อวิ๋นโส่วจู่วิ่งหนีไปแล้ว ผู้คนรอบข้างที่มุงดูก็แยกย้ายกันไป
สารถีซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหล เขาเข้าใจคุณหนูคุณชายทั้งสามผิดไป จึงรู้สึกผิดอย่างมาก หากไม่มีคุณหนูคุณชายทั้งสามคนนี้ วันนี้เขาคงแย่แน่ เขารีบขอบคุณอวิ๋นเจียวและคนอื่นๆ ไม่หยุด พอส่งพวกเขาทั้งสามคนถึงโรงเตี๊ยมแล้ว สารถีก็ไม่ยอมรับเงินค่าจ้าง
ตอนนี้อวิ๋นโส่วจง ผู้ใหญ่บ้าน และจางเฉวียนฟา บุตรชายคนที่สามของผู้ใหญ่บ้าน นั่งรออยู่ในโรงเตี๊ยมแล้ว เนื่องจากต้องรอสามพี่น้อง พวกเขาจึงเลือกนั่งโต๊ะที่อยู่ใกล้ประตู
พอเห็นสามพี่น้องมาถึง และกำลังคุยกับสารถีอยู่ที่หน้าประตู อวิ๋นโส่วจงจึงรีบออกไปรับ “ฉี่เยว่ เกิดเื่อะไรขึ้นหรือ?”
อวิ๋นฉี่เยว่ตอบ “ลุงคนนี้ไม่ยอมรับเงินค่าจ้างขอรับ”
อวิ๋นโส่วจงได้ยินดังนั้นก็รีบหยิบเหรียญอีแปะยี่สิบเหรียญออกมาจากแขนเสื้อยัดใส่มือสารถี “ท่านหาเงินก็ลำบาก รีบรับไปเถิด”
สารถีปฏิเสธไม่ได้ ก็ได้แต่กล่าวขอบคุณหลายครั้งก่อนจะรับเหรียญอีแปะมา แล้วจากไปด้วยความซาบซึ้งใจ
หลังจากสารถีจากไป อวิ๋นฉี่เยว่กับน้องชายก็ช่วยอวิ๋นโส่วจงขนย้ายข้าวของที่สารถียกมาลง ขนไปใส่รถม้าคันใหม่ที่เขาเพิ่งซื้อมา ช่างบังเอิญจริงๆ ตอนที่เขาไปที่ร้านขายรถม้าก็เห็นรถม้าคันหนึ่งของบ้านเขาวางขายอยู่ อวิ๋นโส่วจงจึงซื้อกลับมา
หลังจากทุกคนนั่งประจำที่ อาหารยังไม่ทันยกขึ้นโต๊ะ ผู้ใหญ่บ้านก็ถามว่าเช้านี้เด็กๆ ทั้งสามคนไปเที่ยวที่ไหนมาบ้าง อวิ๋นฉี่เยว่บอกแค่ว่าพาน้องๆ ไปเดินเล่นเรื่อยเปื่อย แล้วนำหนังสือที่ตนคัดลอกไปขายที่ร้านหนังสือ ไม่ได้เอ่ยถึงเื่ที่อวิ๋นเจียวขายเครื่องประทินผิว
หลังจากอวิ๋นฉี่เยว่พูดจบ อวิ๋นฉี่ซานก็เล่าเื่ที่เจออวิ๋นโส่วจู่ระหว่างทางให้ฟังโดยใส่สีตีไข่เล็กน้อย เมื่อฟังอวิ๋นฉี่เยว่เล่าจบ ผู้ใหญ่บ้านจางต้าไห่และบุตรชายของเขาจางเฉวียนฟา ฟังแล้วก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ส่วนใบหน้าของอวิ๋นโส่วจงก็ดำคล้ำ
จางต้าไห่ถอนหายใจ “ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่าอวิ๋นโส่วจู่ น้องสี่ของเ้าเป็แค่คนี้เี ชอบใช้เล่ห์เหลี่ยมโกงเงิน แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็คนเลวโดยสันดาน”
ถึงกับเอาเงินที่ได้จากการขายรถม้าไปผลาญที่หอวั่นฮวา เคยเห็นคนใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย แต่ไม่เคยเห็นใครใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายขนาดนี้มาก่อน! แถมยังถูกเด็กๆ สามคนนี้เจอเข้าอีก จางต้าไห่มองอวิ๋นเจียวอย่างพินิจพิเคราะห์ เห็นนางนั่งจิบชาอย่างเรียบร้อย ในใจคิดว่าเด็กน้อยคงไม่รู้ความหมายของหอวั่นฮวา
อวิ๋นโส่วจงกำถ้วยชาในมือแน่นจนเส้นเืปูดโปน แสดงให้เห็นว่าเขากำลังโกรธมากแค่ไหน “ก็นั่นน่ะสิ ถึงขั้นคิดจะให้เด็กสามคนนี้ตาย!! เขาไม่เพียงแค่เลวโดยสันดาน แต่ยังใจดำอำมหิตอีกด้วย!”
