ด้านหลังศีรษะของเขาถูกเซี่ยเจิงจ้องมองด้วยสายตาที่เ็า
ความตรงไปตรงมาของหวังหลินหลินผู้หญิงคนนี้ เกือบจะเขียนคำว่า “ฉันสนใจนาย” ประโยคนี้เอาไว้บนหน้าอยู่แล้ว
ชวีเสี่ยวปอไม่ได้รู้สึกเกลียดเธอ ตรงกันข้ามกลับรู้สึกว่าเธอไม่เหมือนกับผู้หญิงคนอื่น แต่ถ้าให้บอกว่ารู้สีกสนใจไหมน่ะเหรอ คงต้องตอบว่าไม่เลยสักนิด
เพราะถึงยังไงการถูกเซี่ยเจิงจ้องมองอยู่ในตอนนี้ก็ทำให้เขารู้สึกอึดอัดไม่น้อยเลยเช่นกัน
“นายมองอะไร? ” ชวีเสี่ยวปอถาม
“ไม่ได้มองอะไร” เซี่ยเจิงยกมุมปากขึ้น ชวีเสี่ยวปอรู้ว่าทันทีที่เขาแสดงสีหน้าเช่นนี้ต้องเกิดเื่ไม่ดีอย่างแน่นอน แล้วก็เป็เช่นนั้นจริงๆ เซี่ยเจิงพูดต่อขึ้นมาว่า : “ฉันกำลังคิดว่า ทำไมนายถึงได้รับแขกเก่งขนาดนี้นะ”
“รับแขก? ” ชวีเสี่ยวปอพูดซ้ำขึ้นมาอีกรอบ ราวกับว่ากำลังครุ่นคิดถึงความหมายของสองคำนี้ หลังจากนั้นไม่นานเขาจึงพูดขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า : “ทำไมนายถึงพูดเหมือนกับว่าฉันเป็พวกแถวหน้าในซ่องโสเภณีสมัยโบราณเลยอะ”
“คำอธิบายของนายผิดแล้ว” เซี่ยเจิงขำออกมาเสียงดัง “ฉันแค่จะบอกว่าผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนจะชอบนายมากเลยนะ”
“งั้นเหรอ” เมื่อคำพูดนี้ออกมาจากปากเซี่ยเจิง ชวีเสี่ยวปอจึงรู้สึกแปลกๆ ทั้งยังตอบออกไปอย่างเขินอาย “ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันสักหน่อย”
“ชอบนายนี่จะไม่เกี่ยวกับนายได้ไง? ” เซี่ยเจิงถามย้อนกลับไป
“พูดอะไรไร้สาระอยู่นั่น” ชวีเสี่ยวปอวักน้ำใส่เซี่ยเจิง ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา “ฉันไม่ได้สนใจเธอก็พอแล้วไหม”
หลังจากพูดจบประโยคนี้ทั้งสองคนก็ต่างเงียบไป
ราวกับว่ามีเื่อะไรบางอย่างที่ภายในใจเข้าใจเป็อย่างดีแต่กลับไม่ยอมพูดออกมา ทั้งสองคนล้วนรับรู้ ล้วนเข้าใจ แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างมาคั่นกลางเอาไว้ ทุบไม่แตก ทั้งยังไม่อาจที่จะเจาะทำลายได้
ไม่ชอบ ไม่ชอบเลยสักนิด
หลังจากนั้นไม่นาน ชวีเสี่ยวปอก็ได้ยินเสียงเล่นกันอย่างสนุกสนานดังมาจากทางฝั่งของเจียงอี้หยาง พวกเขาเริ่มต่อสู้กันทางน้ำแล้ว เจียงอี้หยางและซือจวิ้นะโร้องออกมาเสียงดัง ทั้งยังมีเสียงหัวเราะของผู้หญิงดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
“เฮ้” ชวีเสี่ยวปอชนเข้าที่แขนของเซี่ยเจิง “ฉันว่า...”
