จิ่งเหวินซานทำลานประลองขึ้นใหม่ เวทีประลองยุทธ์จำนวนหนึ่งร้อยสิบกว่าเวทีเป็สีขาวแดงสลับกัน หากมองจากที่สูงก็จะถูกบรรยากาศอันอลังการนี้ทำให้ตื่นตะลึงได้เหมือนกัน แต่ตอนนี้ที่ใช้อยู่ก็มีแค่ไม่กี่เวทีตรงกลางนั้น คนที่พวกอ๋าวหรานสนใจไม่น้อยก็ยังคงเป็เจียงซิวผู้นี้ เ้าเด็กนี่ดูแล้วเป็คนถ่อมตัวเรียบง่ายไม่ค่อยพูด แต่บรรยากาศรอบตัวที่บอกว่า ‘ใครจะมาข้าก็ไม่กลัว’ นั้นไม่มีถ่อมตัวแม้สักนิด
จินเฉียนเป้ยที่ยืนอยู่หน้าพวกเขาพูดไม่หยุดว่า “ในที่สุดก็มีโอกาสได้เปิดหูเปิดตากับดาบใหญ่ตระกูลเจียงเสียที แต่ว่าเ้าเด็กเจียงซิวผอมบางถึงเพียงนี้ จะยกดาบเล่มนั้นของเขาขึ้นได้จริงๆ หรือ?”
อ๋าวหรานเองก็อดเห็นด้วยไม่ได้ เจียงซิวดูแล้วสงบนิ่งเ็า แต่ตัวเล็กเหมือนเด็กที่ยังไม่โต ดาบเล่มใหญ่ในมือนั้นดูแล้วทั้งใหญ่ทั้งหนักอึ้งมากทีเดียว คิดว่าคนทั่วไปแค่ถือก็เหนื่อยแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะออกกระบวนท่าทำอะไรได้เลย
คู่ต่อสู้ของเขาเป็เ้าเด็กตัวโตที่สูงกว่าเขาหนึ่ง่ศีรษะ ตัวใหญ่กว่าเขาเกือบครึ่งหนึ่ง ผิวดำแวววาว มองดูเจียงซิวที่ตัวเล็กกว่าเขารอบหนึ่งแล้วหมุนค้อนในมือสองรอบ สีหน้าท่าทางมั่นใจว่าเขาต้องชนะแน่
จิ่งจื่อมีท่าทางราวกับอยากขึ้นไปแทนที่คู่ต่อสู้ของเจียงซิวเพื่อสู้เอง “ข้ารู้สึกว่าเจียงซิวเก่งกว่านะ”
จินเฉียนเป้ยรีบพูดว่า “นั่นมันแน่อยู่แล้ว ดาบตระกูลเจียงไม่ใช่แค่ฉายาลอยๆ”
จิ่งเซียงมองจินเฉียนเป้ยอย่างดูถูกทีหนึ่ง “เมื่อกี้เ้าเพิ่งพูดอยู่ว่าเขาไม่น่าจะยกดาบขึ้นมิใช่หรือ?”
จินเฉียนเป้ยยิ้มฟันขาว “ข้าก็แค่อยากพูดว่าเจียงซิวตัวเล็กเกินไปเท่านั้น ส่วนฝีมือของเขานั้นยังคงคุ้มค่าให้รับรองได้อยู่”
จิ่งเซียง “...”