เที่ยวหอคณิกา รีดไถเงินกลางถนน แถมยังข่มขู่ลูกๆ ของเขาว่าจะจับใส่กรงหมูถ่วงน้ำ! ตระกูลอวิ๋นมีคนแบบนี้อยู่ได้อย่างไร!
จางต้าไห่ปลอบใจ “แต่โชคยังดีที่พวกเ้าไม่ได้กลับเข้าร่วมตระกูลอวิ๋น ตอนนี้ทะเบียนบ้านก็จัดการเรียบร้อยแล้ว ที่ดินก็ซื้อเรียบร้อยแล้ว ต่อไปนี้ครอบครัวพวกเ้าก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขก็พอ หากตระกูลอวิ๋นรังแกพวกเ้ามากเกินไป เ้าให้คนมาแจ้งข้าก็แล้วกัน”
วันนี้ที่เขาพาอวิ๋นโส่วจงมาที่อำเภอ ส่วนใหญ่ก็เพื่อจัดการเื่สองเื่ เื่แรกคือช่วยเขาลงทะเบียนบ้าน เื่นี้ไม่ยากอะไร เพียงแค่มีหนังสือผ่านทางและหนังสือรับรองจากผู้ใหญ่บ้านอย่างเขาก็พอแล้ว ส่วนเื่ที่ดินนั้น ตอนที่อวิ๋นโส่วจงกลับมา ก็นำของขวัญมาขอให้เขาช่วยจัดหาให้ ที่สำคัญคือ อวิ๋นโส่วจงเป็คนที่รู้จักมารยาทมาก ไม่ได้ขอให้เขาช่วยเหลือเปล่าๆ แต่ยังจ่ายค่าตอบแทนให้เขาตามธรรมเนียมด้วย
เขาช่วยอวิ๋นโส่วจงซื้อที่ไร่สิบหมู่ แบ่งเป็ที่ดินคุณภาพปานกลางกับที่ดินคุณภาพดีอย่างละครึ่ง และนาข้าวอีกสิบหมู่ แบ่งเป็ที่ดินคุณภาพปานกลางกับที่ดินคุณภาพดีอย่างละครึ่งเช่นกัน รวมเป็ที่ดินทั้งหมดยี่สิบหมู่ หลังจากจัดการเื่โฉนดที่ดินแล้วเสร็จ อวิ๋นโส่วจงก็มอบเงินค่าตอบแทนให้เขาห้าตำลึงเงิน ซึ่งมากกว่าราคาตลาดถึงครึ่งหนึ่ง
ในยุคสมัยนี้ แม้แต่บ้านเศรษฐีที่ดินก็ยังไม่มีข้าวเหลือเฟือ การช่วยเหลือแล้วยังได้เงินตอบแทนเช่นนี้ ผู้ใหญ่บ้านอย่างเขาย่อมยินดี ยิ่งไปกว่านั้น ในแง่ของการวางตัว อวิ๋นโส่วจงที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงมานานยี่สิบปีนั้น ดีกว่าคนในตระกูลอวิ๋นมากนัก
“ขอรับ ขอบคุณท่านลุงจางมาก!” อวิ๋นโส่วจงรีบกล่าวขอบคุณ ่สองวันนี้ที่ได้พูดคุยกัน เขาก็ได้เปลี่ยนสรรพนามที่ใช้เรียกผู้ใหญ่บ้านโดยไม่รู้ตัว
ตอนอยู่กันเองเรียกว่า ‘ท่านลุง’ ดูสนิทสนมกว่าเรียกว่า ‘ผู้ใหญ่บ้าน’ อันที่จริงอวิ๋นโส่วจงไม่ได้ใจกว้างโดยไร้เหตุผล การที่เขาจ่ายค่าตอบแทนให้ผู้ใหญ่บ้านเพิ่ม ก็เพื่อผูกมิตรกับผู้ใหญ่บ้าน เพราะครอบครัวของเขาเพิ่งมาตั้งรกรากที่หมู่บ้านไหวซู่ แถมยังมีครอบครัวเดิมที่...
