ปกติแล้วไม่มีใครอยากมาที่เรือนมู่หยวน ด้วยเหตุนี้บ่าวที่ให้มาทำความสะอาดตามกำหนดเวลาจึงทำงานแค่พอผ่านๆ ให้เสร็จไปเท่านั้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้เป็สถานที่ที่สตรีของท่านแม่ทัพทุกคนล้วนอยากเข้ามาอยู่ แต่ทุกวันนี้กลับวังเวงไร้ผู้คน
ยามนี้มองเห็นตัวอาคารในเรือนมู่หยวนอยู่เบื้องหน้าแล้ว ทางเดินเส้นเล็กที่ปูด้วยกรวดไข่ห่านท่ามกลางป่าละเมาะที่มุ่งตรงไปยังเรือนมู่หยวนถูกหญ้าป่าเข้ามาปกคลุมแทนที่ไปจนหมด จนกลับกลายเป็ทางที่ปูด้วยต้นหญ้าสีเขียวขจีแทน
หลิ่วจิ้งเดินให้ช้าลงขณะก้าวไปบนทางเดินที่เต็มไปด้วยต้นหญ้าเข้าไปภายใน อวี้จิ่นชูตะเกียงในมือให้สูงขึ้นเพื่อส่องสว่างหนทางที่มืดมิดข้างหน้า ลมวูบหนึ่งโชยมา กิ่งก้านต้นหลิวพลิ้วไหวร่ายระบำ เหมือนมือที่ยื่นออกมาสะบัดกวัดไกว ทำเอานางต้องหลับตาปี๋ไม่กล้าเดินไปข้างหน้าต่อ
แต่เด็กหนุ่มกลับเป็เหมือนหุ่นเชิดที่คอยตามติดหลิ่วจิ้ง เขาก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ โดยไม่มีท่าทีตื่นตระหนกเพราะสิ่งที่พบเห็นเลยแม้แต่น้อย
ราวกับเขาไม่ได้กำลังเดินไปยังทิศทางของที่ที่ผู้คนเรียกขานกันว่าเป็บ้านผีสิง แต่กลับคือสถานที่ซึ่งเป็ต้นกำเนิดให้เขาได้มีชีวิตใหม่
เมื่อไม่มีแสงโคมส่องสว่างของอวี้จิ่น ทางข้างหน้าก็ยิ่งมืดมิดกว่าเก่า หลิ่วจิ้งเดินช้าลงเพื่อฟังเสียงฝีเท้าจากข้างหลัง ทำให้นางรู้ว่าเด็กหนุ่มกำลังตามหลังนางมาติดๆ
“นั่นเป็ที่ที่เ้าจะอาศัยอยู่นับั้แ่นี้เป็ต้นไป ที่นั่นมีทะเลสาบอยู่แห่งหนึ่ง เคยมีคนจมน้ำตายในนั้น ว่ากันว่าที่นี่มักมีิญญาอาฆาตมาปรากฏตัว เ้ากล้าอยู่หรือไม่” หลิ่วจิ้งเดินไปพูดไป เสียงนางเบานัก เพียงพริบตาก็ถูกลมพัดจนจางหาย ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าว่านางเคยเอ่ยปากพูดจริงๆ
เสียงฝีเท้าข้างหลังหยุดลง หลิ่วจิ้งสะท้านใจ ใจนางยังคงรอฟังอยู่ แต่นางกลับไม่หยุดเท้ารอ
ทันใดนั้น ในขณะที่นางกำลังก้าวขาซ้ายมาข้างหน้าแทนขาขวา ข้างหลังก็มีเสียงฝีเท้าดังตามมาอีกครา
หลิ่วจิ้งยกมุมปากขึ้นลอบยิ้มเบิกบานอยู่ในใจ นาง้าคนที่ใช้สอยได้ ยิ่ง้าคนที่ภักดีและกล้าหาญเหนือคนทั่วไป หากเป็คนที่แค่บ้านผีสิงเล็กๆ ก็ยังไม่กล้าอยู่ แล้ววันหน้าจะช่วยงานนางได้อย่างไร