จะดีหรือร้ายก็ล้วนขึ้นอยู่กับปากเ้าจริงๆ
อย่างไรเสียก็เป็การประลองที่ค่อนข้างเป็ทางการ ฉากประกอบต่างๆ ที่ควรมีจิ่งเหวินซานก็จัดเตรียมมาทั้งหมดไม่ได้ขาด กลองหนังสีแดงสองอันด้านหน้าเวทีถูกชายหนุ่มรูปร่างกำยำสองคนตีสองสามทีจนดังะเืหูไปหมด หนังกลองสั่นไหวจนทำให้ผู้คนรู้สึกตาลาย
ตอนนี้แดดกำลังดีทีเดียวเพราะเข้าสู่่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว ฟ้าเปิดแต่ไม่ร้อน ถือเป็วันที่ดี
เสียงกลองดังะเืเลือนลั่นทำให้ทุกคนอดรู้สึกเืลมสูบฉีดพลุ่งพล่านขึ้นมาไม่ได้ แต่ละคนเริ่มตื่นเต้นขึ้นแล้ว ตอนที่กลองตีจนเกือบจะครบห้านาทีแล้วนั้นถึงค่อยๆ เบาลง ชายหนุ่มที่หน้าเวทีไม่พูดมากความ เพียงะโเสียงดังออกมาเต็มที่ว่า “เริ่มการประลองได้!”
คนทั้งสองบนเวทีค่อยๆ พุ่งเข้าไปพัวพันกัน สายตาของพวกอ๋าวหรานจ้องอยู่ที่เจียงซิว อาวุธของทั้งสองบนเวทีล้วนค่อนข้างหนัก เสียงกระทบกันดังบาดหูจนผู้คนที่อยู่รอบๆ ต่างพากันปวดหูไปตามกัน
แค่เพียงกระบวนท่าเดียวง่ายๆ นี้ก็ทำให้มองออกถึงความสามารถที่แท้จริงของคนบนเวทีแล้ว ดาบใหญ่ของเจียงซิวสามารถทำให้ค้อนใหญ่ของคู่ต่อสู้บุบลงได้ ส่วนแรงที่เหลือก็ยังผลักคนผู้นั้นจนถอยหลังไปหลายก้าว เ้าเด็กตัวโตผิวดำวาวนั้นหลังจากยืนอย่างมั่นคงแล้วก็ยังแสดงสีหน้าไม่เชื่อออกมา
เจียงซิวก็ดูไม่โอ้อวดโอหัง เม้มปากหน้านิ่ง คนผิวดำผู้นั้นถึงแม้จะแพ้ไปหนึ่งกระบวนท่า แต่ก็ชัดเจนว่ายังคงไม่เชื่อ รวบรวมพลังเต็มที่พุ่งเข้าใส่อีกรอบ ค้อนใหญ่หมุนคว้างดูทรงพลังหอบเอาลมส่งเสียงดังฮูๆ มาด้วย เจียงซิวไม่หลบไม่หลีก กลับถอยเท้าซ้ายไปก้าวหนึ่ง ร่างกายเอนไปข้างหน้าเล็กน้อย ข้อมือสะบัดออกกระบวนท่า ตัวดาบชี้ขึ้น สองมือจับด้ามดาบ และในตอนที่ค้อนนั้นกำลังจะใกล้เข้ามา เขาก็ใช้เพียงมือเดียวสะบัดมันออกไป…
ปัง...