เนื่องจากเื่ของอวิ๋นโส่วจู่ บรรยากาศในการกินอาหารมื้อนี้จึงไม่ค่อยดีนัก หลังจากดื่มสุราไปได้สามจอก จางต้าไห่ก็เอ่ยขึ้นว่า “หากไม่สั่งสอนอวิ๋นโส่วจู่ให้ดี ต่อไปหากเขาสร้างปัญหาใหญ่โตขึ้นมา ไม่แน่ว่าอาจพาตระกูลเดือดร้อนไปด้วย! ข้าต้องกลับไปคุยเื่นี้กับหัวหน้าตระกูลอวิ๋นให้รู้เื่”
อวิ๋นโส่วจงถอนหายใจ “นั่นน่ะสิ ตามหลักเหตุผลแล้ว ที่บ้านก็มีบ้าน มีที่นา ควรจะมีชีวิตที่ดี แต่ท่านลุงจางดูสิ ดูว่าตอนนี้พวกเขาใช้ชีวิตกันแบบไหน? ข้าดูแล้ว นอกจากท่านพ่อท่านแม่ เ้าสี่ เ้าห้า และอวิ๋นเหมยเอ๋อร์แล้ว คนอื่นๆ ในบ้านไม่มีใครได้กินอิ่มท้องเลยสักคน”
จางต้าไห่เอ่ย “พ่อแม่ลำเอียงขนาดนี้ก็มันมากเกินไปแล้ว หากจะพูดว่าใครในตระกูลอวิ๋นที่น่าสงสารที่สุด ก็คงเป็ครอบครัวพี่ใหญ่ของเ้านั่นแหละ”
ก็ใช่น่ะสิ หากไม่แยกบ้านกันอยู่ อีกไม่กี่ปี พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่คงถูกพวกเขากดขี่ข่มเหงจนตายแน่...
หลังจากทานอาหารเสร็จ อวิ๋นโส่วจงก็แยกทางกับจางต้าไห่และบุตรชาย พวกเขายังมีธุระในอำเภอที่ต้องจัดการต่อ อวิ๋นโส่วจงจึงพาลูกๆ กลับหมู่บ้านก่อน
ตอนที่ผ่านตำบล อวิ๋นโส่วจงก็ซื้อวัวสีเหลืองอายุยังน้อยที่สามารถลากไถได้ จากคอกเลี้ยงวัวในตำบล หลังจากการเดินทางครั้งนี้ เงินที่เหลือติดตัวอวิ๋นโส่วจงก็หมดเกลี้ยง ระหว่างทางกลับบ้าน อวิ๋นเจียวจึงถามอวิ๋นโส่วจงว่าจะจัดการกับที่นาอย่างไร
อวิ๋นโส่วจงตอบ “ที่นาชั้นดีสิบหมู่ พวกเราปลูกเอง ส่วนที่นาชั้นกลางอีกสิบหมู่ ก็ให้คนอื่นเช่าไปปลูก”
ในแคว้นต้าเยี่ย ชาวนาเช่าที่ดินกับเ้าของที่ดิน แบ่งผลผลิตเป็สามส่วนต่อเจ็ดส่วน ชาวนาได้สามส่วน เ้าของที่ดินได้เจ็ดส่วน
ต่อให้เงื่อนไขจะโหดร้ายเช่นนี้ แต่บนโลกนี้มีเพียงชาวนาที่หาที่ดินเช่าไม่ได้ ไม่มีเ้าของที่ดินคนไหนปล่อยให้ที่ดินว่างเปล่า และเป็เพราะบ้านตระกูลอวิ๋นไม่มีแรงงาน มิฉะนั้นอวิ๋นโส่วจงคงไม่ยอมให้คนอื่นเช่าที่นาสิบหมู่แน่ เพราะมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกสามส่วนย่อมดีกว่า