อวี้จิ่นลืมตาอีกครั้ง กัดฟันเดินตามไปอย่างระมัดระวัง นางกลัวเอามากๆ แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้หลิ่วจิ้งไปเสี่ยงภัยเพียงลำพังได้
หลิ่วจิ้งยังคงเดินไปเรื่อยๆ ไม่ช้าไม่เร็วนัก เมื่อแสงไฟข้างหลังนางกลับมาส่องสว่างทางเบื้องหน้าอีกครั้ง นางก็ยิ่งสบายใจมากขึ้น นางรู้ว่าอวี้จิ่นเดินตามมาแล้ว นับั้แ่นี้ไป นางจะไม่ต้องเผชิญกับสิ่งต่าง ๆ เพียงลำพังอีก
ยิ่งเดินเข้าไปข้างใน ภาพภายในเรือนมู่หยวนก็ค่อยๆ ปรากฏสู่สายตาทุกคน คืนนี้ไม่มีดาว แม้แต่ดวงจันทร์ก็ยังเร้นหลบในชั้นเมฆไม่ยอมออกมา
เรือนมู่หยวนที่ไร้ผู้คนอาศัยอยู่จึงยิ่งเงียบสงัดเหมือนความตาย ทั้งยังไม่มีทางมีคนไปจุดตะเกียงให้มันสว่างขึ้นมา ในมือของอวี้จิ่นมีตะเกียงเพียงดวงเดียว เดิมทีก็ไม่เพียงพอต่อความ้าของพวกนางอยู่แล้ว
อวี้จิ่นเอาหินจุดไฟออกมา เดิมทีต้องเข้าไปจุดตะเกียงน้ำมันหลายแห่งข้างในตัวเรือนให้เกิดแสงสว่าง แต่นางกลับลังเลเพราะความขลาดกลัวในใจ
“เอามาให้ข้า” เด็กหนุ่มว่าพลางไม่ได้สนใจความประหลาดใจในสายตาของอวี้จิ่น เขาดึงหินจุดไฟมาจากมือนาง แล้วเดินไปข้างหน้าจุดตะเกียงน้ำมันแต่ละดวงขึ้นมา
พร้อมๆ กับตะเกียงน้ำมันที่สว่างขึ้นทีละดวง ราวกับส่องสว่างให้แก่ตะเกียงภายในใจพวกของหลิ่วจิ้ง ในหัวใจของคนทั้งสามพลันมีตะเกียงลุกโชนขึ้นมาเช่นกัน
พริบตานั้น พวกเขาทั้งสามคนยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตู มองดูสภาพภายในเรือนมู่หยวน
อาคารสูงใหญ่อยู่ท่ามกลางกิ่งหลิวซ้อนสลับ ูเาเทียมและหินรูปร่างประหลาดก็ยังคงอยู่ครบถ้วน ในกระถางดอกไม้มีหญ้ารกขึ้นเต็ม ไผ่เขียวหลายต้นประดับประดาอยู่ภายใน ดอกบัวในสระบัวก็กำลังเบ่งบานเต็มที่ มองไม่ออกแม้สักนิดว่ามีสิ่งใดผิดปกติ
หลิ่วจิ้งนำหน้าเดินเข้าไปในห้องนอน ภายในห้องนอกจากกลิ่นราอับโชยเข้ามาในจมูกที่ทำให้รู้สึกไม่สบายแล้ว ของภายในก็เก่าเก็บ ล้วนเป็ของที่ล้าสมัย แต่ส่วนดีก็คือของทั้งหมดยังคงอยู่ในสภาพดีไม่เสียหาย กลับยังคงใช้การได้
“วันหน้าเ้าก็อยู่ที่นี่” หลิ่วจิ้งมองเด็กหนุ่ม ถามอย่างหนักแน่นว่า “เ้าจะอยู่หรือไม่?”
