ครั้นมาถึงด้านในจวน มู่หรงฉางก็ขอบคุณมู่หรงสือ
มู่หรงสือรีบโบกมือ พูดอย่างสบายๆ “องค์หญิงไม่จำเป็ต้องขอบคุณข้า เื่เล็กเท่านั้นเอง เพียงแต่ข้า...หากองค์หญิงยินดีพูดคำพูดดีๆ เกี่ยวกับข้าให้เตี้ยนเซี่ยฟังสองสามประโยค เช่นนั้นก็ถือว่าเป็การขอบคุณข้าแล้ว ข้าจะซาบซึ้งเป็อย่างยิ่ง”
มู่หรงฉางยิ้มแล้วชี้มาที่นางอย่างเข้าใจในทันที “อ้อ...ที่แท้เ้าก็ชอบเสด็จพี่นี่เอง วางใจเถิด หากมีโอกาสเปิ่นกงจะช่วยเ้า พวกเราจะช่วยเหลือกันและกัน”
มู่หรงสือปรบมืออย่างตื่นเต้น หัวเราะจนตาหยี “ดีๆๆ พวกเราช่วยเหลือกันและกัน”
มู่หรงฉางพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา นางเลิกคิ้วด้วยความเ้าเล่ห์ “เช่นนี้ดีหรือไม่ พรุ่งนี้เปิ่นกงจะพาเสด็จพี่มา เ้าก็มารับเปิ่นกงที่ประตู จากนั้นเ้ากับเสด็จพี่ก็อยู่ด้วยกัน ส่วนเปิ่นกงจะไปอยู่กับอวี้หวาง...”
มู่หรงสือะโโลดเต้นด้วยความยินดี “ความคิดนี้ดี เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้”
ส่วนวันพรุ่งนี้นางจะทำอะไรกับองค์รัชทายาทบ้าง นางยังต้องคิดให้ดีๆ
หลังจากนั้น นางก็พาองค์หญิงจาวฮวาไปที่เรือนพักของอาสาม ก่อนจะคลี่ยิ้มงดงามแล้วจากไป
กุ่ยหยิงเห็นองค์หญิงจาวฮวาจากในมุมมืด จึงอดปวดหัวแทนท่านอ๋องไม่ได้
มู่หรงฉางให้หยวนซิ่วรออยู่ด้านนอก แล้วผลักประตูเข้าไปอย่างเบามือ
ในห้องบรรทม มู่หรงอวี้นั่งพิงหมอนอ่านหนังสือ กำลังล้าจากการอ่านพอดี เพิ่งจะวางหนังสือลงแล้วบีบคลายสันจมูก
เขาได้ยินการเคลื่อนไหวด้านนอกนานแล้ว คิดว่าเป็นางกำนัล ตอนที่เห็นว่าคนที่เข้ามาเป็องค์หญิงจาวฮวาก็ใ ใบหน้าหล่อเหลาแปรเปลี่ยนเป็เ็า
“ท่านอ๋อง เปิ่นกงได้ยินมาว่าร่างกายของท่านไม่ค่อยสบาย จึงมาเยี่ยมท่านอ๋องแทนเสด็จพี่เพคะ”
เห็นสีหน้าของเขาไม่ค่อยดี อีกทั้งเหมือนไม่ยินดีต้อนรับนาง มู่หรงฉางก็อดระมัดระวังในใจไม่ได้ พยายามทำใจดีสู้เสือส่งยิ้มสดใสไปให้
ดวงตาของเขาเ็า ก่อนจะเอ่ยปากถาม “องค์รัชทายาทให้เ้ามาหรือ?”
“ก็นับว่า...ใช่เพคะ เสด็จพี่เห็นเปิ่นกงออกจากวัง จึงสั่งให้เปิ่นกงมาเยี่ยมท่านอ๋อง” นางลอบตำหนิตัวเอง แค่นี้ก็ยังพูดตะกุกตะกัก ไม่ได้! นางจะต้องทำใจให้นิ่งสงบเข้าไว้!
