Chapter thirty-one: Simon’s touch
สายลมเย็นะเืผิดปกติที่พัดผ่านมานั้นเป็เหมือนสัญญาณที่บ่งบอกว่าฤดูหนาวของเอดมันตันได้หมุนเวียนกลับมาอีกแล้ว เมฆหมอกบนท้องฟ้านั้นบดบังแสงของพระอาทิตย์จนมันไม่ได้สว่างจ้าเหมือนอย่างเคย ถึงเอดมันตันจะเป็เมืองที่หนาวตลอดทั้งปีอยู่แล้วก็เถอะ แต่พออากาศเริ่มหนาวกว่าปกติขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ไม่เคยทำให้รู้สึกเคยชินกับมันได้เลยสักครั้ง
ฝ่ามือเล็กกระชับเสื้อขนสัตว์ตัวหนาที่เขาได้เป็ของฝากจากคุณย่าของไซม่อนในตอนที่ท่านได้เดินทางกลับมาจากต่างเมือง ถ้าให้บอกตามตรงแพทริเซียก็แอบแปลกใจอยู่เหมือนกันที่จู่ ๆ ท่านก็มอบของฝากให้ทั้งที่มันไม่จำเป็และเขากับคุณย่าของไซม่อนก็แทบไม่ได้พูดคุยหรือพบเจอกันเลยด้วยซ้ำ แต่เขาก็ได้พบว่ามันเป็เื่ปกติของผู้หญิงนักธุรกิจอย่างคุณลอร่า ไซม่อนเล่าให้ฟังว่าั้แ่คุณคริสเตียน สามีของคุณลอร่าหรือคุณปู่ของเขาเสียไป ก็เป็คุณลอร่านั่นแหละที่แบกรับทุกอย่างที่เป็ควินท์เรลมาตลอด นั่นจึงเป็เหตุผลที่ทำให้คุณย่าของเขาอยู่แทบจะไม่ติดบ้านเลยสักครั้ง
กระจกบานใหญ่สะท้อนร่างของอัลฟ่าหนุ่มที่กำลังเดินก้าวเท้าไปมาตามตำแหน่งที่ถูกระบุไว้ตามพื้น สีหน้าของเขาไม่ได้ดูกังวลเท่าไหร่นักหากเทียบกับตลอดเวลาที่ผ่านมา ความสบายใจในทุกย่างก้าวที่ถูกแสดงออกมาทางใบหน้าอันหล่อเหลาของเขานั้นช่างสะกดสายตาเหลือเกิน ถึงแม้ทุกท่วงท่าจะไม่ได้ดูสมบูรณ์เหมือนที่เขาคาดหวังมากเท่าไหร่นักแต่เขาก็ต้องยอมรับเลยว่าไซม่อนนั้นตั้งใจฝึกซ้อมมากเพราะทุกอย่างมันดูเปลี่ยนไปจากวันแรกโดยสิ้นเชิง จากคนที่เคยแสดงสีหน้าหงุดหงิดใส่เขาเพียงเพราะแค่ถูกบังคับให้นั่งหลังตรง ในตอนนี้กลับกลายเป็คนที่ดูจะยอมทำทุกอย่างตามที่เขาบอกซะอย่างนั้น ถึงมันอาจจะดูแปลกและยากที่จะคุ้นชินแต่อย่างน้อยการที่เื่ระหว่างเขาสองคนก็ดูเหมือนจะทำให้อะไรหลายอย่างมันดูง่ายขึ้นแหละนะ นี่มันเหมือนกับว่าเราสองคนได้เปิดใจเข้าหากันทั้งหมดแล้วยังไงอย่างนั้นแหละ
จากวันนั้นที่เขาและไซม่อนยอมสารภาพความในใจออกมาทั้งคู่ สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเรามันก็ดูพิเศษและชัดเจนขึ้นทั้งที่แทบไม่ต้องเอ่ยปากอะไรเลยสักนิด เพียงแค่ทุกอย่างมันดูเหมือนจะถูกเก็บเป็ความลับระหว่างเราแค่เพียงเท่านั้น แพทริเซียรู้ดีว่าเขายังไม่ควรที่จะเอ่ยปากหรือแสดงออกอะไรให้ใครเห็นทั้งนั้น ถึงแม้อีกฝ่ายจะดูอยากให้เป็อย่างนั้นก็เถอะ แต่เขาก็ยังขอบคุณไซม่อนอยู่ในใจลึก ๆ ที่เขายังคงรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองไว้ได้อย่างดีเวลาที่มีคนเดินผ่านในตอนที่เราสองคนอยู่ตามลำพัง ถึงบางครั้งมันจะเป็แค่การกอบกุมมือกันเพียงแค่นั้นก็เถอะแต่ถ้าในฐานะที่เขาสองคนเป็อยู่ตอนนี้ก็คงดูไม่ดีเท่าไหร่นัก
ในขณะที่เ้าของใบหน้าหวานกำลังมองอัลฟ่าหนุ่มตรงหน้าอย่างเหม่อลอยอยู่นั้น จู่ ๆ เขาก็ต้องสะดุ้งหลุดจากภวังค์เพราะใบหน้าของไซม่อนที่อยู่ห่างเพียงไม่ถึงคืบ
“ไซม่อน! คุณทำอะไรเนี่ย?!” ฝ่ามือเล็กดันไหล่กว้างตรงหน้าออกอัตโนมัติ
“คุณเหม่ออะไรล่ะ เราเรียกตั้งหลายครั้งก็ไม่ยอมตอบสักที”
“เราแค่.. คิดอะไรนิดหน่อย”
“เื่ของเราสองคนเหรอ?”
