ยามสายของฤดูใบไม้ผลิ ลมอ่อนๆ พัดผ่านสวนหลังจวนราชครู กลิ่นดอกไม้หลากสีหอมอบอวลไปทั่วบริเวณ ท่ามกลางความสงบเงียบ เสียงหัวเราะสดใสของเด็กหญิงตัวน้อยดังแว่วขึ้น
“จับข้าให้ได้สิ! ถ้าเ้าทำได้ล่ะก็ ข้าจะยอมให้เ้าแกล้งทั้งวันเลย!” เสียงใสๆ ของเด็กผู้ชาย ดังขึ้นพร้อมกับร่างเล็กๆ ของ เด็กหญิงที่กำลังวิ่งไล่จับบางสิ่งที่ไม่มีใครมองเห็น
ซูเหมยอิง เด็กหญิงวัย 5 ขวบ ผิวขาวผ่อง ใบหน้าอิ่มเอิบ ดวงตากลมโตแฝงประกายเ้าเล่ห์และความซุกซน นางสวมชุดผ้าฝ้ายสีชมพูอ่อน ท่าทางร่าเริงและแก่นแก้ว ดูสดใสราวกับตุ๊กตาจีนในงานเทศกาล นางกำลังไล่จับ "เพื่อนลับ" ของตัวเอง ิญญาเด็กชายจอมซนที่นางรู้จักั้แ่ย้ายมาอยู่ในจวน
“เหมยอิง! เ้าจับข้าไม่ได้หรอก!” เสียงหัวเราะของิญญาเด็กดังตอบกลับ นางวิ่งตามจนล้มลงกับพื้นหญ้า แต่กลับหัวเราะร่าเริง ไม่มีท่าทีจะร้องไห้
“เ้าขี้โกง เสี่ยวไป๋!” นางะโพลางลุกขึ้นปัดเศษหญ้าที่เปื้อนกระโปรง “ถ้าข้าเร็วกว่านี้ เ้าจะไม่มีทางหนีข้าพ้นแน่!”
“เหมยอิง!” เสียงเข้มของ ซูหยางอวี่ ดังขึ้น เด็กชายวัย 13 ปียืนมองน้องสาวด้วยสายตาดุ
หยางอวี่มีผิวขาวตามแบบบุตรชายขุนนาง ใบหน้าของเขาเริ่มฉายแววความหล่อเหลาตามวัย ดวงตาคมที่เต็มไปด้วยความจริงจังทำให้เขาดูโตเกินอายุ นิสัยของหยางอวี่นั้นสุขุมและใจเย็น แต่ก็ดูเหมือนผู้ใหญ่ตัวน้อยที่มีหน้าที่ต้องคอยดูแลน้องสาวจอมแก่น
หยางอวี่กอดอกพลางถอนหายใจ “เ้าเล่นอะไรอีกแล้ว? ท่านปู่กำลังจะให้เราไปเตรียมตัวต้อนรับแขก!”
เหมยอิงเบ้ปาก ใบหน้าบูดบึ้งเล็กน้อยก่อนจะเถียงกลับ “แขก? ใครกัน? สำคัญแค่ไหนเชียว?”
“บุตรชายแม่ทัพใหญ่!” หยางอวี่ตอบเสียงหนักแน่น “เขาจะมาพักที่นี่ เ้าห้ามซนเด็ดขาด เข้าใจไหม?”
