ก่อนหน้านี้เสี่ยวมู่อวี่ได้ยินเกี่ยวกับราชวงศ์เป่ยิก็มีท่าทีแปลกไป อวิ๋นอี้จึงเดาได้จากเื่นี้
ทว่าเมื่อได้ฟังคำของเผยยวนอี้ การคาดเดานั้นก็หายไป
แม้ว่านางจะมิรู้เื่บางครา ทว่าอย่างน้อยเื่เพศของเสี่ยวมู่อวี่นั้นนางมั่นใจมาก
เขาเป็เด็กผู้ชายจริงๆ
ในเมื่อไม่เกี่ยวข้องกับเสี่ยวมู่อวี่ อวิ๋นอี้จึงปล่อยความคิดนั้นไป แล้วหันมาสนใจคำพูดขององค์ชายคนโต
น้ำเสียงของเผยยวนอี้อ่อนโยน จังหวะการพูดและหยุดได้อย่างมีทักษะ เมื่อเขาพูดก็พบว่าเสียงของเขาช่างน่าฟังและน่าหลงใหล
เมื่อพูดถึงราชวงศ์เป่ยิ ก่อนที่องค์หญิงเก้าจะประสูติ เรียกได้ว่าเป็การมีอยู่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สุดในบรรดาราชวงศ์โดยรอบ
ในบรรดารัชทายาทของฮ่องเต้มิมีเด็กผู้หญิง แต่เป็บุรุษทั้งหมด
“บิดาเป็ทุกข์มาก ทรงเป็กังวลมากว่าจะต้องคำสาปที่เหมือนกันกับฮ่องเต้องค์ก่อนหน้า เขาเฝ้าครุ่นคิดทั้งวันทั้งคืน จนกระทั่งองค์หญิงเก้าประสูติ”
อวิ๋นอี้ฟังถึงเพลานี้ก็สงสัยขึ้นมา คำสาปหรือ? คำสาปกระไร?
นางอยากถาม กำลังจะเปิดปาก แต่หรงซิวพลันแตะแขนนางเบาๆ
เมื่อหันไปมอง อีกฝ่ายกลับไม่เหลียวมาราวกับว่าเขาไม่เห็นนาง
อวิ๋นอี้ขมวดคิ้ว สงสัยในใจ ทว่าสุดท้ายก็ฟังเผยยวนอี้พูดต่อก่อน
“ผู้ให้กำเนิดองค์หญิงเก้าเป็สาวใช้ล้างเท้าในวัง ผู้อื่น ล้วนได้ดีเพราะบุตรชาย นางกลับได้ดีเพราะธิดา บิดามีความสุขมากที่ทำลายคำสาปได้ เขาหวงแหนองค์หญิงเก้าอย่างมาก ตามใจต่างๆ นานา เพียงแค่นางเอ่ยปาก มิมีสิ่งใดที่มิได้ ปลายวสันต์ปีที่แล้ว บิดาพาพวกเราไปล่าสัตว์ องค์หญิงเก้านางอ้อนขออยากจะไปด้วย บิดาจึงยอมให้นางไป มิคิดเลยว่านางจะหายไปในทุ่งล่าสัตว์นั้น”
เผยหลางเย่ที่อยู่ข้างๆ ฟังอยู่นาน อดที่จะพูดแทรกมิได้ “คิดว่ามันอัศจรรย์หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ นางหายไปในขณะที่มิมีผู้ใดได้สังเกตเห็น มีผีหรืออย่างไรกัน?”
หรงซิวได้ยินเช่นนั้นพลันส่ายหัวยิ้ม เขาไม่เชื่อเื่ผีสางเทวดาสิ่งลี้ลับกระไรจำพวกนี้
เผยหลางเย่เห็นเช่นนั้นก็ใช้มือสองข้างตบตัก พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “บิดาทรงกริ้วมากเมื่อรู้ว่าองค์หญิงเก้าหายไป เขาเกือบจะสั่งปลดหัวคนทั้งหลาย แต่ดีที่เขาสงบลงได้ เขารับสั่งให้ทุกคนตามหาองค์หญิงเก้า เพลานี้ก็ หนึ่ง สอง สาม สี่ ใช่ สี่เดือนแล้ว ยังหาไม่พบแม้แต่กลิ่นผายลม!”
