือเพิ่งจะก้าวเข้าตำหนัก ก็ได้ยินเสียงสรวลของเสด็จพ่อกับเสียงอ่อนหวานของเซียวกุ้ยเฟยดังออกมาจากห้องบรรทม นางจึงหยุดอยู่ตรงหน้าตำหนัก
“ฝ่าาพักผ่อนรักษาตัวอย่างวางใจเถิด นักฆ่าได้ถูกสำเร็จโทษไปแล้ว หม่อมฉันสั่งให้ผู้ดูแลหลิวจัดการเหล่าข้าหลวงและองครักษ์ไปรอบหนึ่ง คนที่น่าสงสัยได้ถูกกำจัดไปหมดแล้ว ไม่มีทางเกิดเื่เช่นนั้นขึ้นอีกแล้วเพคะ”
ดวงตาของเซียวกุ้ยเฟยกระพริบช้าๆ มือเรียวงามลูบไล้แผ่นอกของเขาค่อยๆ ไล้ไปตามใบหน้า ฮ่องเต้สีหน้าอารมณ์ดี สรวลเสียงสดใส “มีสนมรักคอยควบคุมข้าหลวงในวังหลัง มีหลิวอันคอยจัดการ เจิ้นก็วางใจมากแล้ว”
ดวงตาทั้งสองของนางพราวระยับ “พูดไปแล้ว ครั้งนี้กลับเป็ผลงานอันยอดเยี่ยมของจาวฮวาและอวี้หวาง หากไม่ใช่จาวฮวาอยู่ที่นี่พอดี หยวนซิ่วคนดูแลข้างกายนางก็คงไม่สามารถหยุดนักฆ่าได้ หากอวี้หวางไม่ได้มาทันเวลา แล้วมารอเฝ้าที่ด้านนอกตำหนัก ก็คงไม่อาจจับตัวคนร้ายได้ ฝ่าาจะต้องพระราชทานรางวัลให้ทั้งสองคนเพื่อแสดงความชื่นชมที่จัดการคนร้ายได้นะเพคะ”
“แน่นอนว่าจะต้องตกรางวัล เพียงแต่เจิ้นยังคิดไม่ออกว่าควรจะให้รางวัลอะไรจาวฮวากับอวี้หวางดี” มู่หรงเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย
“จากที่หม่อมฉันดูแล้ว อวี้หวางควบคุมอำนาจในราชสำนักทั้งหมด เป็ฝ่าาที่มอบตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนให้เขาด้วยพระองค์เอง การปกป้องฝ่าาก็ถือเป็หน้าที่ของเขา ฝ่าาประทานรังนก โสม โอสถสำหรับบำรุงร่างกายให้เขาก็พอ ส่วนจาวฮวาเด็กคนนี้เสี่ยงเป็เสี่ยงตายปกป้องพระองค์เป็สิ่งที่หาได้ยาก จะต้องประทานรางวัลให้อย่างงามนะเพคะ” เซียวกุ้ยเฟยคลี่ยิ้ม ใบหน้ารูปไข่ห่านขาวผ่อง “หม่อมฉันนึกออกแล้วเพคะ ฝ่าากำลังหาราชบุตรเขยที่เก่งทั้งบุ๋นทั้งบู๊ให้นางอยู่มิใช่หรือ? เื่นี้หม่อมฉันมีความคิดอยู่บ้างเพคะ”
“อ้อ? เ้าลองพูดมา”
“ในหมู่ประชาชนมีการแข่งขันเพื่อหาคู่แต่งงานอยู่ ในอดีตแคว้นของพวกเราก็มียามที่องค์ชายเลือกเฟย มิสู้จัดการแข่งขันเลือกสวามีให้จาวฮวาดีหรือไม่เพคะ?” นางพูดด้วยรอยยิ้มสดใส ยิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้น “ในเมื่อจะเลือกคนที่เก่งทั้งบุ๋นและบู๊ นิสัยดี เช่นนั้นก็ต้องแบ่งเป็การแข่งด้านวิชาการกับแข่งต่อสู้”
มู่หรงเฉิงเองก็สนใจ ดวงตาเปล่งประกาย “เป็ความคิดที่ดี ลูกหลานของขุนนางในเมืองหลวงที่มีระดับขั้นสี่ขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็บุตรจากฮูหยินเอกหรือบุตรจากอนุก็สามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้ สุดท้ายคัดเลือกสามคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดมาให้เจิ้นเลือกเองว่าใครจะเป็คนที่ได้แต่งกับจาวฮวา”