“เหตุใดองค์หญิงถึงรู้ว่าเปิ่นหวางไม่สบาย?” ดวงตาของมู่หรงอวี้คมกริบราวลูกธนูทิ่มแทงใจของนาง
“เปิ่นกงได้ยินว่าหลายวันนี้ไม่มีการประชุมราชสำนัก จึงคาดเดาว่าบางทีท่านอ๋องอาจจะไม่สบาย”
ครั้นถูกสายตาเ็าเหมือนน้ำเย็นของเขามองมา ดวงหน้าของนางพลันชาหนึบ ใต้ฝ่าเท้าเหมือนมีไอเย็นแผ่ขยายออกมา
เขาพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจ “เปิ่นหวางจะพักผ่อนแล้ว เชิญองค์หญิงกลับไปได้”
นี่เป็การไล่!
ในใจของมู่หรงฉางเต็มไปด้วยโทสะ นางเพิ่งจะเข้ามาในห้อง พูดจากันเพียงไม่กี่ประโยคเขาก็จะไล่นางกลับแล้ว?
นางเป็ถึงองค์หญิงผู้ทรงเกียรติ ทว่าในสายตาของเขากลับเป็คนไม่เข้าตาถึงเพียงนี้เลยหรือ?
คิดถึงตรงนี้ ความหยิ่งในศักดิ์ศรีก็ทำให้นางยืดอกตัวตรง ไม่ได้หวาดกลัวอีก แต่นางเองก็รู้ดี บุรุษตรงหน้าไม่อาจใช้ได้ทั้งไม้แข็งไม้อ่อน รับมือยากอย่างยิ่ง
“เปิ่นกงมาเยี่ยมท่านอ๋องด้วยความหวังดี ท่านอ๋องปฏิบัติกับแขกเช่นนี้หรือ?”
ปกตินางเป็คนที่หยิ่งยโสเป็ทุนเดิม เป็องค์หญิงที่มีเกียรติสูงส่งจนไม่อาจเปรียบ มีเพียงตอนที่อยู่ต่อหน้าเขาเท่านั้นที่จะอย่างไรก็เย่อหยิ่งไม่ออก
ใบหน้าขาวของมู่หรงอวี้แผ่ไอเยียบเย็นออกมา “เปิ่นหวางไม่้าน้ำใจขององค์หญิง เชิญองค์หญิงออกไปเถิด”
“ท่าน...”
มู่หรงฉางโกรธจนแทบจะพ่นไฟ แต่กลับไม่มีคำพูดใดออกมา
สุดท้ายนางก็ได้แต่เดินจากไปด้วยความโมโห แล้วออกจากจวนอวี้หวางไป
มู่หรงอวี้เรียกพ่อบ้านหลินมาแล้วออกคำสั่ง “ั้แ่นี้ต่อไปไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามให้องค์หญิงจาวฮวาเข้าจวนมาเด็ดขาด”
พ่อบ้านหลินไม่ได้ถามเหตุผล เพียงแค่แจ้งคำสั่งของเขาลงไป
มู่หรงอวี้กำลังคิดว่า เตี้ยนเซี่ยไม่มีทางให้องค์หญิงจาวฮวามาเยี่ยมเขาแน่นอน
เตี้ยนเซี่ยไม่ได้โง่ถึงเพียงนั้น
...
