พูดถึงเื่ที่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วกับเยวี่ยเจาหรานรับคำสั่งของฮูหยินเยี่ยน ไป ‘นั่ง’ ที่ศาลบรรพชนเป็การลงโทษ อีกด้านหนึ่งทางฝั่งสวี่ชิวเยวี่ยที่ถูกสั่งให้ไปผึ่งหนังสือเองก็ไม่ค่อยราบรื่นนัก
เพราะในใจยังเก็บซ่อนความขุ่นเคืองที่ยังไม่ได้ระบายออกมา ความคืบหน้าในงานของสวี่ชิวเยวี่ยจึงเอื่อยเฉื่อยเป็พิเศษ ถ้าเกิดพวกสาวใช้แม่บ้านทำอะไรผิดไปหรือเกียจคร้านตรงไหน นางก็จะเรียกออกมาต่อว่าทีหนึ่ง เป็เช่นนี้หลายต่อหลายครั้ง ไม่เพียงแค่เหล่าสาวใช้แม่บ้านเท่านั้นที่บ่นกันเกรียว แม้แต่อาเชวี่ยที่คอยรับใช้สวี่ชิวเยวี่ยมาตลอดก็ยังรู้สึกคับข้องใจไม่น้อย...
“เ้าพวกทึ่มทื่อ แค่ผึ่งหนังสือก็ผึ่งไม่ดี! ช่างโง่เง่าจริงๆ โง่เง่า!” สวี่ชิวเยวี่ยก้มหน้าก้มตาด่าทอเสร็จก็สะบัดแขนเสื้อหนีไป คนรอบข้างต่างทำหน้าตาสับสนมึนงง ไม่รู้ว่าเกิดเื่อะไรขึ้นกันแน่ มีเพียงอาเชวี่ยที่ตามอยู่ข้างหลังอย่างประจบสอพลอ แต่ผ่านไปพักหนึ่งก็วิ่งกลับมาอีกครั้ง
“พวกเ้า! ตั้งใจทำงานของตัวเองไป รีบฉวยโอกาสขณะที่แสงแดดยังไม่ร่ม เอาหนังสือแต่ละเล่มมาผึ่งแดดให้เรียบร้อย อย่าให้ฮูหยินจับได้ว่าพวกเ้าแอบอู้ทีหลัง ไม่เช่นนั้นใครก็อย่าคิดจะได้จบดีเลย!”
หลังจากอาเชวี่ยเร่งออกคำสั่งกับหมู่คนมากมายจบแล้ว นางก็หันหน้าวิ่งตามสวี่ชิวเยวี่ยไปอีกครั้ง เหล่าผู้คนที่เหลืออยู่ต่างขมวดคิ้วมุ่น รู้สึกว่าแม่นางลูกพี่ลูกน้องผู้นี้น่ากลัวว่าจะจิตไม่ปกติหรือไม่? แต่ถึงจะคิดเช่นนั้น พวกเขาเองก็ไม่มีกำลังจะทำอะไรได้อยู่ดี ถึงอย่างไรนั่นก็เป็เ้านาย ตนเองเป็บ่าว แน่นอนว่าต่อให้เป็โรคจิตเภทแล้วตนจะทำเช่นไรได้ คงต้องแสร้งทำเป็โรคจิตตามไปเหมือนกันเช่นนี้แหละ
ดังนั้นทุกคนจึงได้แต่ส่ายหน้า แล้วทำหน้าที่ใช้แรงงานของตนต่อไป โดยไม่เอ่ยอะไรอื่น
อาเชวี่ยตามสวี่ชิวเยวี่ยกลับมาที่เรือน ยังไม่ทันจะเข้าประตูไปก็ได้ยินเสียงทำลายข้าวของเพล้งพล้างของสวี่ชิวเยวี่ย นางอดทอดถอนใจอยู่ข้างในไม่ได้ รวมทั้งหมดก็เหลือของมีค่าอยู่แค่ไม่กี่ชิ้นแล้ว เหตุใดถึงยังทุบทำลายได้ไม่จบไม่สิ้นสักทีนะ? โชคดีที่ตอนเก็บกวาดห้องเมื่อยามสายตนเอาของมีค่าทั้งหมดไปซ่อนเอาไว้แล้ว...
