ทั้งสองคุยกันอย่างอ้อยอิ่งอยู่พักหนึ่งก่อนที่เย่เช่อจะจากไปอย่างไม่เต็มใจนัก
เมื่อเขาบอกลานางก็เป็เวลาจุดโคมแล้ว
อวิ๋นจื่อลุกขึ้นและเดินออกจากห้องไปส่งเขา
นางยืนอยู่บนทางเดินและมองภาพตรงหน้า สิ่งที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของนางดูคล้ายกับดวงไฟนับพันดวง นางรู้สึกหม่นหมองในใจ จู่ๆ นางก็นึกถึงประโยคที่เคยอ่านเจอในหนังสือเมื่อนานมาแล้วอย่าง “แสงสนธยา”
ตอนนั้นอวิ๋นจื่อไม่เข้าใจว่าความรู้สึกนั้นเป็อย่างไร แต่ตอนนี้เมื่อนางต้องแยกจากคนรัก นางกลับรู้สึกเหมือนจะเข้าใจความเ็ปที่อยู่เื้ัคำคำนี้
นางกล่าวเบาๆ ว่า “คุณชายดูแสงไฟนั่นสิ”
เย่เช่อมองไปยังทิศทางที่นางชี้นิ้ว จากนั้นเขาก็มองไปรอบๆ อย่างมีความสุขและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “โคมไฟจากเรือนพันหลัง อบอุ่นท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิ ท้องฟ้าสว่างไสวด้วยแสงจันทร์ทอประกายสิบลี้ แม้ว่าจะไม่ใช่หยวนซี[1] แต่ก็คงไม่ต่างกันนัก”
อวิ๋นจื่อมองเข้าไปในดวงตาของเย่เช่อ ดวงตาของเขาลึกล้ำจนไม่เห็นอารมณ์ใดๆ ทันใดนั้นนางก็รู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย
หลังจากส่งเย่เช่อแล้วอวิ๋นจื่อก็ไม่มีแขกอีก นางจึงนั่งครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่เงียบๆ นางสงสัยว่าเหตุใดนางถึงไม่ไปหาม่านอู่ ท้ายที่สุดแล้วในหอจุ้ยฮวนนางแทบไม่มีเพื่อนเลย แต่เพราะชิงเกอนางจึงไม่้ายุ่งเกี่ยวกับหญิงสาวในที่แห่งนี้
บางครั้งนางรู้สึกว่านางเบื่อโลกเกินไป
เนื่องจากภูมิหลังของนาง นางจึงถูกกำหนดไว้ั้แ่เด็กว่านางจะไม่สามารถหาเพื่อนที่จริงใจได้
บางครั้งนางก็นึกอิจฉาเสด็จแม่และหวังฉีอวิ๋น นางคิดว่านางคงไม่มีโอกาสได้พบเจอมิตรภาพเช่นนี้
‘อันที่จริงถ้าข้าเติบโตในฉินโจวเหมือนเสด็จแม่ ข้าคงมีความสุขมากกว่าเติบโตมาในวังหลวง’
อวิ๋นจื่อคิดอย่างเศร้าสร้อย นางรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในวัยเด็กตอนที่เสด็จแม่ปลุกนางให้ลุกออกจากเตียงในตอนเช้า ในขณะที่นางเกิดความรู้สึกว่าอยากทำตัวเหมือนเด็กที่้าออดอ้อนมารดา นางก็พบกับสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความกังวลคู่หนึ่ง
ไป๋จื่อกล่าวว่า “คุณหนู ไปพักผ่อนในห้องเถอะเ้าค่ะ ที่นี่อากาศเย็นนัก”
อวิ๋นจื่อลุกขึ้น นางเดินตามไป๋จื่อเข้าไปในห้องด้วยท่าทีงัวเงียและถามว่า “ไป๋จื่อเ้ามีความสุขหรือไม่?”
