ฉินเซียนหรู นางหาใช่ผู้ที่หลงลืมความแค้น หากแต่เลือกที่จะเก็บงำมันไว้ลึกสุดหัวใจ แลกเปลี่ยนด้วยความสงบสุขที่นางใฝ่หาแม้จะดูอ่อนโยนและไร้เดียงสา แต่เมื่อสายตาดูถูกและเสียงเย้ยหยันถาโถมใส่นางครั้งแล้วครั้งเล่า ความเ็าก็เริ่มกัดกร่อนความอ่อนโยนทีละน้อย วันนั้น นางก้าวเท้าเข้าสู่ หอทักษะ ตั้งใจหยิบยืมตำราวิชาหลอมโอสถขั้นต้น แต่เพียงเหยียบย่างเข้ามา เสียงของชายวัยกลางคนผู้ดูแลก็ดังขึ้นทันที“คุณหนู ไม่ทราบว่าท่านมาที่นี่ทำอะไร”น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ซ่อนรอยยิ้มเหยียดหยามไว้ไม่มิด
“ข้าเพียงมาหยิบยืมตำราหลอมโอสถเบื้องต้นเท่านั้น” เสียงหวานใสของเซียนหรูเอื้อนเอ่ยอย่างไม่ทุกข์ร้อนแต่กลับถูกหัวเราะเยาะสวนกลับทันที“ตัวท่านนี่ช่างน่าขันนัก… วิชาหลอมโอสถหาใช่สิ่งที่เด็กไร้พร์จะเข้าใจได้ มันสูงล้ำเกินเอื้อม อีกทั้งพร์ทางปราณของท่านก็ต่ำต้อยนัก!” คำพูดหยามเหยียดนั้นเป็ดั่งประกายไฟจุดโทสะ ในชั่วพริบตา สีหน้าของเซียนหรูก็แปรเปลี่ยน ดวงตาที่เคยอ่อนโยนกลับกลายเป็เย็นเยียบจนผู้ถูกมองถึงกับขนลุกวาบ
“ท่านลุง… ตัวท่านนี่ใจกล้าไม่น้อย ที่กล้าพูดเช่นนี้กับข้า” น้ำเสียงของนางเย็นลึก แฝงความน่ากลัวเกินวัย “ท่านไม่กลัวหรือ… ว่าข้าอาจส่งคนออกไปเยี่ยมเยียนครอบครัวของท่านนอกเมือง?”
เพียงวาจาสั้น ๆ ราวกับคมมีดกรีดลงกลางใจ ชายวัยกลางคนถึงกับหน้าถอดสี ตัวสั่นระริก ไม่อยากจะเชื่อว่าเด็กหญิงวัยสิบปีตรงหน้ากำลังข่มขู่ตนอย่างเืเย็น
“คุณหนู… ท่านหมายความว่าเช่นไร?” เขาถามทั้งเสียงสั่น หวังว่านี่อาจเป็เพียงการเข้าใจผิดแต่รอยยิ้มเ็าของเซียนหรูกลับเฉือนความหวังทิ้งสิ้น “หากเ้ายังไม่รู้จักหุบปาก… บางทีครอบครัวเ้าอาจหายไป”
คำพูดนั้นบีบรัดจนชายวัยกลางคนแทบล้มทั้งยืน ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ความคิดเพียงเสี้ยวว่าเด็กหญิงนี้ไร้เดียงสาดังเดิมได้พังทลายลงสิ้นเขารีบก้มศีรษะโขกตัวขออภัย“คุณหนูได้โปรด… ให้อภัยด้วย ข้าผิดไปแล้ว!”
หัวใจเขาเต็มไปด้วยความสับสนเหตุใดเด็กสาวที่ครั้งหนึ่งเคยอ่อนโยนอบอุ่น จึงกลายเป็ราวกับปีศาจในร่างอันบอบบางเช่นนี้? แต่เสียงหัวเราะแ่เบาพร้อมรอยยิ้มบางก็ปลิดความกดดันในชั่วขณะ“คิก คิก… เ้าตื่นใเกินไปแล้ว ข้าเพียงหยอกล้อเ้าเล่นเท่านั้น”
ทันทีที่ร่างบอบบางของ ฉินเซียนหรู หายลับเข้าไปในหอหนังสือ ความกดดันที่คล้ายจะบีบหัวใจก็พลันคลายลง ชายผู้ดูแลเผลอหอบหายใจแรงราวกับเพิ่งเอาชีวิตรอดจากเงื้อมมือของปีศาจ เขาทรุดตัวลงกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง เหงื่อเม็ดโตผุดเต็มแผ่นหลัง
แม้จะรู้ว่านางถูกตราหน้าว่าไร้พร์ แต่เขากลับเชื่อมั่นอย่างประหลาดว่า หากเด็กสาวผู้นั้นคิดจะทำจริง ๆ ครอบครัวเล็ก ๆ ของตนคงไม่อาจหลีกพ้นหายนะได้ ด้วยเพียงฐานะ บุตรสาวของแม่ทัพฉินเทียนหง ก็เพียงพอแล้วที่จะสั่งการกำลังพลให้จัดการชีวิตเขาและครอบครัวจนสิ้นสูญ
ชายผู้นั้นกลืนน้ำลายฝืดคอ ดวงตาสั่นระริกพลางพึมพำกับตนเองด้วยเสียงแหบพร่า“นี่…นี่มันเป็เพียงคำพูดของเด็กสาวอย่างนั้นหรือ…? หรือว่านางเป็ใครกันแน่”
ความหวาดผวาเกาะกุมหัวใจ เขาไม่คาดคิดเลยว่าเด็กสาวที่ภายนอกดูอ่อนโยน ไร้เดียงสา และมักถูกผู้คนทั้งตระกูลถากถาง จะซ่อนความเ็าเหี้ยมเกรียมไว้ได้ถึงเพียงนี้ ในห้วงคิดของเขา ภาพรอยยิ้มใสซื่อที่นางทิ้งไว้ก่อนจากไป กลับแปรเปลี่ยนเป็รอยยิ้มปีศาจที่ฝังแน่นในใจเขาอย่างไม่มีวันลืมเลือน…
ใน่ระยะหลังมานี้ เหล่าบ่าวรับใช้ชายหญิงของตระกูลฉิน ยามอยู่ต่อหน้าบุตรีน้อยอย่าง ฉินเซียนหรู กลับประพฤติปฏิบัติอย่างนอบน้อมผิดหูผิดตา ไม่เพียงแต่ก้มหัวและเอ่ยวาจาด้วยความสุภาพเกินจำเป็ หากยังแฝงความเกรงกลัวในทุกท่วงท่าทุกสายตา ราวกับไม่กล้าหายใจแรงต่อหน้าเด็กหญิงวัยสิบปีผู้นี้
บรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงไปเช่นนั้น ทำให้แม้แต่เหล่าลูกหลานตระกูลฉินเองยังอดมิได้ที่จะเกิดความสงสัย“เหตุใดบ่าวรับใช้เหล่านี้ถึงได้หวาดหวั่นนัก ทั้งที่นางเป็เพียงสตรีไร้ค่า ผู้ขาดพร์ทางปราณ?”