เซียวกุ้ยเฟยหัวเราะแล้วพูด “ใช่เพคะ การแข่งขันด้านวิชาการนั้นแข่งสักหนึ่งรอบก็พอ ส่วนด้านการต่อสู้จะต้องดูว่ามีกี่คนที่เข้าร่วมแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะแบ่งสนามแรกกับสนามสุดท้ายอย่างไร”
เขายิ้มไม่หุบ “ก่อนหน้านี้เจิ้นปวดหัวมาตลอดว่าจะเลือกคุณชายจากตระกูลไหนจาวฮวาถึงจะพอใจ ความคิดของสนมรักแก้ไขความยุ่งยากใจของเจิ้นได้ สมควรได้รับรางวัล”
นางหลุบตาลงมองเขา “การแบ่งเบาภาระของฝ่าาคือหน้าที่ของหม่อมฉันเพคะ”
มู่หรงเฉิงที่เกิดมาก็พ่ายแพ้ต่อสตรี หัวใจพลันสั่นไหว เขายกมือขึ้นลูบคางของนาง จากนั้นก็เลื่อนมือลงลูบไล้บ่าหอมกรุ่น ทำเอานางเขินอายจนเบือนหน้าหนี ร้องออกมาเสียงเบา เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่สามารถดื่มดำกับความสุขในด้านนี้ได้แล้ว จึงทำได้เพียงลูบคลำทว่าไม่อาจเสพสุข
มู่หรงฉือกระแอมเสียงเบา โค้งตัวคำนับก่อนจะกล่าวขึ้น “ลูกถวายบังคมเสด็จพ่อ”
มู่หรงเฉิงวางมือลงอย่างเสียดาย มองไปนอกห้องบรรทมหน้าตึง
“ที่แท้เป็องค์รัชทายาทมาเข้าเฝ้านี่เอง” เซียวกุ้ยเฟยยืนขึ้นเลิกคิ้วพลางยิ้มเย็น
“เสด็จพ่อ วันนี้อาการดีขึ้นบ้างหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” มู่หรงฉือเดินเข้าไปในห้องบรรทม ครั้นเห็นสีหน้าของเสด็จพ่อแดงระเรื่อ คิดดูแล้วเืลมคงกำลังพลุ่งพล่าน
หากนางไม่เข้ามาได้ทันเวลา เกิดเสด็จพ่อทนไม่ไหวขึ้นมาเกรงว่าผลที่ตามมาคงยากที่จะคาดเดาแล้ว
มู่หรงเฉิงพูดเสียงเรียบ “เจิ้นดีขึ้นมากแล้ว”
นางเหมือนอยากจะพูดแต่ก็ไม่พูด ครุ่นคิดรวบรวมความกล้าแล้วจึงกล่าวออกมา “เสด็จพ่อ ท่านหมอเทวดาได้บอกเอาไว้แล้วว่าจะต้องพักรักษาตัวให้ดีถึงจะมีความหวังที่จะรักษาหาย เสด็จพ่ออย่าทำเพื่อความสุขเพียงชั่วคราวจนทำให้ร่างกายเสื่อมโทรมเลยพ่ะย่ะค่ะ ควรระมัดเอาไว้ตลอดเวลาตามที่หมอเทวดากำชับเอาไว้ถึงจะดี หากลูกรู้ว่ามีคนมายั่วยวนเสร็จพ่อเพื่อแย่งชิงความโปรดปราน ทำให้ร่างกายของเสด็จพ่อแย่ลง ลูกจะไม่มีทางยอมปล่อยไป”
ประโยคสุดท้ายเอ่ยออกมาด้วยเสียงดังกังวาน
นางปรายตามองไปทางเซียวกุ้ยเฟยด้วยดวงตาเ็า
ดวงหน้างดงามราวบุปผาของเซียวกุ้ยเฟยแดงระเรื่อขึ้นมาทันที เนื่องจากคำพูดของนางเพ่งเล็งยิ่งนัก เืลมพลุ่งพล่านตามโทสะที่เพิ่มขึ้น ใบหน้าของเซียวกุ้ยเฟยประเดี๋ยวขาวประเดี๋ยวเขียว สุดท้ายก็เปลี่ยนมาเป็สีตับหมู นางกัดฟันพูด “ที่องค์รัชทายาทพูดมานั้นหมายความว่าอย่างไร?”