“ขอบคุณฮูหยิน” เด็กหนุ่มเอ่ยออกมาเป็ประโยคที่สองนับั้แ่หลิ่วจิ้งได้พบเขา
“ดี อีกสักพักข้าจะให้คนมาส่งอาหารและของใช้จำเป็ให้ ้าสิ่งใดอีกก็ให้เ้าไปขอให้อวี้จิ่นช่วยจัดหาให้ เ้ารักษาตัวให้หายดีก่อน เื่ในภายหลังค่อยว่ากัน”
หลิ่วจิ้งสั่งความเรียบร้อย อวี้จิ่นก็ยิ้มให้เด็กหนุ่มอย่างเป็มิตร เป็การบอกว่านางจะช่วยเขาตามคำของฮูหยิน
ครานี้เด็กหนุ่มไม่ได้เอ่ยตอบ
เฮ้อ ไอ้เ้าน้ำเต้าน่าเบื่อนี่ ไม่รู้เมื่อใดจึงจะยอมเปิดใจ พอถามก็ให้ตอบกลับมาบ้าง
“เ้ายังไม่ได้บอกชื่อของเ้ากับพวกเราเลย” หลิ่วจิ้งมองเด็กหนุ่ม นางคงไม่อาจเรียกขานเขาว่าเ้าหนูไปตลอดได้กระมัง
นางมองเด็กหนุ่มอย่างเฝ้ารอ เมื่อครู่เด็กหนุ่มตอบคำนางมาแล้ว จึงเชื่อว่านางจะได้ยินชื่อที่นางอยากรู้
ทว่าครั้งนี้เด็กหนุ่มกลับไม่ยอมตอบ หลิ่วจิ้งรู้สึกผิดหวังนัก ยังไม่สำเร็จอีกหรือ ประตูในใจเขายังคงไม่ยอมเปิดให้นางอีกหรือ?
รออีกครู่หนึ่งเด็กหนุ่มก็ยังคงไม่ตอบ นางจึงฝืนความผิดหวังในใจ เอ่ยกับเด็กหนุ่มว่า “เ้าลองปรับตัวให้คุ้นเคยกับเรือนนี้เสียก่อน จำเอาไว้ว่าสถานการณ์ข้างนอกเรือนยังไม่ชัดเจน ไว้วันพรุ่งค่อยออกไปทำความรู้จัก กลางคืนอย่าไปไหนส่งเดช อย่ากลายเป็ว่าไม่คุ้นทางแล้วกลับพลั้งเผลอตกลงไปในสระเข้า อีกประเดี๋ยวจะมีคนนำของมาส่งให้”
หลิ่วจิ้งพูดจบ พร้อมสั่งความไปอีกสองสามประโยค จากนั้นจึงพาอวี้จิ่นเดินกลับ ตอนที่นางก้าวออกจากห้องนอนไป คล้ายมีคำสองคำลอยมาท่ามกลางสายลมว่า ‘เฉินเหยียน’
นั่นเป็เสียงของเด็กหนุ่ม แม้หลิ่วจิ้งเพิ่งเคยได้ยินเขาพูดแค่สองประโยค แต่กลับไม่มีผลกระทบใดที่จะให้นางจำเสียงเขาไม่ได้
“เฉินเหยียน” นี่เป็ชื่อของเขาสินะ หลิ่วจิ้งโค้งมุมปากขึ้น ยิ้มเบิกบานด้วยความอารมณ์ดีอย่างยิ่ง
อวี้จิ่นไม่ได้เอ่ยสิ่งใดสักคำ นางฝืนใจทนเดินตามมา แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านางไม่กลัว หากตอนนี้มีแสงส่องจนสว่างพอ ก็จะเห็นว่าใบหน้านางขาวซีดไม่มีสีเืแต่อย่างใด