หลังจากที่ได้รู้จักกันเป็เวลาสั้นๆ อวิ๋นอี้ได้รู้นิสัยขององค์ชายทั้งสอง นางไม่แปลกใจกับการแสดงออกที่หยาบคายของเผยหลางเย่
หรงซิวก็เฉยมากเช่นกัน ถามช้าๆ ว่า “เช่นนั้นจึงมาหาที่ต้าอวี่หรือ?”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ” เผยยวนอี้ยิ้มอย่างอ่อนโยน “องค์ชาย ท่านเองก็รู้ว่าเขตแดนของเราสองอยู่ติดกัน สนามล่าสัตว์ฤดูวสันต์อยู่ในบริเวณแนวแยก มีความเป็ไปได้มากว่าเด็กน้อยอาจจะเดินหลงเข้ามาในต้าอวี่”
หรงซิวเลิกคิ้วอย่างเห็นด้วย “ใช่พ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นองค์ชาย ท่านว่า...” เผยยวนอี้พูดถึงตรงนี้ มิได้พูดออกมาทั้งหมด แต่กลับมองด้วยสายตาลึกๆ แทน
บุรุษสองคนมองหน้ากันครู่หนึ่ง หรงซิวเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน เขาพูดอย่างใจเย็นว่า “ราชวงศ์ของเราสองเดิมมีสัมพันธ์กันดี องค์ชายมาเป็แขกอย่างเอิกเกริกเช่นนี้ มีสิ่งใดให้ข้าช่วยข้าต้องช่วยเหลืออย่างเต็มที่อยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เช่นนั้นถือเป็อันว่าตกลงแล้ว
เผยยวนอี้รู้สึกขอบคุณมาก เขาลุกขึ้นยืนและโค้งคำนับทันที
พื้นที่ในต้าอวี่ พวกเขาไม่คุ้นเคย หากจะวิ่งดั้นด้นไปตามหาคน เกรงว่าจะเดินผิดเสียเวลาไปนาน หากมีความช่วยเหลือของหรงซิว เชื่อว่าจะมีชัยไปกว่าครึ่ง
หลังจากที่เห็นพี่ชายยืนขึ้น เผยหลางเย่ระงับความมิรู้มารยาทไว้ แล้วยืนขึ้นโค้งคำนับด้วย
“องค์ชายทั้งสองมิต้องเกรงพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” หรงซิวโบกมือให้พวกเขานั่งลง “ทานข้าวก่อนเถิด หากว่างหลังจากทานเสร็จ รบกวนช่วยวาดภาพเหมือนขององค์หญิงเก้าให้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“ได้พ่ะย่ะค่ะ” เผยยวนอี้พูด “รบกวนองค์ชายด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
คิมหันต์ค่อยๆ มาถึง ดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงแผดเผา พร่างพรายบนต้นไม้ กิ่งก้านและใบม้วนงอไม่มีชีวิตชีวา หลังจากรับประทานอาหารเสร็จอวิ๋นอี้ก็รู้สึกง่วงนอนเล็กน้อย
หรงซิวกล่าวลาองค์ชายทั้งสองอย่างสุภาพ จากนั้นก็อุ้มนางกลับไปที่ห้อง
ทว่าเมื่อมาถึงบนเตียงอวิ๋นอี้กลับสดชื่นขึ้นมา
ในห้องเตรียมน้ำแข็งเตรียมไว้เพื่อไล่ความร้อน วางลงบนโต๊ะข้างเตียง บางครามีลมพัดเข้ามาระหว่างรอยแยกเล็กๆ ของประตูและหน้าต่างที่ปิดอยู่ อากาศเย็นพัดผ่านแก้ม ทำให้คนรู้สึกสบาย
อวิ๋นอี้สวมผ้าบางๆ อย่างสบาย นางเงยหน้าขึ้นและมองไปยังหรงซิวที่กำลังนอนอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นบุรุษหนุ่มยิ้มให้นาง ใบหน้าของนางพลันแดงด้วยความเขินอาย นางยื่นนิ้วออกไปสะกิดเขา
นิ้วของนางถูกหรงซิวบีบไว้ แล้วดึงไปที่ริมฝีปาก จูบสองครา
น้ำเสียงคลุมเครือ แผดเผาใบหู
บุรุษหนุ่มแข็งแกร่ง รู้ว่าเทียบเขามิได้ อวิ๋นอี้ไม่ดิ้นรนอีกต่อไป เพียงพูดเกี่ยวกับความสงสัยของนางว่า "ฝ่าาเพคะ ราชวงศ์เป่ยิมีคำสาปกระไรกัน"
ทุกคราที่นางเรียกว่าฝ่าาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ทำให้เืพุ่งปรี๊ดไปที่หัวเขาได้ทุกนาที
หรงซิวหน้าท้องเกร็ง กัดมือของนาง แล้วพูดด้วยเสียงแหบ "พูดดีๆ หน่อย"
"ข้าพูดดีๆ อยู่นี่เพคะ!" นางพูดอย่างไม่พอใจ น้ำเสียงของนางอ่อนลงและเย้ายวน
หรงซิวสูดหายใจเข้าลึกๆ จู่ๆ ก็พลิกตัวไปกดทับบนตัวนางอย่างรวดเร็ว ท่าทางของบุรุษที่ทับสตรี และร่างกายที่ชิดกัน ทำนางใจนเบิกตาโพลง มองลอกแลกไปมา
เขาบีบจมูกนาง “พูดจริงจังหน่อย อย่าเย้ายวนข้า จุดไฟข้าขึ้นมาอย่ามาโทษว่าข้าทำเ้าั้แ่ตอนกลางวัน!”