“อาเชวี่ย!” อาเชวี่ยที่กำลังภาคภูมิใจในตัวเองอยู่นั้นได้ยินเสียงเรียก ก็รีบดึงสติกลับมาแล้ววิ่งเข้าไปทันที “คุณหนู มีอันใดหรือเ้าคะ?” เมื่อเห็นความระเนระนาดภายในห้องแล้ว อาเชวี่ยก็อดอุทานในความทำนายได้แม่นยำของตนขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้ ยังนับว่าเก็บทรัพย์สมบัติเอาไว้ได้ไม่น้อย เพื่อวันไหนคุณหนูผู้นี้โมโหชักดิ้นตายขึ้นมา จะได้เหลือสินทรัพย์ติดตัวไว้ให้ตนบ้างสักเล็กน้อยไม่ใช่หรือ?
“คุณหนู ท่านหยุดทำลายข้าวของเถิด คราวก่อนก็เกือบจะทำลายโถลายครามที่ฮูหยินมอบให้ท่านแล้ว คราวนี้อาเชวี่ยไม่กล้าปล่อยท่านไว้เด็ดขาดเ้าค่ะ...” อาเชวี่ยย่อตัวเก็บเศษชิ้นส่วนที่ถูกทุบทำลายแตกบนพื้น พลางพยายามเกลี้ยกล่อมไปด้วย แต่สวี่ชิวเยวี่ยกลับยังคงโกรธเกรี้ยวจนนั่งไม่ติด เดินไปเดินมาอยู่ในห้องไม่หยุด
วนไปทางซ้ายที วนไปทางขวาที จนอาเชวี่ยแทบจะเวียนหัวไปหมดแล้ว
“ก็ข้าโมโห! ก็ข้าโมโห!!!” สวี่ชิวเยวี่ยปาผ้าเช็ดหน้าที่ขยำอยู่ในมือใส่หน้าของอาเชวี่ย ปากพูดพร่ำไม่หยุด “น่าโมโหจริงๆ น่าโมโหจริงๆ พวกเขาแกล้งแสดงละครให้ท่านป้าดูแล้วท่านป้าก็เชื่อได้อย่างไรกัน ไม่เชื่อก็ยังทำแสร้งทำเป็เชื่อ แต่ข้าต้องไปผึ่งหนังสือกลางแดดเนี่ยนะ?!”
สวี่ชิวเยวี่ยที่โกรธจนหายใจไม่ทันก็กระทืบเท้าด้วยความโมโหอีกครั้ง พลางก่นด่าสาปแช่งไม่หยุด “พวกเขาฝีมือต่ำต้อยน้อยนิดเช่นนั้น ข้ามองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าแสร้งแสดงมาหลอกลวงท่านป้า! ท่านป้าก็ดันลำเอียง ถือหางให้ท้ายพวกนั้นยิ่งนัก! อาเชวี่ย เ้าว่าตอนนี้ท่านป้าไม่ชอบขี้หน้าข้าแล้วหรือ นางคิดว่าข้าไม่อาจช่วยนางได้แม้แต่น้อยใช่หรือไม่!”
พูดมาถึงจุดที่เดือดดาล สวี่ชิวเยวี่ยก็ดึงตัวอาเชวี่ยมาหาตน สองมือที่คว้าจับไหล่ของอาเชวี่ยไว้นั้นเขย่าไปมาไม่หยุด แรงเยอะยิ่งกว่าหม่าจิ่งเทา [1] เสียอีก อาเชวี่ยถูกเขย่าจนเริ่มเวียนหัว บรรดาเศษชิ้นส่วนที่เก็บขึ้นมาอย่างยากลำบากก็ถือไว้ไม่อยู่ ถูกสลัดจนหล่นลงไป...