สาวใช้ผู้งดงามและได้รับการฝึกฝนมาเป็อย่างดีชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ไป๋จื่อมีความสุขมากที่ได้อยู่เคียงข้างคุณหนู”
อวิ๋นจื่อกล่าวอย่างขุ่นเคืองเล็กน้อยว่า “ไป๋จื่อ เ้ารู้ว่าข้าหมายถึงอะไร องค์หญิงที่ข้ารู้จักเป็หญิงสาวที่เอาแต่ใจและรักอิสระ ในเมื่อเ้ารู้จักนางดี เ้าก็ย่อมต้องรู้ว่าอะไรดีที่สุดสำหรับข้า”
ไป๋จื่อก้มหน้าลงและกล่าวว่า “อารมณ์ขององค์หญิงก็คล้ายกับคุณหนูมาก”
หญิงสาวชะงักเล็กน้อยและกล่าวอย่างคลุมเครือ “แต่ข้าไม่ใช่นาง! เอาล่ะ ช่วยจัดเตียงให้ข้าที บอกให้หงจินไปที่โรงเตี๊ยมฝั่งตรงข้ามแล้วสั่งอาหารที่ข้าชอบมาด้วย”
อวิ๋นจื่อไม่รู้ว่านางหลับไปนานแค่ไหน แต่เมื่อนางลืมตาขึ้นก็เห็นชายผ้าสีเขียวแล้ว
นางรีบลุกขึ้นและกล่าวว่า “ชิงซี เหตุใดเ้ามาอยู่ที่นี่?”
ชิงซีหันกลับมาและกล่าวว่า “ปี้เหยียน เ้าคิดว่าตอนนี้เ้ามีความสุขหรือไม่?”
มือของอวิ๋นจื่อที่กำลังจะผูกสายรัดเอวพลันหยุดชะงัก นางกล่าวด้วยความงุนงงว่า
“เหตุใดเ้าถึงถามแบบนั้น?”
มีเพียงความเงียบ
ชิงซีนึกย้อนไปเมื่อหลายปีก่อน หญิงสาวในชุดชาวบ้านมองไปยังูเาที่ปกคลุมด้วยหิมะและกล่าวว่า “ซีกวง เ้ารู้จักหนานซี[2]หรือไม่?”
ชิงซีรู้สึกว่าพวกนางคล้ายคลึงกันไม่น้อย
อย่างน้อยหญิงสาวในชุดสีชมพูที่อยู่ตรงหน้าก็ได้ใช้ชีวิตอย่างไร้กังวลมากว่าสิบปี เฉกเช่นเดียวกับในตอนนั้นหรือก่อนที่โลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลง นางก็ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขโดยไม่ต้องกังวลมาหลายปีเช่นกัน
ภาพอันงดงามในห้วงความคิดของชิงซีค่อยๆ จางหายไป กลิ่นหอมอันเงียบสงบที่เป็เอกลักษณ์ของศาลาน้ำแข็งหิมะทำให้จิตใจของนางผันผวน ภาพในใจของนางค่อยๆ ซ้อนทับกับหญิงสาวตรงหน้า
“ข้าคิดว่าข้าคงมีความสุขมาก” อวิ๋นจื่อกระซิบ “ถ้าไม่นับเื่ที่บิดาและมารดาของข้าจากไป ตอนนี้ข้ามีความสุขมาก”
แววตานางช่างอ้างว้าง เหมือนดวงดาวที่ร่วงหล่นไร้ทิศทาง
ค่ำคืนนี้เงียบสงัด ไม่มีแม้เสียงมดแมลงใดๆ
หลังจากเงียบไปนาน จู่ๆ ชิงซีก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ความจริงแล้วความสุขไม่สามารถซ่อนเร้นได้ ในเมื่อเ้าไม่มีความสุข เหตุใดเ้าจึงพูดเช่นนี้?”