อีกแล้ว
ในสมองมิมีเื่อื่นเลยทั้งวี่ทั้งวัน!
อยู่อย่างสุนัข หน้าซื่อใจเดรัจฉาน หมาป่าร่างแกะ นั่นล่ะเขา!
ในใจของอวิ๋นอี้มีแต่การบ่น ทว่านางไม่กล้าเผชิญหน้ากับบุรุษหนุ่ม การร้องไห้ทั้งคืนนั้นนางยังจำมันได้ดี!
นางกระแอมในลำคอและแสร้งทำพูดเข้ม “บอกข้าเกี่ยวกับคำสาปนั้นหน่อย”
หรงซิวเห็นว่านางมีความกระหายในความรู้อย่างมาก มิมีกระไรต้องปิด อย่างไรตาม คำสาปนั้นเป็ที่รู้จักกันไปทั่ว
“ที่มาของคำสาปนั้นเกี่ยวข้องกับการจักรพรรดิผู้ก่อตั้งราชวงศ์เป่ยิ ว่ากันว่าจักรพรรดิผู้ก่อตั้งและเพื่อนๆ สู้รบทั่วหล้ามาด้วยกัน ต่อมาหลังจากที่เขาประสบความสำเร็จ จักรพรรดิได้เรียกเพื่อนเ่าั้เข้าวังไปอย่างผิดปกติ บอกว่าอยากดื่มด้วยกันเพื่อรำลึกถึงวันเก่าๆ ทว่าปัญหากลับเกิดขึ้นที่เหล้า เป็เหล้าพิษ องค์จักรพรรดิทานยาแพ้พิษเข้าไปก่อน เขาจึงไม่ตาย คนอื่นๆ กลับถูกพิษตายกันหมด”
“ห๊ะ?” อวิ๋นอี้ใ “เหตุใดจึงทำเช่นนั้นเพคะ? เกรงว่าพวกเขาจะคุกคามถึงตำแหน่งหรือ?”
หรงซิวเคาะปลายจมูกของนาง "มิได้โง่นี่"
“หลังจากนั้นเล่าเพคะ?” อวิ๋นอี้ถามอย่างร้อนใจ “ผลเล่าเพคะ? พวกเขาตายกันหมดเลยหรือ?”
หรงซิวพยักหน้า “บุรุษหากโเี้ขึ้นมา มิมีกระไรที่เขาไม่กล้าทำ เพื่อนหลายคนรู้ว่าถูกวางยาพิษจึงถามเขาว่าเพราะเหตุใดกัน พวกเขา้าโน้มน้าวพระองค์ ทว่าจักรพรรดิตั้งใจไว้แล้วว่าจะเอาพวกเขาถึงตาย พระองค์ได้สั่งคนให้เตรียมบ่อดินไว้แล้ว สั่งให้ขนพวกเขาไปฝังทั้งเป็"
“ช่างโเี้จริงๆ!" อวิ๋นอี้กัดฟัน "แล้วคำสาปเล่าเพคะ?"
“ในตอนที่พวกเขาถูกฝังเป็ มีเพื่อนคนหนึ่งสาบานด้วยใจอาฆาต แล้วคนอื่นๆ ก็ค่อยๆ ะโกันออกมา สุดท้ายพวกเขาก็ตาย” หรงซิวกอดนางแน่นขึ้นเล็กน้อย “คร่าวๆ คือ สาปแช่งว่าทายาทของจักรพรรดิจะฆ่ากันเองและตายอย่างอนาถ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้