“องค์รัชทายาทคิดมากไปแล้ว เจิ้นย่อมระมัดระวังตามคำสั่งของหมอเทวดา ย่อมต้องรักษาตัวเอง ไม่ทำเื่ไม่เหมาะสม” มู่หรงเฉิงพูดอย่างไม่พอใจ สีหน้าเ็า
“ฝ่าา...” เซียวกุ้ยเฟยออดอ้อนน้อยอกน้อยใจอย่างผู้บริสุทธิ์
“เจิ้นรู้ว่าเ้าไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น” เขาปลอบโยนเสียงอ่อน จากนั้นก็หันไปทางมู่หรงฉือ “องค์รัชทายาทมีธุระใดหรือไม่?”
“ฝ่าา องค์รัชทายาทอายุก็มากแล้ว ควรจะเรียนรู้เื่การบริหารบ้านเมือง เื่การหาสามีให้จาวฮวา มิสู้มอบให้องค์รัชทายาทเป็คนคอยตรวจสอบดีกว่าเพคะ” จู่ๆ นางก็หัวเราะออกมา ดวงตาวาวราวกับมีดแหลมคม “จาวฮวาเป็น้องสาวขององค์รัชทายาท หม่อมฉันคิดว่าองค์รัชทายาทจะต้องทุ่มเทแรงใจเพื่อน้องสาวแน่นอนเพคะ”
“ดี” มู่หรงเฉิงรับปากอย่างไม่ลังเล “องค์รัชทายาทขัดข้องหรือไม่?”
“ลูกจะต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจทำเื่นี้ให้ดีพ่ะย่ะค่ะ เพื่อเลือกบุรุษที่โดดเด่น ยอดเยี่ยมที่สุดในแคว้นของพวกเราให้น้องสาว”
มู่หรงฉือมีหรือจะไม่รู้ว่าเป็เซียวกุ้ยเฟยที่เสนอความคิดนี้ออกมา ก็แค่อยากจะใช้ข้ออ้างนี้ไปกำหนดชีวิตแต่งงานของจาวฮวา ส่วนอวี้หวางไม่มีทางลงชื่อเข้าร่วม ดังนั้นจะเลือกจะเฟ้นอย่างไรก็ไปไม่ถึงตัวเขา
อีกอย่าง เซียวกุ้ยเฟยเสนอให้นางมาคอยตรวจสอบการจัดงานก็คือ้าให้นางยุ่งวุ่นวาย ไม่มีเวลาว่างไปตรวจสอบการตายของจ้าวผิน
ยิงธนูนัดเดียวได้นกสองตัว เป็แผนที่ยอดเยี่ยมจริงๆ
มู่หรงฉือกล่าว “เสด็จพ่อพักผ่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ ลูกทูลลา ใช่แล้ว กุ้ยเฟย เื่คัดเลือกสวามีให้กับน้องสาว เปิ่นกงมีความคิดอยากจะปรึกษากับกุ้ยเฟย ท่านจะไปคุยกับเปิ่นกงได้หรือไม่?”
มู่หรงเฉิงหัวเราะแล้วพูด “เจิ้นเหนื่อยแล้ว อยากจะพักผ่อนสักหน่อย พวกเ้าออกไปปรึกษากันด้านนอกดีๆ เถิด”
เซียวกุ้ยเฟยกับมู่หรงฉือทูลลาแล้วเดินมายังทางเดินด้านนอกตำหนัก มู่หรงฉือเดินไปทางตะวันออก หยุดฝีเท้าลงพร้อมกับดวงตาที่ใสเย็นเหมือนน้ำ “กุ้ยเฟยทำของมีค่าหายไปบ้างหรือไม่?”
หัวใจของเซียวกุ้ยเฟยเต้นรัว ขนตางอนยาวของนางสั่นไหวน้อยๆ แต่ว่าสีหน้าไม่เปลี่ยน ยิ้มเย็นเหมือนปกติ “ไม่มีนี่ เหตุใดเตี้ยนเซี่ยถึงได้ถามเช่นนี้?”
“กุ้ยเฟยจำได้แน่นอนใช่หรือไม่?” มู่หรงฉือถามนาง ดวงตาคมปลาบทอประกาย
“แน่นอนว่าเปิ่นกงต้องจำได้ชัดเจน” เซียวกุ้ยเฟยเชิดลำคอขึ้น สีหน้าเ็าราวน้ำในฤดูใบไม้ร่วง
“เมื่อวันก่อนเปิ่นกงไปเจอกล่องกำมะหยี่โดยไม่ได้ตั้งใจกล่องหนึ่ง ภายในกล่องนั้นมีปิ่นทองรูปกิ่งสนอยู่เล่มหนึ่ง” มู่หรงฉือยกมือขึ้นมาขยับน้อยๆ แล้วพูดต่อ “เปิ่นกงจำได้ว่าเซียวกุ้ยเฟยเหมือนจะมีปิ่นทองอยู่เล่มหนึ่งจึงมาถามดู”
ฉินรั่วเดินเข้ามา แล้วนำกล่องกำมะหยี่มาให้
มู่หรงฉือรับกล่องมาแล้วเปิดมันต่อหน้าเซียวกุ้ยเฟย “กุ้ยเฟยลองดู ปิ่นทองรูปกิ่งสนนี้เป็ของกุ้ยเฟยหรือไม่? หรือว่ากุ้ยเฟยทำหายไปนานมากแล้ว ลืมไปแล้ว?”