คำถามนั้นเริ่มแพร่สะพัดไปทั่ว แต่ไม่มีผู้ใดได้รับคำตอบที่ชัดเจน สิ่งเดียวที่เห็นได้ชัด คือไม่ว่าจะเป็บ่าวที่เคยกระด้างกระเดื่องหรือมักพูดจาถากถาง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเซียนหรู ล้วนรีบก้มหัวก้มตา พูดน้อยลง และเอาใจใส่ยิ่งกว่าที่เคย
ในสายตาผู้คน สิ่งนี้ดูประหลาดราวกับปริศนาสตรีที่ตระกูลตราหน้าว่าไร้ค่า ไยจึงได้รับความเกรงกลัวจากบ่าวรับใช้ยิ่งกว่าบุตรหลานผู้มีพร์เสียอีก?
จริงอยู่ว่า ฉินเซียนหรู เลือกจะปิดบังพร์ของตนเอง ปล่อยให้สายตาผู้คนทั้งตระกูลจ้องมองด้วยความดูถูกเย้ยหยัน แต่นางหาได้ยินดีจะใช้ชีวิตอย่างน่าสมเพชไม่ สำหรับนาง การถูกมองข้ามคือเกราะกำบังที่ดีที่สุด ทำให้นางได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไร้การคาดหวัง แต่หากมีผู้ใดล้ำเส้นมากจนเกินไป นางก็ย่อมไม่ลังเลที่จะจัดการมิใช่ด้วยกำลังหรือปราณ หากแต่ด้วย ฐานะและถ้อยคำ ที่คมกริบราวกับคมมีด
เพียงวาจาไม่กี่ประโยค ก็สามารถทำให้ผู้ฟังตัวสั่นสะท้าน หวาดกลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเพียงการข่มเล็กน้อย ก็ทำให้คนทั้งหลายตระหนักได้ว่า ถึงนางจะเป็สตรีไร้พร์ แต่นางคือบุตรีของแม่ทัพฉินเทียนหง ผู้กุมอำนาจเหนือชีวิตคนทั้งจวน
ดังนั้น นางไม่จำเป็ต้องเปลืองแรงหรือเผยความสามารถแท้จริงออกมาเลยสักนิดเพียงถ้อยคำไม่กี่คำ ก็เพียงพอจะบดขยี้ความกล้าของผู้ที่คิดจะหยามิ่จนไม่เหลือซาก
ภายในเรือน ฉินหานเฟิง จ้องมองน้องสาวด้วยแววตาชื่นชม เขาไม่ปิดบังความรู้สึกในใจที่พรั่งพรูออกมา“พี่คิดไม่ถึงเลย… ว่าน้องพี่จะสามารถยืนหยัดได้ถึงเพียงนี้”
น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความจริงใจ หาใช่คำปลอบประโลม หากแต่คือความภาคภูมิใจที่พี่ชายมีต่อน้องสาวฉินเซียนหรู เงยหน้าขึ้นสบตาพี่ชาย แววตาของนางนิ่งสงบ ริมฝีปากอิ่มเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“บ่าวไพร่พวกนี้ก็แค่ไม่รู้สถานะของตนเองก็เท่านั้น ข้าเพียงสอนพวกเขา…ว่าอะไรควร และอะไรไม่ควร”
ถ้อยคำฟังดูอ่อนหวาน ทว่ากลับแฝงความเฉียบคมดุจคมดาบ อ่อนโยนแต่ทรงพลัง จนหานเฟิงถึงกับนิ่งไปชั่วขณะ มองน้องสาวในมุมใหม่ ในรอยยิ้มละมุนของเซียนหรู แฝงประกายเย็นสงบที่บอกชัดว่านางรู้จักโลกนี้ดีเกินกว่าที่ใครเข้าใจ บ่าวไพร่ที่ถูกสั่งสอนก็เป็เพียงหมากเล็ก ๆ หากล้ำเส้นมากเกินไป ย่อมถูกบดขยี้ด้วยเพียงคำพูด ไม่จำเป็ต้องอาศัยพลังใด ๆ เลย และในยามนั้น ฉินหานเฟิง ก็พลันตระหนักน้องสาวของเขา มิใช่เพียงดอกไม้บอบบาง หากแต่คือดอกไม้งามที่สามารถเบ่งบานกลางพายุได้อย่างสง่างาม