ผ่านมาอีกหนึ่งคืน
มู่หรงฉางเดินดุ่มๆ อย่างอารมณ์ดีไปยังตำหนักบูรพา ลากมู่หรงฉือออกไปข้างนอก “เสด็จพี่ พวกเราไปเดินเล่นที่ถนนกันเถิด”
มู่หรงฉือกว่าจะแกะมือนางออกได้ “เปิ่นกงยังมีเื่ให้ทำอีกมากมาย เ้าไปคนเดียวเถิด”
“เสด็จพี่ พิธีสมรสของน้องใกล้เข้ามาแล้ว อีกไม่นานก็จะต้องไปพักที่จวนองค์หญิงนอกวัง จะเจอหน้าท่านสักทีก็ยากแล้ว ท่านก็ไปเป็เพื่อนน้องสาวสักหน่อยเถิด”
มู่หรงฉางพูดอ้อน แสดงท่าทางน่าสงสารออกมา
มู่หรงฉือเห็นนางเป็เช่นนี้ ก็คิดได้ว่านางไม่ได้ออกจากวังมาหลายวันแล้วจริงๆ จึงตามใจนางแล้วออกไปเดินเล่นนอกวัง
คิดไม่ถึงว่านางจะตรงไปที่จวนอวี้หวาง
“น้องสาว เ้าจะไปทำอะไรที่จวนอวี้หวาง?” มู่หรงฉือมีลางสังหรณ์ไม่ดี
“เมืองหลวงนี้น้องไปมาจนทั่วแล้ว ก็มีแค่จวนอวี้หวางเท่านั้นที่ยังไม่เคยได้เดินดู วันนี้พวกเราสองคนไปเดินเล่นที่จวนอวี้หวางกันเถิดเพคะ” มู่หรงฉางกอดแขนของนางพูดยิ้มๆ
“เปิ่นกงจะไปศาลต้าหลี่ ยังมีเื่ที่ต้องปรึกษากับเสิ่นจือเหยียน เ้าไปเองก็แล้วกัน”
“แบบนั้นจะได้อย่างไรกันเพคะ? ตกลงแล้วว่าจะไปด้วยกันนี่นา”
มู่หรงฉางกอดแขนพี่ชายไว้แน่น มู่หรงฉือพยายามอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่อาจเป็อิสระจากนางได้ ถึงอย่างไรก็เป็น้องสาว จะทำตัวหยาบคายใส่ก็ไม่ดี
มู่หรงฉือพูดโน้มน้าวพลางพยายามแกะมือของนางออก นางร้อนใจจนเหงื่อซึม “น้องสาว เปิ่นกงมีเื่ที่ต้องไปยังศาลต้าหลี่จริงๆ ปล่อยมือ… ปล่อย…”
ฉินรั่วอยากจะเข้าไปช่วย แต่หยวนซิ่วที่อยู่ด้านข้างคอยจับจ้องอยู่ ไม่ยอมให้เข้ามาช่วย
มู่หรงสือมารออยู่ที่หน้าประตูั้แ่เช้า เมื่อได้ยินเสียงด้านนอกประตูใหญ่ ก็รีบพุ่งออกมาด้วยความยินดี “องค์รัชทายาท องค์หญิง”
มู่หรงฉือมีความคิดที่อยากจะเอาหัวชนกำแพงแล้ว ทำไมก่อนหน้านี้ถึงได้รับปากน้องสาวว่าจะออกจากวังกันนะ?
“องค์รัชทายาท องค์หญิง เชิญด้านในเพคะ” มู่หรงสือหันไปส่งสายตาให้กับองค์หญิงจาวฮวา สำเร็จแล้ว!
“เสด็จพี่ ไหนๆ ก็มาแล้ว หากไม่เข้าไปก็ทำตัวห่างเหินเกินไปใช่หรือไม่?” มู่หรงฉางลากพี่ชายไปที่ประตูใหญ่
เมื่อวานองครักษ์ที่เฝ้าประตูจวนเพิ่งจะได้รับคำสั่งจากท่านอ๋อง ไม่ให้องค์หญิงจาวฮวาเข้าไปในจวน เขาอยากจะขวางเอาไว้ แต่จะขวางองค์หญิงจาวฮวาไม่ให้นางเข้าเพียงคนเดียวต่อหน้าองค์รัชทายาทหรือ?
พวกเขายังไม่มีความกล้าขนาดนั้น
ในตอนที่เหล่าองครักษ์กำลังลังเลอยู่นั้น พวกนางก็เข้าจวนไปแล้ว
มู่หรงฉือพูดอย่างหงุดหงิด “เอาล่ะๆ! เปิ่นกงไม่ไปไหนก็พอแล้วไม่ใช่หรือ ยังไม่รีบปล่อยมืออีก?”