“ถ้านายสนใจก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันเหมือนกัน” เซี่ยเจิงพูดแทรกเขาขึ้นมา
“นี่นาย...หมายความว่ายังไง” ชวีเสี่ยวปอผงะไป เขาคิดไม่ถึงว่าเซี่ยเจิงจะพูดประโยคนี้ออกมา
“ไม่ได้หมายความว่ายังไง” น้ำเสียงของเซี่ยเจิงนิ่งเรียบ ในแววตาก็ไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรออกมาเลย แต่เมื่อชวีเสี่ยวปอมองลึกเข้าไปในดวงตาของเขา ทันใดนั้นชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกเหมือนกับว่าความไร้อารมณ์นี้มันมาจุกแน่นอยู่ภายในหัวใจ
“อะไรคือไม่เกี่ยวกับนาย? ” ชวีเสี่ยวปอพลิกมือเข้าไปคว้าข้อมือของเซี่ยเจิงเอาไว้ เขาอยากจะพูดออกมาว่า “มันเกี่ยวกับนายมากเลยละ” แต่เมื่อพอคิดดูแล้ว กลับรู้สึกว่าตัวเขาต้องยืนอยู่ในตำแหน่งไหนถึงจะสามารถพูดประโยคนั้นออกไปได้? ในขณะนั้นเขาจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
“ปล่อยฉันก่อน” เซี่ยเจิงตีมือของชวีเสี่ยวปอ แต่กลับไม่ได้ผล ชวีเสี่ยวปอยังคงจับเอาไว้แน่น เขาจึงทำได้เพียงถอนหายใจออกมา และยอมให้ชวีเสี่ยวปอดึงเขาอยู่เช่นนั้น “ฉันหมายความว่า นายอยากจะทำความเข้าใจเื่ราวที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเราสองคนไม่ใช่เหรอ? ก่อนที่เข้าใจอย่างชัดเจน บางทีนายก็อาจจะมีความคิดอย่างอื่น รู้สึกว่าเื่นี้ไม่จำเป็ต้องคิดอีกต่อไปแล้ว พอแค่นี้ ฉันก็ไม่เป็ไร”
ชวีเสี่ยวปออ้าปากอยากจะพูดอะไรออกมา แต่กลับพูดอะไรไม่ออกเลยสักคำ แล้วจู่ๆ เขาก็รู้สึกอยากต่อยเซี่ยเจิงขึ้นมา ถามกลับไปว่านายกำลังพูดไร้สาระบ้าบออะไรอยู่ ทว่าคำด่านี้ยังไม่ทันที่จะได้พูดออกมา ในตอนนั้นเองมือของเขาข้างที่จับข้อมือเซี่ยเจิงเอาไว้ก็คลายออก และเปลี่ยนไปกดเข้าที่ด้านหลังศีรษะของเซี่ยเจิงแทน จนทำให้ในขณะนั้นใบหน้าของเซี่ยเจิงแนบชิดเข้ามา
ถึงยังไงนี่ก็ไม่ใช่การจูบครั้งแรก! ไม่ได้สำคัญอะไรแล้วละ
ทว่าในครั้งชวีเสี่ยวปอไม่ได้จูบลงไป แต่เขาเข้าไปกัดที่ริมฝีปากของเซี่ยเจิงอย่างแรงครั้งหนึ่ง ส่วนเซี่ยเจิงก็ไม่ยอมเสียเปรียบจึงกัดเข้าไปที่บนริมฝีปากล่างของเขาหนึ่งครั้งเช่นกัน
กลิ่นคาวเื
เซี่ยเจิงแลบลิ้นออกมาเลียที่มุมปาก มองไปยังใบหน้าที่เต็มไปด้วยความพอใจของชวีเสี่ยวปออย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“เกิดปีจอหรือไง” เซี่ยเจิงทำเสียงซี๊ดออกมา