เซียวกุ้ยเฟยปรายตามองปิ่นทองรูปกิ่งสนเล่มนั้น ดวงตาสวยหรี่ลง บรรยากาศเย็นเยียบพลันปรากฏขึ้นแล้วหายวับไปในทันที นางพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ดูความจำของเปิ่นกงสิ มันหายไปจริงๆ เสียด้วย ปิ่นทองเล่มนี้หายไปเมื่อสามเดือนก่อน ไม่รู้ว่าถูกหัวขโมยที่ไหนเอาไป ขอบคุณเตี้ยนเซี่ยที่นำกลับมา”
นางรับกล่องกำมะหยี่มา “ปิ่นทองนี้เปิ่นกงคิดว่าไม่ค่อยจะสง่าเท่าใดนัก จึงโยนไปไว้ด้านข้าง หลังจากหายไปก็หาไม่พบ แล้วก็จำไม่ได้แล้ว”
มู่หรงฉือหัวเราะเบาๆ ในรอยยิ้มซุกซ่อนเข็มเงินแหลมคมเอาไว้ ปลายแหลมวาววับ “กุ้ยเฟย อย่าคิดว่าคนอื่นจะไม่รู้ถึงสิ่งที่เ้าทำเอาไว้ในครั้งนี้ อย่างไรก็ต้องถูกคนล่วงรู้ ครั้งนี้แค่ทำปิ่นทองหาย ครั้งหน้าสิ่งที่ทำหายไปอาจจะเป็ชีวิตก็ได้ อย่างไรการเดินอยู่ที่ริมแม่น้ำบ่อยๆ มีหรือที่รองเท้าจะไม่เปียกชื้น[1] ใช่หรือไม่?”
ประโยคซุกซ่อนความนัยเช่นนี้ เซียวกุ้ยเฟยมีหรือจะไม่เข้าใจ?
“เตี้ยนเซี่ยเฉลียวฉลาด คงจะรู้ว่าการยุ่งเื่ของคนอื่นนั้นหาใช่เื่ดี เตี้ยนเซี่ย ปิ่นกิ่งสนนี่หายไปก็คือหายไป เื่เล็กแค่นี้เหตุใดจะต้องทำให้เป็เื่ใหญ่โตด้วยเล่า?” นางยิ้มทรงเสน่ห์ ดวงตาแฝงรอยยิ้มทิ่มแทงดังมีดอันแหลมคม “พระบิดาของเ้ากำลังรักษาตัวอยู่ ไม่อาจรับเื่น่าตื่นตระหนกได้ หากเตี้ยนเซี่ยกตัญญูจริงๆ ก็จงให้ความสำคัญกับเื่ใหญ่เอาไว้ก่อน จัดงานของจาวฮวาไป ให้ฝ่าาดีพระทัย”
“เปิ่นกงจะต้องทำเื่ของจาวฮวาให้ดีแน่นอน ไม่ให้เสด็จพ่อต้องกังวล แต่ขอบอกเอาไว้ประโยคหนึ่ง เซียวกุ้ยเฟยอย่าได้เดินไปไหนมาไหนตอนกลางคืน ไม่เช่นนั้นอาจมีิญญาที่ตายไปอย่างไร้ความเป็ธรรมมาตอแยจนเ้าอยู่ไม่สงบตอนกลางคืน” มู่หรงฉือพูดเสียงเบาทว่าเฉียบคมเป็อย่างยิ่ง
พูดจบ นางก็หมุนตัวเดินไป
เซียวกุ้ยเฟยมองตาม องค์รัชทายาทไม่ได้เื่ผู้นี้ถึงกับกล้าข่มขู่นาง!
แต่องค์รัชทายาทคนดีก็ไม่กล้าเผยแพร่เื่นี้ออกไป!
...