“คุณ คุณหนู... คุณ อย่า...” เนื่องจากไม่อาจควบคุมร่างกายตัวเองได้ อาเชวี่ยที่ถูกเขย่าไม่หยุดแม้จะพูดก็ยังลำบากอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังพูดขาดๆ หายๆ เปล่งออกมาเป็เสียงที่ถูกสั่นคลอน
แต่ยังโชคดีที่อาเชวี่ยนั้นเป็คนไม่รู้จักยอมแพ้ นางจึงโยนสิ่งของทั้งหมดในมือทิ้งไปเสียเลย พร้อมกับสองมือคว้าจับแขนของสวี่ชิวเยวี่ยเอาไว้ บังคับให้ ‘สวี่จิ่งเทา’ หยุดการเคลื่อนไหวในมือลง “พอได้แล้วคุณหนู! เลิกเขย่าได้แล้วเ้าค่ะ หัวข้าแทบจะะเืไปหมดแล้ว!”
อาเชวี่ยฉวยโอกาสตอนที่สวี่ชิวเยวี่ยหยุดการเคลื่อนไหวในมือ ก็รีบหนีออกมาไม่อยู่รอช้า แล้วรีบเอ่ยอธิบายทันที “ท่านไม่ผิดหรอก แต่ฮูหยินนางเองก็ไม่ได้ผิดเช่นกันเ้าค่ะ ถึงอย่างไรคุณชายก็เป็บุตรชายแท้ๆ ของฮูหยิน หากเปิดโปงการเล่นละครที่บุตรแท้ๆ ของตนแสดงหลอกคนออกมาต่อหน้า นั่นก็เป็การไม่ไว้หน้าเขาเกินไปไม่ใช่หรือเ้าคะ? คุณหนู หากเป็ท่านเอง ท่านจะรับได้หรือไม่เ้าคะ?”
สวี่ชิวเยวี่ยครุ่นคิดเล็กน้อย รู้สึกว่าสิ่งที่อาเชวี่ยพูดครั้งนี้ก็นับว่ามีเหตุผลอยู่เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่หมกมุ่นกับการเขย่าอีกต่อไป “ความหมายของเ้าก็คือ ครั้งนี้ท่านป้าปล่อยพวกเขาสองคนไป ไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าเยวี่ยเยียนหราน แต่เห็นแก่หน้าเปี่ยวเกอเช่นนั้นหรือ?”
“คุณหนูของข้า ท่านเอาคำพูดนั้นมาจากไหนอีกเล่าเ้าคะ?” อาเชวี่ยค่อนข้างไม่พอใจและเอือมระอา นางมองไปยังสวี่ชิวเยวี่ยตรงหน้า ช่างหน้ามืดตามัวจริงๆ เหตุผลง่ายๆ เช่นนี้ก็ยังลืมไปเสียสิ้น
อาเชวี่ยผ่อนมือที่จับตนไว้ของสวี่ชิวเยวี่ยลง แล้วเอ่ยอีกครั้ง “คุณชายอวิ๋นเฟยเป็บุตรชายแท้ๆ ของฮูหยิน เยวี่ยเยียนหรานผู้นั้น ก็เป็แค่ตัวหมากในการแต่งงานทางการเมือง หากเป็ท่าน ท่านจะให้หน้าตัวหมากตัวหนึ่งหรือเ้าคะ?” อาเชวี่ยหยุดเล็กน้อย ภายในแววตานั้นแฝงไปด้วยความรู้สึกซับซ้อนที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ “หากจะพูดละก็ หากฮูหยินโปรดปรานเยวี่ยเยียนหราน เช่นนั้นก็คงไม่เสียแรงลำบากรับท่านมาเมืองหลวงั้แ่แรกไม่ใช่หรือเ้าคะ?”
“ที่เ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่... ถูกต้อง หากท่านป้าโปรดปรานเยวี่ยเยียนหราน ข้าก็คงไม่ถูกรับมาอยู่ในจวนเยี่ยนั้แ่แรก เหตุผลที่ท่านป้ารับข้ามาเมืองหลวง อีกทั้งพาข้าไปพบกับเหล่าฮูหยินตระกูลผู้ดีสูงศักดิ์เ่าั้ สอนธรรมเนียมมารยาทในเมืองหลวงให้กับข้า ก็เพราะหวังว่าจะมีสักวัน ที่ข้าจะได้กลายเป็นายหญิงของจวนเยี่ยนในอนาคตได้...”