มู่หรงฉางปล่อยมืออย่างอารมณ์ดี แสดงท่าทางออดอ้อนน่ารักแสร้งทำตัวน่าสงสารเห็นใจอีกครั้ง “เสด็จพี่ก็ถือว่าช่วยน้องแล้วกันนะเพคะ”
มู่หรงฉือมองฟ้าอย่างหมดคำพูด เอาเถิด จะให้นางถูกรังแกคนเดียวก็คงไม่ได้ จะต้องลากบุรุษบางคนลงมาล่มจมไปด้วยกันถึงจะสนุก
มู่หรงสือเดิมวางแผนว่าจะลากองค์รัชทายาทไปที่เรือนของตน จากนั้นพวกเขาก็จะได้อยู่กันตามลำพัง เพิ่มความเข้าใจกันมากขึ้น บ่มเพาะความรู้สึก แต่ดูจากสถานการณ์แล้วคงเป็ไปไม่ได้ จึงทำได้เพียงถอยออกมา
“ท่านอ๋องพักรักษาตัวมาหลายวันคงจะอึดอัดน่าดู มิสู้พวกเราไปเยี่ยมท่านอ๋องกันก่อนก็แล้วกัน” มู่หรงฉือเสนอความคิด
“ดีเพคะ” คนที่เห็นด้วยเป็อย่างยิ่งแน่นอนว่าเป็มู่หรงฉาง
มู่หรงอวี้อุดอู้อยู่ในห้องหลายวัน วันนี้กำลังนั่งมองก้อนเมฆอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ ชมดอกไม้บานอย่างสบายใจ
พวกมู่หรงฉืออดหยุดฝีเท้าไม่ได้ พากันกลั้นหายใจอย่างไม่ได้นัดหมาย
บุปผางดงามบานอยู่โดยรอบ บนแคร่ไม้ไผ่มีบุรุษในชุดขาวคนหนึ่งนั่งพิงอยู่ แขนเสื้อกว้างระห้อยลงมาราวกับสายลมที่พัดพาหิมะมา รูปหน้าด้านข้างคมคายเ็าราวกับหยกแกะสลักอันงดงาม ดั่งเทพที่อยู่บน์จุติลงมา ราวกับมีบรรยากาศของเทพเซียนโอบล้อม มีเพียงมือของเทพเท่านั้นที่จะปั้นเขาออกมาได้
ร่างทั้งรางเขาเป็ดั่งภาพวาดน้ำหมึกสีเข้ม ทั้งดึงดูดใจและงดงามอย่างยิ่งยวด!
มู่หรงฉางมองเขาด้วยความหลงใหล หัวใจเต้นโครมครามรัวเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะกระดอนออกมา
อวี้หวางหล่อเหลาเกินไป งดงามเกินไปแล้ว!
ครั้นเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินมา โดยเฉพาะเห็นว่าเป็องค์หญิงจาวฮวา ดวงตาของมู่หรงอวี้พลันเย็นเยียบ ก่อนจะจ้องไปยังมู่หรงฉือเขม็ง
นางเป็คนพาองค์หญิงจาวฮวามา?