ค้อนใหญ่ทุ่มหล่นลงบนพื้นอย่างแรง คนผิวดำนั้นถึงกับชาข้อมือ ซวนเซสองทีก็คุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้นแล้ว
ดวงตาทั้งคู่ของจิ่งจื่อเปล่งประกาย “เ้าเด็กนี่คงใช้มือข้างเดียวยกวัวตัวอ้วนใหญ่สักตัวได้อย่างสบายๆ แน่”
จิ่งเซียงหันไปกลอกตาใส่เขา
จินเฉียนเป้ยดูตื่นเต้นยิ่งกว่าจิ่งจื่ออย่างชัดเจน ทั้งะโทั้งให้กำลังใจเจียงซิว เจียงซิวมองเขาทีหนึ่งด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แต่แววตาดูรังเกียจเต็มที่
การประลองของคนทั้งสองรู้ผลอย่างรวดเร็ว เจียงซิวถึงแม้จะตัวเล็ก แต่เรี่ยวแรงมหาศาลจนหมดคำจะพูด คนผิวดำนั่นตอนแรกคิดว่าตัวเองจะมีข้อได้เปรียบในด้านนี้ กลับไม่คิดว่าจะเจอเข้ากับคนที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้ ยิ่งบวกกับกำลังภายในและเพลงดาบอันโดดเด่นของเจียงซิว ดังนั้นคนผิวดำจึงแพ้อย่างรวดเร็ว
คนที่ล้อมอยู่โดยรอบรู้สึกยังไม่สาแก่ใจเพราะจบเร็วเกินไป แต่ก็นับว่าเจียงซิวดึงดูดความสนใจของผู้คนได้มากจริงๆ แถมการประลองครั้งนี้ของเขายังเป็การประลองที่จบลงเป็คู่แรกของรอบแรกอีกด้วย
ตัวเจียงซิวนั้นนับว่านิสัยใช้ได้ทีเดียว ถึงจะตีคนผิวดำผู้นั้นตกเวทีไปแล้ว แต่ก็ไม่ทำให้เขาาเ็อะไร เมื่อจบการแข่งขันแล้วยังประสานมือคารวะให้เขาอย่างตั้งใจ คนผิวดำผู้นั้นก็ไม่ใช่คนใจคอคับแคบอะไร แพ้ก็คือแพ้ คารวะเขากลับ แล้วยังชื่นชมไปประโยคหนึ่งว่าขอยอมรับความพ่ายแพ้อย่างจริงใจ
จินเฉียนเป้ยดีใจยิ่งกว่าตัวเองชนะเสียอีก โอบบ่าเจียงซิวแล้วหัวเราะฮ่าๆ คาดว่าความสูงเองก็คงเป็แผลในใจของเจียงซิว เมื่อถูกเ้าเด็กจินเฉียนเป้ยที่ไม่รู้ความโอบบ่าเข้าก็สะบัดสีหน้าดำคล้ำใส่ไปทีหนึ่ง
การประลองทางนี้จบลงแล้ว จากนั้นพวกอ๋าวหรานก็ส่งสายตาไปทางเฉินเปิ่นฉี เ้าเด็กนี่เกิดในตระกูลใหญ่ วรยุทธ์ก็ถือว่าเข้าที ถึงแม้ตระกูลเฉินจะเป็ตระกูลที่ถูกคนทั่วไปดูถูกกันอย่างลับๆ ว่าเป็ตระกูลอันธพาล แต่ความสามารถก็มีให้เห็นกันอยู่ ภายนอกทุกคนก็ยังต้องคารวะอยู่สองส่วน เ้าเด็กที่เป็คู่ต่อสู้ของเฉินเปิ่นฉี ชัดเจนว่าไม่อ่อนแอเช่นกัน คนทั้งคู่ล้วนใช้กระบี่รวดเร็วเป็อย่างมาก ประกายไฟที่เกิดจากกระบี่สองเล่มปะทะกันชวนให้ดึงดูดสายตาผู้คนยิ่งนัก
รอบข้างมีการประลองอีกสองเวทีที่จบไปตามๆ กัน ส่วนคู่ของเฉินเปิ่นฉีนั้น...สุดท้ายก็ถูกเฉินเปิ่นฉีใช้เท้าถีบตกจากเวทีประลองไปจึงสิ้นสุดการประลอง