ได้ยินสวี่ชิวเยวี่ยเอ่ยเช่นนั้นแล้ว อาเชวี่ยก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ถึงอย่างไรฮูหยินเยี่ยนก็เหมือนจะเพียง้าให้มีคนของตนคอยอยู่ข้างกายเยี่ยนอวิ๋นเฟย เพื่อไม่ให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วแต่งเมียไปแล้วลืมแม่ก็เท่านั้น ส่วนนายหญิงของจวนเยี่ยนที่ว่าอะไรนั่น บางทีนางอาจคิดจะเป็เองในอีกสักยี่สิบสามสิบปีก็ได้
ทว่าถึงอย่างไรตอนนี้อารมณ์ของสวี่ชิวเยวี่ยนั้นไม่มั่นคงนัก หากทำให้สวี่ชิวเยวี่ยล่วงรู้ความจริงเข้ากะทันหัน เช่นนั้นจะเป็การไม่เอาใจใส่ความปลอดภัยในชีวิตของเ้านายของตนมากเกินไปหรือเปล่า เมื่อคิดเช่นนั้น อาเชวี่ยก็ตัดสินใจ เออออตามน้ำไปก่อนสักพัก หลังจากนั้นค่อยพลิกแพลงตามสถานการณ์ไปก็แล้วกัน!
“ใช่ๆ สรุปแล้วการเอาพรรคเอาพวกของตนนั้นคือสัญชาตญาณของมนุษย์ ระหว่างท่านกับตัวหมากทางการเมืองที่ไร้ความสัมพันธ์ใดๆ ตัวหนึ่ง ฮูหยินย่อมเลือกท่านแน่นอน ไม่ใช่หมากตัวนั้นหรอกเ้าค่ะ ท่านว่าถูกหรือไม่?”
สวี่ชิวเยวี่ยพยักหน้า แล้วเอ่ย “ถูกต้อง ไม่มีผิดเพี้ยน... ความสัมพันธ์ของเยี่ยนเยวี่ยทั้งสองตระกูลแต่เดิมก็ไม่ได้ดีอะไรนัก ท่านป้าคงจะไม่หวังให้อนาคตจวนเยี่ยนถูกบุตรสาวของศัตรูทางการเมืองกุมเอาไว้ในมือแน่ ดังนั้นที่นางสั่งให้ข้าออกมาครั้งนี้ ก็เพียงเพราะ้าจะปกป้องหน้าตาของเปี่ยวเกอเท่านั้น ไม่ใช่หน้าตาของเยวี่ยเยียนหราน...”
นางก้มหน้าก้มตาพูด พลางนั่งลง ราวกับว่านางมีความมุ่งมั่นที่จะต่อสู้กับ ‘เยวี่ยเยียนหราน’ ต่อไปขึ้นมาใหม่อีกครั้งแล้ว “อาเชวี่ย เรียกสองสามคนมาเก็บกวาดห้องให้เรียบร้อย ข้าจะไปที่ครัวเล็กสักหน่อย ขอเพียงแค่พวกเราจับท่านป้าหมากเบี้ยตัวนี้เอาไว้ ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่อาจเอาชนะเยวี่ยเยียนหรานคนนั้น!”
เชิงอรรถ
[1] หม่าจิ่งเทา (马景涛) ดารานักแสดงชาวไต้หวัน มีผลงานและชื่อเสียงเป็ที่รู้จักกันดีจากผลงานภาพยนตร์และละครโทรทัศน์เื่ต่างๆ โดยเฉพาะในยุคศตวรรษที่ 90 เช่น ดาบัหยก (ค.ศ. 1994) เปาบุ้นจิ้น ฉบับฮ่องกง ตอน หมอดูใจเพชร (ค.ศ. 1995) เป็ต้น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้