เื่ขององค์หญิงจาวฮวาให้กรมพิธีการเป็คนรับผิดชอบทั้งหมด ส่วนมู่หรงฉือเป็คนคอยตรวจสอบดูแล
หลังจากองค์ชายทั้งเจ็ดก่อความวุ่นวายเมื่อสิบกว่าปีก่อน ราชวงศ์ก็มีผู้สืบทอดอยู่เพียงคนเดียว เหลือแค่องค์รัชทายาทที่เป็องค์ชาย องค์หญิงมีเพียงองค์หญิงจาวฮวากับองค์หญิงจิ่นหยาง องค์หญิงฮุ่ยหยางยังไม่ถึงวัยปักปิ่น ดังนั้น เมื่อกรมพิธีการประกาศออกไป คนเก่งบุ๋นบู๊ทั้งราชสำนักก็พากันกระเหี้ยนกระหือรือ คนที่อยากจะเพิ่มตำแหน่งการงานในตระกูล คนที่อยากมีเกียรติยศร่ำรวย คนที่อยากจะทำให้ครอบครัวมีเกียรติ คนที่อยากจะทำให้ตำแหน่งมั่นคง เหล่านี้ต่างทยอยตบมือตบเท้ากันเข้ามา ที่ร่ายมนต์ก็ร่ายมนต์ ที่รำดาบก็รำดาบ ธรณีประตูกรมพิธีการถูกเหยียบจนพังไปหมด
ภายในเวลาสองวัน กรมพิธีการก็เอารายชื่อคุณชายจากตระกูลขุนนางกับชายหนุ่มจากตระกูลสามัญชนที่สมัครเข้าร่วมการคัดเลือกมาไล่เรียง มีทั้งหมดสามสิบหกคน
ครั้นมู่หรงฉือรู้ว่ามีรายชื่อผู้เข้าสมัครเยอะขนาดนี้ก็อดหัวเราะเสียงเย็นไม่ได้
ยามนี้ในราชวงศ์ไม่มีองค์ชายที่พวกตระกูลใหญ่ๆ กับตระกูลมีชื่อเสียงพวกนั้นจะส่งลูกสาวมาเพื่อสร้างความมั่นคง หรือเสริมอำนาจให้ตระกูลได้อีก การเป็คู่ครองขององค์หญิงจาวฮวาเป็โอกาสในสิบกว่าปีนี้ที่หาได้ยาก ดังนั้นทุกคนจึงกระตือรือร้นที่จะเข้าร่วม การคัดเลือกคู่ครองขององค์หญิงจาวฮวากลายเป็หัวข้อที่โด่งดังที่สุดในเมืองหลวง
องค์หญิงจาวฮวาที่อยู่ในตำหนักจิ่งหงกลับไม่รู้อะไรเลย ทั้งกำลังครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะยั่วยวนอวี้หวางได้ หรือควรใช้ข้ออ้างอะไรที่จะไปหาเขาที่ห้องตำราได้
ตอนที่นางกำนัลรีบวิ่งกลับมาบอกเ้านายของตนเื่นี้ นางตื่นใยิ่งนัก
เพราะถูกหยวนซิ่วเตือน นางถึงได้ดึงสติกลับมาแล้วรีบไปหามารดาที่ตำหนักอวี้ซิ่ว
“เสด็จแม่ นี่เป็เื่จริงหรือเพคะ?”
นางจับแขนเสื้อกว้างถามด้วยความร้อนใจ ดวงตาสวยทั้งสองข้างวาววับ
จู่ๆ ก็เปิดประเด็นขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้เฉียวเฟยชะงักไป แต่เพียงครู่เดียวนางก็เดาได้ว่าบุตรสาวถามถึงเื่ใด นางปลอบใจแล้วดึงบุตรสาวให้นั่งลง แต่ว่าบุตรสาวกลับสะบัดมือทิ้งแล้วตวาดออกมาด้วยความเดือดดาล “เสด็จแม่รีบพูดสิเพคะ”
“จาวฮวา เ้าใจเย็นก่อนเถิด” เฉียวเฟยกล่าวเสียงอ่อนโยน “นี่คือเื่ที่เสด็จพ่อของเ้ากำหนดลงมา ถึงเ้าจะไม่ยินยอมก็ไม่อาจ...”
“เสด็จแม่ เหตุใดจึงไม้รีบบอกลูก?” มู่หรงฉางทั้งโกรธทั้งเสียใจ เสด็จแม่จงใจปิดบังนาง
เชิงอรรถ
[1] เดินอยู่ที่ริมแม่น้ำบ่อยๆ มีหรือที่รองเท้าจะไม่เปียกชื้น เป็สำนวนหมายถึง เมื่อใช้ชีวิตทำสิ่งไม่ดีลงไป นานวันเข้าก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงที่จะมีนิสัยเสียๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้