อวิ๋นเจียวได้ยินว่าที่บ้านจะเก็บที่นาไว้ปลูกเองครึ่งหนึ่งก็รู้สึกโล่งใจ เพราะนางวางแผนที่จะเพาะปลูกข้าว ข้าวสาลี ข้าวต้าม่าย [1] และพืชผลทางการเกษตรอื่นๆ ที่ให้ผลผลิตสูง เริ่มแรกต้องให้คนในครอบครัวลงมือปลูกเอง รอให้ประสบความสำเร็จ และทางราชสำนักมอบรางวัลให้บิดาของนางแล้ว ค่อยให้คนอื่นทำแทนก็ยังไม่สาย
เมื่อกลับมาถึงบ้าน อุปกรณ์และวัตถุดิบต่างๆ ที่อวิ๋นฉี่ซานซื้อมาก็ถูกวางกองอยู่ในห้องโถงแล้ว อากุ้ยนำรถม้าไปเก็บ แล้วพาม้ากับวัวไปไว้ในโรงนาชั่วคราวที่สร้างขึ้นอย่างง่าย
ตอนนี้ทุกคนในครอบครัวมารวมตัวกันในห้องของอวิ๋นโส่วจงและฟางซื่อ เพื่อประชุมครอบครัว อย่างแรก ฟางซื่อก็บอกกับทุกคนว่าฉู้อี้จากไปแล้ว สำหรับฐานะของฉู้อี้นั้น อวิ๋นโส่วจงและฟางซื่อต่างก็รู้ว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่แปลกใจที่เด็กหนุ่มจากไปอย่างกะทันหัน แต่สองสามีภรรยาก็ยังกำชับลูกๆ ทั้งสามคนให้ลืมเื่ที่ทางบ้านเคยช่วยเหลือเด็กหนุ่มคนหนึ่งเอาไว้
จากนั้น อวิ๋นเจียวก็นำตั๋วเงินที่ได้จากการขายเครื่องประทินผิวมามอบให้ฟางซื่อ “ท่านแม่ นี่คือเงินที่ได้จากการขายเครื่องประทินผิววันนี้เ้าค่ะ ข้าเก็บไว้หนึ่งร้อยตำลึงเงิน ให้พี่รองไปห้าสิบตำลึงเงิน เหลืออีกสี่ร้อยห้าสิบตำลึงเงินเ้าค่ะ!”
ฟางซื่อไม่รับ นางมองอวิ๋นเจียวด้วยความเอ็นดู พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เงินพวกนี้เจียวเอ๋อร์เก็บไว้เองเถอะ ต่อไปเ้าจะทำของพวกนี้ ก็ต้องใช้เงินซื้อวัตถุดิบอีก”
อวิ๋นเจียวยัดตั๋วเงินใส่มือฟางซื่อ “ท่านแม่ ข้าเก็บไว้แล้วหนึ่งร้อยตำลึงเงิน ซื้อวัตถุดิบได้เยอะแยะเลยเ้าค่ะ!”
“อีกอย่าง ท่านพ่อ บ้านของพวกเราตอนนี้เล็กเกินไป ต่อไปหากจะทำเครื่องประทินผิว ต้องมีห้องทำงานโดยเฉพาะ จะเก็บวัตถุดิบก็ต้องมีโกดัง พี่ใหญ่ต้องมีห้องหนังสือ พี่รองก็ต้องมีห้องทำงาน พอท่านพ่อท่านแม่ให้กำเนิดน้องชายน้องสาว ก็ต้องมีห้องเพิ่ม...”
อวิ๋นเจียวนับนิ้วมือทั้งสิบของนางแล้วก็ยังไม่พอ นางจึงเงยหน้าขึ้นมองอวิ๋นโส่วจงด้วยรอยยิ้ม “ท่านพ่อ พวกเรา้าบ้านหลังใหญ่เ้าค่ะ”
เชิงอรรถ
[1] ต้าม่าย (大麦) ข้าวบาร์เลย์