อวิ๋นจื่อไม่คิดว่าชิงซีจะถามเช่นนั้น จู่ๆ นางก็รู้สึกหวาดกลัวโดยไม่ทราบสาเหตุ นางเงยหน้าขึ้นและมองลึกลงไปที่ดวงตาอันงดงามของหญิงสาวชุดเขียว ชั่วครู่หนึ่งนางรู้สึกว่าดวงตาของชิงซีดูคมกริบ ลุ่มลึก และสดใส ราวกับว่านางสามารถมองทะลุผ่านทุกสิ่งได้ ร่างกายของอวิ๋นจื่อสั่นสะท้าน คนที่เหมือนเทพเซียนเช่นนี้อาจควบคุมชีวิต ความตาย และโชคชะตาของตัวเองได้
ทันใดนั้นนางก็ก้าวถอยหลังเพื่อทิ้งระยะห่างระหว่างตนเองกับอีกฝ่าย
นางรู้สึกกลัว
ชิงซียังคงมีท่าทีสงบนิ่งและมองอวิ๋นจื่ออย่างใจเย็น
ชิงซีกำลังรออยู่
ท้ายที่สุดแล้ว ประสบการณ์สี่พันปีทำให้นางเข้าใจหลายสิ่งหลายอย่างที่อวิ๋นจื่อไม่เข้าใจ ชิงซีรู้ว่าไม่ว่าตนเองจะกล่าวสิ่งใดก็ย่อมไร้ประโยชน์ เพราะนั่นคือชีวิตของอวิ๋นจื่อ
เป็เวลากว่าสี่พันปีที่นางซุกซ่อนรัศมีเซียนของตนเองไว้และทำงานเป็คหบดีตามหน้าที่ ตอนนี้นางคืุ์ จนกว่าจะถึงตอนที่นางต้องจากไป นางไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นกับตระกูลมู่ นางวางรากฐานที่มั่นคงให้ตระกูลมู่แล้ว และนางไม่้านำภัยพิบัติมาสู่ตระกูลที่ไม่เกี่ยวข้องเพียงเพราะความผิดพลาดของนางเอง
ดังนั้นชิงซีจึงไม่เคยใช้พลังของตนเองทำสิ่งใดเลย อันที่จริงแม้ว่าหมี่เจียจะไม่ได้พูดออกมาทั้งหมดในตอนแรก แต่ชิงซีก็เข้าใจว่านางมีโอกาสหลายครั้งที่จะใช้พลัง
นางลังเลเล็กน้อยว่าจะใช้มันดีหรือไม่
‘ถ้าไม่ได้ผลจริงๆ ก็แค่สิ้นเปลืองโอกาสไปครั้งหนึ่ง’
‘เผื่อว่าในอนาคตข้าอาจไม่มีโอกาสได้ใช้’
อวิ๋นจื่อกลัวจนตัวสั่น นางบิดชายเสื้อด้วยความกลัวและความกังวล
เมื่อเห็นเช่นนี้ชิงซีก็รู้สึกไม่สบายใจ นางฝืนยิ้มพร้อมกับกล่าวว่า “ปี้เหยียน เ้าไม่ต้องกลัวข้า...” อันที่จริงนางอยากพูดว่า ‘เราเป็สหายกัน’ แต่นางกลับพูดออกมาว่า “ข้าเป็สหายกับมารดาของเ้า ข้าจะไม่ทำสิ่งที่ไม่ดีกับเ้าอย่างแน่นอน แต่ข้าหวังว่าเ้าจะทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง ไม่ใช่เพื่อสิ่งอื่น”
------------------------
[1] หยวนซี คือ คืนวันที่สิบห้าของเดือนแรกของปฏิทินจันทรคติเรียกว่าหยวนซีและหยวนเซียว เนื่องจากธรรมเนียมในการจุดโคม จึงเรียกอีกอย่างว่าเทศกาลโคมไฟ
[2] หนานซี หนานหมายถึงทิศใต้ ซีในที่นี้หมายถึงเสียงน้ำไหล ซึ่งเป็คำเปรียบเปรยว่าน้ำทางใต้จะไม่ไหลย้อนกลับ เปรียบได้กับเวลาและโอกาสหากเสียไปแล้วก็ย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้