มู่หรงฉือทำหน้าเหม็นเบื่อ ยักไหล่ แสดงท่าทางว่านี่ไม่ใช่ความคิดของเปิ่นกง เปิ่นกงไม่ได้น่าเบื่อเช่นนั้น
ดวงตาของมู่หรงฉางเต็มไปด้วยความรู้สึก ยืนด้วยอิริยาบถงดงามอยู่ด้านข้าง
มู่หรงสือวิ่งเข้ามาพลางยิ้มตาหยี “ท่านอาสาม องค์รัชทายาทกับองค์หญิงจาวฮวามาเดินเล่นในจวนด้วยกัน ข้าจะดูแลพวกเขาอย่างดี”
มู่หรงอวี้ตอบกลับเสียงเรียบ “อืม” ในดวงตาเต็มไปด้วยน้ำแข็งที่พร้อมจะยิงไปยังเป้าหมายได้ตลอดเวลา
“เตี้ยนเซี่ย หม่อมฉันพาพระองค์ไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้ดีหรือไม่เพคะ” นางโบกไม้โบกมือไปมาด้วยความตื่นเต้น “ท่านอาสามต้องพักผ่อน มิสู้ให้องค์หญิงอยู่เป็เพื่อนท่านอาสามที่นี่ ดีดฉิน พูดคุยกันก็ได้เพคะ”
“เสด็จพี่ น้องรู้สึกเหนื่อยอยู่เล็กน้อย ขอพักผ่อนที่นี่ก่อนสักครู่แล้วกันเพคะ” มู่หรงฉางพูดอย่างใจกว้าง ในใจพลันอารมณ์ดี เื่นี้สำเร็จแล้ว
“เปิ่นกงเองก็เหนื่อยเช่นกัน ไม่อยากเดินต่อแล้ว” มู่หรงฉือนั่งลงบนเก้าอี้หิน พูดเสียงเนือย
หากไม่ใช่ว่านางแข็งแกร่งก็คงจะถูกน้ำแข็งอันไร้รูปร่างจากสายตาของมู่หรงอวี้แทงจนพรุนไปแล้ว
มู่หรงอวี้หัวเราะออกมาทันที คลี่ยิ้มอย่างใจเย็นให้ความรู้สึกเหมือนลมใน่ต้นฤดูใบไม้ร่วง “ดีดฉิน พูดคุยกันก็ได้อยู่ แต่ว่าไม่มีน้ำชากับขนม ที่โรงครัวมีขนมที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ สือเอ๋อร์เ้าพาองค์หญิงไปเอาขนมที่โรงครัวมา แล้วสั่งให้บ่าวรับใช้ต้มชามาด้วย”
มู่หรงสือได้ยินก็ดีใจอย่างอดไม่อยู่ ขานรับไม่หยุดแล้วจูงมือมู่หรงฉางไปด้วยความยินดีปรีดา
มู่หรงฉางรู้สึกว่ามีตรงไหนแปลกพิกล แต่นางถูกลากออกไปแล้วจึงทำได้แค่ไปที่โรงครัวก่อนเท่านั้น
เห็นสายตาเย็นเยียบของเขาเลื่อนมา มู่หรงฉือก็รีบพูดทันที “ไม่ใช่ความคิดของเปิ่นกง เป็พวกนางสองคนร่วมมือกัน เปิ่นกงเองก็ถูกหลอกมาเหมือนกัน”
มู่หรงอวี้ยืนขึ้นแล้วเดินไปที่ห้องตำรา “ตามเปิ่นหวางมา”
ความจริงแล้วนางอยากจะกลับไป แต่นางไม่กล้า อีกอย่างเขาเองก็ไม่มีทางปล่อยนางไป
ก่อนจะเข้าไปในห้องตำรา เขาสั่งความกุ่ยหยิงสองสามประโยค จากนั้นก็ปิดประตูห้อง
ฉินรั่วเองก็อยู่ด้านนอก แล้วไปหาที่เย็นสบายรอ
เขานางนั่งที่มุมโต๊ะหนังสือ อาภรณ์สีขาวราวกับหมอกควัน งดงามสูงส่ง รูปลักษณ์งดงามดั่งหยก
“เหตุใดถึงทำเช่นนี้?”
“กระอักเืไปด้วยกันสองคน ดีกว่าเปิ่นกงกระอักเือยู่คนเดียว” มู่หรงฉือเลิกคิ้วยิ้มขม “เปิ่นกงถูกรบเร้าจนทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงต้องลากท่านลงเรือไปด้วยกัน”
“เช่นนี่ก็เป็เตี้ยนเซี่ยที่เอาตัวเองมาส่งให้ถึงที่” เขาเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่
ใจของนางพลันกระตุก พวกแก้มเห่อร้อนน้อยๆ คำพูดนี้แฝงความนัย “อีกประเดี๋ยวพอพวกนางกลับมา ท่านอ๋องวางแผนจะรับมืออย่างไร?”