หลิ่วจิ้งจับมือนางเอาไว้ แม้มือของอวี้จิ่นจะเย็นเฉียบ แต่ในใจกลับอบอุ่นเหลือเกิน เมื่อนางคำนึงถึงความเป็นายและบ่าว นางไม่ควรได้รับความห่วงใยเช่นนี้ จึงคิดจะดึงมือออกจากมือของหลิ่วจิ้ง
“อวี้จิ่น ยังจำที่ข้าเคยพูดกับเ้าได้หรือไม่? วันหน้าให้พวกเราสองคนเป็ที่พักพิงของกันและกันเถิด” หลิ่วจิ้งเอ่ยคำพูดนี้ให้อวี้จิ่นฟังเป็ครั้งที่สอง
ครั้งแรกที่พูดนั้นหลิ่วจิ้งยังคงไม่ค่อยแน่ใจ แต่หลังจากที่อวี้จิ่นเดินมากับนางจนสุดทางในคืนนี้ นางก็รู้สึกเช่นนี้จากใจจริง
สุดท้ายอวี้จิ่นก็ไม่ได้ดึงมือออกจากมือของหลิ่วจิ้ง แต่กลับกุมมือกลับแน่ๆ เป็ครั้งแรกที่นางรู้สึกว่ามีคนคอยปกป้อง
เมื่อกลับมาถึงเรือนหลัง หลิ่วจิ้งจึงเพิ่งรู้สึกว่านางหิวจนไส้กิ่วไปหมด นางสั่งให้เด็กรับใช้สองคนกับอวี้จิ่นรับผิดชอบเอาอาหารและข้าวของเครื่องใช้ไปให้เฉินเหยียน ส่วนนางไปอาบน้ำร้อนให้สบายตัวก่อนโดยมีอิ๋งเหอคอยดูแลรับใช้ จากนั้นค่อยเริ่มทานอาหาร
หลังจากหลิ่วจิ้งออกไป เด็กรับใช้สองคนที่ถูกเรียกให้ไปส่งของต่างก็มีสีหน้าหวาดกลัว
“อวี้จิ่น พวกเราไม่ไปได้หรือไม่ ได้ยินว่าที่นั่นมีผีหลอกนะ แล้วยามนี้ก็ค่ำมืดแล้วด้วย ท่าทางที่แห่งนั้นต้องวังเวงเป็แน่ ข้าไม่กล้าไปจริงๆ”
เด็กรับใช้คนหนึ่งงัดเอาความกล้าออกมาบอกปฏิเสธ ส่วนอีกคนก็พยักหน้าสำทับเป็การบอกว่าเขาก็คิดดังนี้เช่นกัน
อวี้จิ่นต้องลำบากใจเพราะนางไม่อยากบังคับฝืนใจคน ยิ่งไปกว่านั้นด้วยสัญชาตญาณแล้ว นางก็ไม่อยากให้มีคนไปสอบถามเื่ของเฉินเหยียนให้มากเกินไป
นางคิดสักพักจึงบอกเด็กรับใช้สองคนนั้นว่า “เอาเช่นนี้ พวกเ้าช่วยข้าหยิบข้าวของไปส่งที่ต้นอู๋ถง [1] ตรงหน้าเรือนมู่หยวนเป็พอ ที่เหลือก็จะไม่รบกวนพี่ชายทั้งสองคนแล้ว”
เด็กรับใช้สองคนหันมาสบตากันอย่างดีอกดีใจ ต้นอู๋ถงนั่นเป็ที่ที่พวกเขาต้องเดินผ่านอยู่ทุกวัน เรียกได้ว่าระยะห่างจากเรือนมู่หยวนกับเรือนหลักก็มีต้นอู๋ถงเก่าแก่ต้นนี้เป็ตัวแบ่งเขต จึงไม่ได้เป็เื่ลำบากใจอันใด พวกเขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที
_____________________________
เชิงอรรถ
[1] ต้นอู๋ถง มีชื่อไทยว่า ต้นร่มจีน