เหมยอิงย่นจมูก แล้วหันไปกระซิบกับเสี่ยวไป๋ ิญญาเด็กที่คนอื่นมองไม่เห็น “บุตรชายแม่ทัพใหญ่ ฟังดูน่ากลัวชะมัด ข้าว่าข้าต้องลองดูหน่อยว่าเขาน่ากลัวจริงหรือเปล่า”
หยางอวี่มองน้องสาวด้วยความเหนื่อยใจ “เ้าอย่าหาเื่ให้ใครเดือดร้อน โดยเฉพาะท่านปู่”
จวนราชครูแห่งนี้ตั้งอยู่ในชนบทนอกเมืองหลวง ซูเจิ้นเทียน ผู้เคยเป็ราชครูคนสำคัญของราชสำนัก ตัดสินใจเกษียณหลังจากรับใช้ราชวงศ์มายาวนานหลายสิบปี เขา้าหลีกหนีจากความวุ่นวายทางการเมือง จึงย้ายมาใช้ชีวิตเรียบง่ายพร้อมครอบครัวในชนบท
ครอบครัวของเหมยอิงไม่ใช่ครอบครัวใหญ่เหมือนขุนนางอื่นๆ ซูเหวินหยาง พ่อของเหมยอิง เป็ขุนนางชั้นกลางในราชสำนักที่มีชื่อเสียงเื่ความซื่อสัตย์และรักเดียวใจเดียว แตกต่างจากขุนนางชายคนอื่นในยุคสมัยเดียวกันที่มักมีอนุภรรยา
ซูเหวินหยางรักมั่นภรรยาของเขา หลี่เหมยหลิน เพียงคนเดียว เขายึดมั่นในความสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์ ทำให้เขาเลือกมีลูกเพียงสองคนเท่านั้นคือ ซูหยางอวี่ และ ซูเหมยอิง
หลี่เหมยหลิน มาจากตระกูลหลี่ซึ่งเป็ครอบครัวพ่อค้าใหญ่ในเมืองหลวง แม้ครอบครัวของนางจะไม่ใช่ขุนนาง แต่ด้วยความสามารถด้านการจัดการการค้าและความสัมพันธ์ที่ดีกับชนชั้นสูง ทำให้ตระกูลหลี่ได้รับการยอมรับในวงสังคม และหลี่เหมยหลินได้รับการเลี้ยงดูให้เป็หญิงที่มีความสามารถรอบด้านั้แ่วัยเยาว์ ทั้งงานเย็บปัก การดูแลครัวเรือน และการเจรจาต่อรอง นางช่วยดูแลงานในจวนได้อย่างราบรื่น พร้อมทั้งมีความสามารถด้านการปักผ้าที่งดงามจนเป็ที่เลื่องลือ
แม้ท่านพ่อและท่านแม่จะรักเหมยอิงมาก แต่คนที่นางสนิทที่สุดกลับเป็ ซูเจิ้นเทียน ท่านปู่ของนาง ราชครูผู้มีชื่อเสียงในเื่การอ่านดวงดาวและลิขิตชะตา ท่านปู่ไม่เพียงแต่ดูแลเหมยอิงอย่างใกล้ชิด แต่ยังคอยถ่ายทอดวิชาและความรู้เกี่ยวกับการใช้พร์ในการมองเห็นิญญา
ซูเหมยอิงมีพร์พิเศษที่หาได้ยาก นั่นคือความสามารถในการมองเห็นและสื่อสารกับิญญา เช่นเดียวกับที่ปู่ของนางมี เมื่อซูเจิ้นเทียนพบว่าเหมยอิงสืบทอดความสามารถนี้ เขาจึงรู้ทันทีว่าเด็กหญิงคนนี้คือผู้สืบทอดของเขา
“เหมยอิงเป็หลานที่พิเศษ” ท่านปู่มักพูดเช่นนี้เสมอทุกครั้งที่มีใครถามว่าทำไมนางถึงได้รับการดูแลเป็พิเศษยิ่งกว่าใคร
คนรับใช้ในจวนวิ่งเข้ามารายงาน “ท่านราชครู บุตรชายแม่ทัพใหญ่ใกล้จะมาถึงแล้วขอรับ”
ซูเจิ้นเทียนวางตำราที่อ่านอยู่ลง สายตาเฉียบคมของเขากวาดมองไปรอบๆ ก่อนจะมาหยุดที่หลานสาวตัวน้อยที่กำลังมองมาด้วยดวงตาอยากรู้อยากเห็น
“ท่านปู่! แขกที่จะมาน่ะเป็ใครกัน?” นางถามเสียงใส ขณะวิ่งมานั่งข้าง ซูเจิ้นเทียน ที่กำลังจิบชาอย่างใจเย็น
ซูเจิ้นเทียนปรายตามองหลานสาวตัวน้อยก่อนจะยิ้มบาง “ก็แค่เด็กชายคนหนึ่ง เ้าต้องเป็เพื่อนเล่นกับเขาให้ดีๆ ล่ะ”
เหมยอิงขมวดคิ้ว ก่อนจะยิ้มเ้าเล่ห์ “เพื่อนเล่นงั้นหรือ? ก็ได้! ถ้าเขาไม่ขี้แยล่ะก็ ข้ายอมเล่นด้วยก็ได้!”