่ที่ทุกคนกำลังตั้งใจดูการประลองอยู่นี้ ทางเต๋อรั่วกับหลางฉาก็ค่อยๆ ถอยหลังไปอยู่ที่หลืบมุมหนึ่งช้าๆ ั์ตาของทางเต๋อรั่วนั้นยังคงมีสีแดงพาดผ่าน มองหลางฉาอย่างสงบราบเรียบ
หลางฉาถูกดวงตาที่ราบเรียบนิ่งสนิทคู่นั้นทำให้ระมัดระวังขึ้นมา ค่อยๆ ย่อเข่าคารวะแล้วพูดว่า “คุณชาย”
ทางเต๋อรั่วพยักหน้าราวกับจะส่งเสียงดังอืมออกมาทีหนึ่ง ไม่พูดอะไรอีก แต่ดวงตากลับสื่อออกมาอย่างชัดเจนว่า ‘อะไร’
ทางเต๋อรั่วกับเหยียนเฟิงเกอล้วนเป็คนที่พูดน้อยเหมือนกัน แต่ทว่าคนทั้งสองกลับให้ความรู้สึกต่างกันโดยสิ้นเชิง เหยียนเฟิงเกอนั้นเ็าจนทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับจะแข็งตายได้หากเข้าใกล้ แต่ก็เพียงแค่นั้น อย่างมากก็แค่เ็า เป็ก้อนน้ำแข็งที่ไร้ความรู้สึกยากจะเข้าใจ แต่ทางเต๋อรั่วกลับดูสูงส่งอยู่เหนือผู้ใด ราวกับว่าอยู่เหนือทุกคนสักหมื่นลี้เห็นจะได้ ความห่างเหินห่างไกลนั้นทำให้ผู้คนชะเง้อหาฝันใฝ่ แต่ก็ไม่อาจไล่ตามได้ทัน เพียงแค่มองก็รู้สึกได้ถึงความต่ำต้อยของตนเองจนต้องหยุดความคิดที่จะเข้าใกล้เขาเลยทีเดียว
หลางฉาไม่กล้ามองเขาอีก ค่อยๆ ก้มหน้าลง ในน้ำเสียงมีความรู้สึกผิดอยู่หลายส่วน “คุณชาย ที่ช่างฉือจายเหมือนข้าจะพูดคำที่ไม่สมควรพูดออกไปจนทำให้ทุกคนเกิดความสงสัย”
ทางเต๋อรั่วส่ายหน้า “ไม่เป็ไร”
เมื่อได้รับการยืนยันนี้ หลางฉาก็รู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง ถามอีกว่า “คุณชาย ถ้าเช่นนั้นตอนที่ข้าต้องประลองกับหลี่หนิงหว่าน ต้องแอบซ่อนความสามารถไว้บ้างหรือไม่เ้าคะ?”
คนพูดถามอย่างค่อนข้างโอหัง แต่นี่ก็เป็ความจริง หลางฉารู้ว่าตัวเองยังห่างไกลจากทางเต๋อรั่วนัก แค่หลี่หนิงหว่านเพียงคนเดียวนางสามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย แม้นางจะเป็สตรี ตอนอยู่ที่ตระกูลทางก็นับว่าถูกทางเหวินหนิงโอ๋อยู่บ้าง แต่ก็เดินทางไปนู่นมานี่ที่โลกภายนอกอยู่เป็นิจ ยิ่งรวมกับการที่นางมักจะประมือกับสวีหรงฉี่อยู่บ่อยๆ ดังนั้นก็พอจะรู้ฝีมือของผู้คนบนแผ่นดินใหญ่อยู่บ้าง ยิ่งไปกว่านั้นตลอดทางจากภาคกลางมายังภาคตะวันออก นางก็นับว่าได้เปิดหูเปิดตามาไม่น้อย แต่ไม่เจอสักคนเดียวที่สามารถรับมือนางได้เกินสองกระบวนท่า แน่นอนว่าจิ่งฝานเป็ข้อยกเว้น ส่วนเื่การประเมินความสามารถของตัวเองนั้น นางพูดเช่นนี้ก็ถือว่าถ่อมตนแล้ว