มู่หรงอวี้ถามกลับ “เ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
นางเดินลึกเข้าไปในห้อง “เปิ่นกงจะหนีไปทางหน้าต่างด้านหลัง อีกประเดี๋ยวท่านก็ค่อยส่งน้องหญิงกลับไป”
เขาตามมาอยู่ด้านหลัง นางอดเร่งฝีเท้าไม่ได้ แต่กลับถูกเขาจับมือเอาไว้ นางจึงต้องหมุนตัวกลับมาอย่างไม่อาจควบคุม แต่กลับหมุนเข้าไปในอ้อมกอดของเขาพอดี จากนั้นก็ถูกเขาโอบกอดเอาไว้
มู่หรงฉือดิ้นรนเช่นเคย แต่จะดิ้นอย่างไรก็ดิ้นไม่หลุด ภายใต้ความโกรธหัวใจยังว้าวุ่นด้วยเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วว่าจะรักษาระยะห่างกับเขา นางไม่มีทางให้ตัวเองตกลงไปในความรู้สึกที่ไม่อาจถอนตัวออกมาได้จำพวกนี้
เขากดร่างของนางแนบไปกับกำแพง ใช้ร่างกายของตัวเองบดเบียดกักขังนางเอาไว้ระหว่างช่องว่างเล็กๆ ก่อนจะเชยคางนางขึ้น
มู่หรงฉือปัดมือเขาออก อีกมือหนึ่งก็ยื่นไปที่ลำคอของเขาอย่างรวดเร็ว แต่ว่ามือของมู่หรงอวี้ว่องไวกว่านาง เพียงครู่เดียวก็จัดการจนนางไม่มีกำลังจะตอบโต้
“ปล่อยมือ!” นางถลึงตาใส่เขา นางมักจะถูกเขาเอาเปรียบไปเสียทุกครั้ง
“เปิ่นหวางประเมินเตี้ยนเซี่ยต่ำไป หากครั้งนี้พวกเราไม่ได้พบศัตรูแข็งแกร่งที่ทะเลสาบเสวียนเยว่ เตี้ยนเซี่ยคิดจะปกปิดไปถึงเมื่อไหร่?” น้ำเสียงแหบห้าวของเขาแฝงไว้ด้วยอารมณ์ที่ไม่ชัดเจน
“เปิ่นกงมีความจำเป็ใดจะต้องบอกท่าน?” ความจริงนางรู้ เขามองความสามารถด้านการต่อสู้ของนางออกนานแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าความสามารถของนางมีแค่ไหนเท่านั้น
“เปิ่นหวางรู้สึกว่าจำเป็อย่างมาก”
“สำหรับท่านอ๋องแล้ว เปิ่นกงมีความสามารถเท่ากับคนที่เพิ่งจะเริ่มฝึกเท่านั้น ยังสู้องครักษ์เงาของท่านไม่ได้เสียด้วยซ้ำ”
“เพียงความสามารถนี้ของเตี้ยนเซี่ยก็ทำให้คนใได้แล้ว เตี้ยนเซี่ยยังมีความลับอะไรที่ปิดบังเปิ่นหวางอีกหรือไม่?”
มู่หรงฉือจ้องเขา แสงอาทิตย์ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาเป็ประกายระยิบระยับ ดวงตาสีดำของเขาที่เปล่งประกายพลันหม่นลงเล็กน้อยติดจะเยือกเย็นอยู่บ้าง
มุมปากของมู่หรงอวี้เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “สำนักหนึ่งในใต้หล้า หอเฟิ่งหวง ยังมีอะไรที่เปิ่นหวางไม่รู้อีกหรือไม่?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้