“ตอนนี้ยังจะไม่เกี่ยวอยู่อีกไหม? ” ชวีเสี่ยวปอพอใจกับกลอุบายของตัวเองเป็อย่างมาก “ฉันบอกว่าไม่ได้สนใจก็ไม่ได้สนใจสิ นายต้องรอจนกว่าฉันจะแน่ใจ”
“ทวดนายสิ” เซี่ยเจิงส่ายศีรษะไปมาอย่างจนปัญญา “นายไม่ไร้เหตุผลไปหน่อยเหรอ”
“ใช่ ฉันเป็แบบนี้นี่แหละ” ชวีเสี่ยวปอหัวเราะอย่างร้ายกาจ พร้อมทั้งมองไปยังมุมปากของเซี่ยเจิงที่ปริแตกออกมาเป็รอยเล็กๆ แล้วจู่ๆ เขาก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมาอย่างประหลาด
นี่เป็ตราประทับที่เขาได้ประทับเอาไว้เอง
ทั้งสองคนเถียงกันไปมาอยู่พักหนึ่ง เมื่อสงบลงแล้ว เขาทั้งสองคนก็ซบไหล่กันพร้อมทั้งพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย
“พ่อกับแม่นายไปเมืองไทย? ” หลังจากที่เซี่ยเจิงฟังชวีเสี่ยวปอพูดจบเขาก็รู้สึกใอยู่ไม่น้อย “ในบ้านเหลือแค่นายคนเดียว? ”
“เคยไปมาแล้ว” ชวีเสี่ยวปอหลับตาลงอย่างเกียจคร้าน “ที่จริงตอนแรกฉันก็ไม่ได้อยู่บ้านคนเดียวหรอก ยังมีคุณป้าอยู่ด้วย แต่เขาก็กลับไปหาลูกชายที่บ้านแล้ว”
“นายจะอยู่บ้านทั้งเจ็ดวันเลย? ” เซี่ยเจิงถาม
“เปล่า” ชวีเสี่ยวปอหัวเราะขึ้นมาอย่างเ้าเล่ห์ “ฉันเตรียมจะไปกินฟรีดื่มฟรีที่บ้านนาย”
“ยินดีต้อนรับ มากินมาดื่มได้เลย” เซี่ยเจิงเองก็หลับตาลงเช่นกัน
สุดท้ายแล้วเขาทั้งสองคนก็ไม่ได้สนุกกับพวกเขาตรงนั้น ในตอนที่ซือจวิ้นเดินเข้ามาหาพวกเขา จึงแซวเขาทั้งสองคนออกไปว่าเหมือนไข่ต้มสุกที่ต้มออกมาจากหม้อใบเดียวกัน ทั้งยังมีควันร้อนลอยขึ้นมาเหมือนกันอีก ส่วนผู้หญิงทั้งสองคนก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า พวกเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็วกว่าพวกผู้หญิงจึงออกมาเริ่มเตรียมบาร์บีคิวเอาไว้ก่อน
ชวีเสี่ยวปอมองไปรอบๆ แล้วก็เห็นว่าในเวลานี้มีคนมาแช่น้ำพุร้อนไม่น้อยเลยทีเดียว ทั้งยังพบว่าพวกเขาเป็กลุ่มเดียวที่มีเตาบาร์บีคิว เดาว่าพ่อของเจียงอี้หยางจัดเตรียมเอาไว้ให้เป็พิเศษเพื่อให้พวกเขาได้สนุกสนานครึกครื้นกันยิ่งขึ้น แต่ข้อเสียอย่างเดียวเลยก็คือมันไม่เหมาะกับสภาพแวดล้อมตรงนี้
เพื่อไม่ให้เป็จุดสนใจ พวกเราจึงช่วยกันย้ายเตาบาร์บีคิวไปไว้บนสนามหญ้าที่อยู่ไกลออกไป เมื่อทั้งสองสาวเดินออกมาหลังจากเปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าหนาๆ แล้ว ในขณะนั้นพวกเขาก็เตรียมทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยพอดี
“ให้ฉันช่วยเสียบไม้นะ” เซวียอวี่เข้าไปยืนข้างๆ เจียงอี้หยาง พร้อมทั้งดึงแขนเขาเอาไว้ ในตอนนี้ทั้งสองคนดูสนิทสนมกันมากกว่าเมื่อครู่อย่างเห็นได้ชัด
“ไม่ต้องๆ ” เจียงอี้หยางลูบศีรษะของเซวียอวี่ไปครั้งหนึ่ง “ใกล้จะเสร็จแล้วละ เธอไปนั่งรอกินอยู่ข้างๆ ก็พอแล้ว”
“ใช่ๆ ให้โอกาสเจียงอี้หยางได้แสดงฝีมือหน่อย” ชวีเสี่ยวปอพูดเสริมเข้าไป เซวียอวี่ไม่ได้พูดอะไร เอาแต่ป้องปากหัวเราะออกมา
แต่หวังหลินหลินกลับไม่ได้ดูสดใสร่าเริงเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว หลังจากออกมาก็เอาแต่ก้มหน้าเล่นมือถืออยู่ตลอดเวลา ซือจวิ้นเดินเข้าไปคุยกับเธอตั้งหลายครั้ง แต่เธอก็ทำเป็ไม่สนใจ เขาจึงไม่ได้ไปใส่ใจอะไรเธออีก
“มีใครไปแกล้งอะไรเธอหรือเปล่า? ” ซือจวิ้นพลิกกลับด้านปีกไก่ จากนั้นจึงโรยผงใบยี่หร่าลงไป “เมื่อกี้ยังดูสนุกอยู่เลย”
“ไม่มีนะ” ชวีเสี่ยวปอมองไปยังหวังหลินหลิน ในขณะนั้นหญิงสาวก็บังเอิญมองมาทางเขาด้วยพอดี ทว่าสบตากับเขาไปเพียงครู่เดียวเธอก็ดึงสายตากลับมาอย่างรวดเร็ว ทั้งยังเผยให้เห็นถึงสีหน้าที่ไม่ค่อยจะสบอารมณ์สักเท่าไหร่ ชวีเสี่ยวปอจึงเข้าใจขึ้นมาคร่าวๆ แล้วว่าเธอเป็อะไร เป็เพราะว่าในตอนที่เขาอยู่ตรงบ่อน้ำพุร้อนเขารับปากเธอว่าจะไปตรงนั้น แต่สุดท้ายแล้วกลับไม่ได้ไป หญิงสาวคงจะคิดว่าเขาไม่ได้ใส่ใจเธอสักเท่าไหร่ ดังนั้นเธอจึงโกรธ
“ถ้างั้นก็แปลกน่าดูเลย” ซือจวิ้นบ่นพึมพำ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจสักเท่าไหร่ จากนั้นจึงหันไปมองเซี่ยเจิงที่กำลังทาซอสลงบนเห็ดเข็มทอง : “ย่างประมาณนี้ถือว่าใช้ได้หรือยังอะ? ”
“เกือบได้แล้วละ” เซี่ยเจิงเดินมา ในมือของเขาถือไม้เสียบเอาไว้พร้อมทั้งนำมาทิ่มลงไปบนปีกไก่ “ย่างต่ออีกหน่อยก็ได้ ดูเอาไว้อย่าให้ไหม้นะ”
“ได้เลย” ซือจวิ้นพยักหน้า แล้วจู่ๆ ก็เหมือนว่าเขาพบความผิดปกติอะไรบางอย่างจึงยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ : “เซี่ยเจิง ทำไมปากนายถึงแตกได้อะ? ”
ทันใดนั้นมือของชวีเสี่ยวปอก็สั่นขึ้นมาทันที จึงทำให้กระปุกเครื่องปรุงที่เขาถือไว้สั่นตามไปด้วย
ซือจวิ้นหันศีรษะกลับไปมองในทันที : “ให้ตายสิ! ปอเอ๋อร์! นายใส่พริกเยอะขนาดนั้น! ไม้นี้นายกินเองเลยนะ! ”