ชัดเจนว่าทางเต๋อรั่วเองก็คิดเช่นนั้น สีหน้าไม่มีแววสงสัยแม้แต่น้อย ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความแน่ใจ “ไม่ต้องทำเช่นนั้นหรอก แสดงพลังทั้งหมดออกมาเลยเถิด”
หลางฉาค่อยๆ เงยหน้าขึ้น รู้สึกไม่เชื่อเล็กน้อย “เช่นนั้นจะเป็การเปิดเผยความสามารถของพวกเราเกินไปหรือไม่เ้าคะ เกรงว่าคนพวกนี้พอจบเื่แล้วจะไปรบกวนถึงตระกูลเข้า”
มุมปากของทางเต๋อรั่วราวกับจะยกขึ้นนิดๆ แฝงไปด้วยความเยาะหยันและความยโสโอหัง “เช่นนั้นก็ให้พวกเขามาเถิด ถึงเวลาที่จะให้พวกมดปลวกที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำพวกนี้ได้รู้แล้วว่าผู้ใดกันแน่ที่เป็าาบนแผ่นดินใหญ่นี้”
หลางฉาได้ยินเช่นนั้นแล้วทั้งร่างก็นิ่งค้างราวกับไม้ที่อยู่ที่เดิม สัตว์ประหลาดตระกูลทางที่แอบซ่อนอยู่ในป่าลึกพวกนี้จะออกมาแล้วหรือ? เช่นนั้นนกตัวเล็กๆ อย่างพวกนางจะสามารถรวมกลุ่มด้วยได้หรือไม่? หรือว่าจะกลายเป็เพียงทหารตัวเล็กๆ ที่ไม่มีความสำคัญที่เมื่อมาอยู่ตรงหน้ายอดฝีมือก็ต้องสลายหายไปั้แ่แรก
ราวกับรับรู้ได้ถึงความตกตะลึงสงสัยของหลางฉา ทางเต๋อรั่วก็พูดเรียบๆ ว่า “ทางเหวินหนิงค่อนข้างให้ความสำคัญกับเ้ามาก เ้าเองก็พยายามเข้าแล้วกัน”
ถึงแม้หลางฉาจะตกตะลึงที่เขาเรียกชื่อทางเหวินหนิงที่แก่กว่าเขารอบหนึ่งตรงๆ แต่ที่นางสนใจมากกว่าก็คือเนื้อหาของประโยคนี้ นางจะเป็หนึ่งในผู้ที่ได้รับการปกป้องด้วยอย่างนั้นหรือ?
การประลองรอบแรกจบลงภายในไม่เกินสิบห้านาที ในการประลองนี้...คนที่ทุกคนให้ความสนใจก็คือเจียงซิว ตระกูลของเจียงซิวถึงแม้จะไม่ใช่ตระกูลใหญ่เหมือนเช่นเฉินเปิ่นฉี แต่เห็นได้อย่างชัดเจนจากพละกำลังที่ปะทุออกมาในไม่กี่กระบวนท่าของเขาว่าเขาแข็งแกร่งกว่าเฉินเปิ่นฉีมากนัก เด็กหนุ่มที่ไม่สูงมาก ทั้งยังแลดูผอมบางผู้นี้ค่อยๆ ได้รับความสนใจจากผู้คนบนแผ่นดินใหญ่ ขอแค่หลังจากนี้เขายังคงแสดงความสามารถออกมาได้ดังเดิมอย่างเต็มที่ คาดว่าคงไม่แคล้วมีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่จากการประลองครั้งนี้แน่
ส่วนการประลองรอบที่สองที่น่าสนใจอยู่ก็มีจิ่งเซียงและหนุ่มน้อยหน้าขาวหนอนหนังสือเซี่ยเหวินเอ่อ คนผู้นี้ใบหน้ายังคงประดับรอยยิ้มเหมือนดังเดิม ท่าทางราวกับคุณชายผู้สุภาพอ่อนโยน แม้แต่ตอนขึ้นเวทีก็ยังไม่เหมือนผู้อื่นที่บินขึ้นไป แต่กลับเดินขึ้นไปอย่างสบายๆ แทน ไม่ช้าไม่เร็ว รอยยิ้มบนใบหน้าไม่เคยเปลี่ยน ในมือของเขาก็ไม่มีอาวุธใดๆ ดูไปแล้วก็เหมือนกับคนว่าง่ายสบายๆ ผู้หนึ่ง