นางพูดพลางยกคางขึ้นอย่างท้าทาย ดวงตากลมโตเปล่งประกายวิบวับ ราวกับวางแผนอะไรบางอย่างในใจ
แต่ยังไม่ทันที่ซูเจิ้นเทียนจะตอบอะไร เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“เหมยอิง เ้าอย่าคิดจะแกล้งแขกของเรานะ”
เสียงทุ้มนุ่มแต่แฝงความเข้มงวดทำให้เหมยอิงสะดุ้งเล็กน้อย นางหันขวับไปมอง ก็เห็น ซูเหวินหยาง บิดาของนางยืนกอดอกอยู่ไม่ไกล ใบหน้าขรึมของเขาแฝงความจริงจังแต่แกมไปด้วยความเอ็นดูที่มีต่อลูกสาวตัวน้อย
“ท่านพ่อ! ข้าแค่พูดเล่นเอง...” เหมยอิงรีบพูดเสียงอ้อมแอ้ม แต่สายตายังแอบเป็ประกายเ้าเล่ห์
ซูเหวินหยางมองลูกสาวด้วยสายตาเคร่งขรึม “เล่นหรือไม่เล่น ข้าขอให้เ้าอย่าทำให้ใครเดือดร้อน เข้าใจหรือไม่?”
เหมยอิงเบะปากเล็กน้อยก่อนจะวิ่งออกไปเพราะกลัวโดนบ่นอีก “เข้าใจแล้วเ้าค่ะ...”
ซูเจิ้นเทียนหัวเราะเบาๆ พลางพยักหน้าให้ลูกชาย “อย่าดุนางมากนัก นางก็แค่ซนตามวัย”
ซูเหวินหยางถอนหายใจเบาๆ ก่อนเอ่ยกับซูเจิ้งเทียน “ท่านพ่อ” ซูเหวินหยางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสุภาพ “เหตุใดบุตรชายแม่ทัพใหญ่อู๋จึงต้องมาพักที่จวนของเราหรือขอรับ?”
ซูเจิ้นเทียนนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะวางถ้วยชาลง สายตาเฉียบคมของเขามองลูกชายอย่างจริงจัง
“แม่ทัพใหญ่อู๋ถูกลอบสังหาร” ซูเจิ้นเทียนเอ่ยเสียงเรียบ แต่แฝงความหนักแน่น “ตระกูลอู๋กำลังวุ่นวาย ญาติพี่น้องต่างแย่งชิงสมบัติและอำนาจ ฮ่องเต้จึงมีพระบัญชาให้ข้าช่วยดูแลบุตรชายของเขาชั่วคราว เพื่อหลบภัยจากความวุ่นวายทั้งปวง”
ซูเหวินหยางขมวดคิ้วทันที “สถานการณ์ร้ายแรงถึงเพียงนั้นเชียวหรือขอรับ? หากเป็เช่นนั้น จวนของเราอาจตกอยู่ในอันตรายด้วยสิขอรับ”
ซูเจิ้นเทียนพยักหน้าช้าๆ ดวงตาแน่วแน่ “ข้าย่อมตระหนักดี แต่ไม่มีที่ใดปลอดภัยไปกว่าจวนราชครู ฮ่องเต้เองก็วางพระทัยในตัวข้า”
หลี่เหมยหลิน ที่ยืนอยู่เงียบๆ มาตลอดเอ่ยเสียงเบา “แล้วครอบครัวของเราจะปลอดภัยหรือไม่เ้าคะ?”
ดวงตาของซูเจิ้นเทียนเป็ประกายวาววับ เผยให้เห็นความลึกล้ำที่ไม่อาจหยั่งถึง เขาไม่ได้เป็เพียงราชครูผู้รอบรู้ในศาสตร์แห่งดวงดาวเท่านั้น แต่ยังมีพร์พิเศษที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ นั่นคือ ความสามารถในการมองเห็นและสื่อสารกับิญญา ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ซูเจิ้นเทียนได้ใช้ความสามารถนี้ในการปกป้องครอบครัวอย่างแเี ด้วยการทำพันธะกับิญญาเก่าแก่และิญญาผู้พิทักษ์ที่สิงสถิตอยู่ในจวน
“จวนของเราไม่ได้มีเพียงกำแพงที่ปกป้อง” ซูเจิ้นเทียนเอ่ยเสียงเรียบ ดวงตาแฝงความเยือกเย็น “ข้ามีวิธีมากมายที่จะปกป้องครอบครัวของเรา และข้าได้จัดเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว พวกมันไม่มีทางแตะต้องเราได้ง่ายๆ”
ซูเหวินหยางนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ อย่างเข้าใจ แม้เขาจะมองไม่เห็นสิ่งที่บิดาเห็น แต่เขาก็รู้ดีว่าภายในจวนแห่งนี้ เต็มไปด้วย สิ่งที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้