อ๋าวหรานรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าเมื่อเทียบกับพวกลูกหลานแต่ละตระกูลที่มีใบหน้าดุร้าย ท่าทางเกรี้ยดกราดพวกนั้นแล้ว เขาผู้นี้ที่พยายามทำตัวไม่โดดเด่นเกรงว่าจะน่ากลัวยิ่งกว่า
จิ่งเซียงในฐานะที่เป็หนึ่งในสตรีไม่กี่คนที่ประลองในรอบนี้ เมื่อขึ้นไปบนเวทีก็ได้รับการสนับสนุนจากทุกคนอย่างชัดเจน จิ่งเซียงมีรูปลักษณ์งดงาม หนุ่มน้อยด้านล่างเวทีหลายคนล้วนดวงตากลายเป็รูปหัวใจ แทบจะแนบติดไปบนร่างจิ่งเซียงแล้ว อ๋าวหรานค่อยๆ เอียงร่างบดบังสายตาของหนุ่มน้อยพวกนั้น อดคิดในใจไม่ได้ว่าต้องปกป้องเด็กสาวตัวน้อยผู้นี้ให้ดี เพราะอันตรายภายนอกนั้นมีมากเกินไป
คู่ต่อสู้ของจิ่งเซียงเป็หนุ่มน้อยรูปร่างสูง คนผู้นั้นชัดเจนว่าเป็คนที่รักหยกถนอมบุปผา เมื่อเห็นว่าจิ่งเซียงเป็คู่ต่อสู้ของเขาก็รีบค้อมเอวประสานมือคารวะ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่เคยพบแม่นางคนใดที่งดงามน่ารักถึงเพียงนี้มาก่อน อีกสักครู่คงต้องล่วงเกินแม่นางแล้ว หวังว่าแม่นางจะไม่ถือโทษ”
อย่างน้อยจิ่งเซียงก็ยังนับว่าเป็คุณหนูมีตระกูล มารยาทในตระกูลก็เรียนมาไม่น้อย ถึงแม้เวลาอยู่ต่อหน้าพวกอ๋าวหรานจะชอบโหวกเหวกโวยวาย เอาแต่ใจไม่สนมารยาท แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนนอกก็ยังอยู่ในระเบียบเรียบร้อยดี น้ำเสียงไพเราะอ่อนหวาน ท่าทางเรียบร้อยน่ารัก “คุณชายอย่าได้เกรงใจ อย่างไรเสียก็เป็การประลอง เช่นนั้นก็สู้ให้เต็มที่เลยเถิด ไม่จำเป็ต้องคิดมาก”
หนุ่มน้อยผู้นั้นเห็นนางอ่อนโยนถึงเพียงนี้ก็หน้าแดงทันใด พูดติดๆ ขัดๆ ว่า “ใช่...ใช่ แม่นางพูดถูกแล้ว เป็ข้าที่คิดมากแล้ว”
อ๋าวหรานมองอยู่ด้านล่างเวทีอย่างทอดถอนใจ “แม่เด็กน้อยนี่พูดจาดีๆ เช่นนี้กับพวกเราครั้งล่าสุดเมื่อไรกัน? แปดร้อยปีที่แล้วนู่นกระมัง”
จิ่งจื่อเห็นด้วยอย่างยิ่งแล้วพยักหน้าแรงๆ “ข้าลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่านางยังมี...ด้านที่เรียบร้อยเช่นนี้อยู่ด้วย”
จิ่งฝานหันมาเหล่ตามองคนทั้งสองทีหนึ่ง แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่พอใจคนทั้งสองที่เปิดโปงน้องสาวเขาลับหลัง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้