อะไรจะขนาดนั้น
แพทริเซียเห็นท่าทางที่แสดงออกมาว่าดูดีใจจนเกินเหตุแล้วก็นึกอยากหยิกคนตรงหน้าสักที มุมปากทั้งสองข้างของอีกฝ่ายยกขึ้นพร้อมตายิ้มที่เผยออกมาอย่างเป็ธรรมชาติ ไม่ว่าจะได้เห็นกี่ครั้งก็ไม่อาจละสายตาจากคนตรงหน้าไปได้เลยสักครั้ง ฝ่ามือหนาวางทาบทับกับหลังมือของเขาที่ถูกวางไว้อยู่บนอกกว้างด้วยสายตาที่ไม่สามารถคาดเดาได้ แต่แพทริเซียก็ไม่ได้รู้สึกกลัวหรือใอะไรกับการกระทำของคนตรงหน้าเลยสักนิด มันเหมือนกับว่าเขากำลังชินกับสิ่งที่ไซม่อนกำลังแสดงออกกับเขาทีละนิดโดยที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกกลัวเลยสักครั้ง หรืออาจจะเป็เพราะอีกฝ่ายเริ่มจากการเอ่ยปากขอความยินยอมจากเขา ทั้งที่บางครั้งมันอาจจะเป็เื่เล็ก ๆ ในสายตาเขาแต่พอได้ถูกคนที่ชอบให้ความสำคัญกับเื่เล็กน้อยแบบนี้มันกลับทำให้หัวใจดวงน้อยของเขาอิ่มความสุขขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจ
“จะเอาอะไร?”
“เราเปล่า แค่อยากจับมือแค่นั้น” เขาไม่ว่าเปล่า แต่นิ้วโป้งทั้งสองข้างนวดคลึงอยู่ที่หลังมือขาวของแพทริเซียจนรอยยิ้มสวยปรากฏขึ้นมาทันที
“แค่นี้เองเหรอ?”
“ใช่ เราแค่อยากจับมือคุณ”
“โอเค”
ทันทีที่แพทริเซียพยักหน้ารับคำขอจากคนตรงหน้า เ้าของฝ่ามือหนาก็กอบกุมมือทั้งสองข้างของโอเมก้าตัวขาวไว้ในมือด้วยความเคยชินทันที นิ้วโป้งของเขายังคงถูไปมาบนเนื้อผิวละเอียดอย่างเอาใจ ถึงแพทริเซียจะไม่ได้เข้าใจการกระทำของอัลฟ่าหนุ่มเท่าไหร่นักแต่เขาเองก็ไม่ได้ปฏิเสธหรือแสดงท่าทีสงสัยออกไปสักนิด เพราะเอาเข้าจริงแล้ว ใกล้ฤดูหนาวแบบนี้ก็มีเพียงแค่ความอบอุ่นจากไซม่อนนี่แหละที่เขา้ามากกว่าสิ่งไหน
ความอบอุ่นที่หาไม่ได้จากผ้าห่มผืนเล็กที่มักจะซุกอยู่ตลอด
และมันก็ไม่ใช่ความอบอุ่นที่เขาจะสามารถหาได้จากการผิงไฟด้วย
“เราอยากเรียนเต้นรำแล้ว”
“ตอนนี้น่ะเหรอ?” ดวงตากลมโตช้อนมองอัลฟ่าหนุ่มทันที
“อื้ม เราอยากเต้นรำกับคุณ”
เ้าของเสียงทุ้มพูดออกมาพร้อมแนบหลังมือขาวกับแก้มอุ่นของตัวเองอย่างออดอ้อน แพทริเซียอดอมยิ้มกับการกระทำตรงหน้าไม่ได้สักนิด แก้มขาวทั้งสองข้างขึ้นสีแดงระเรื่อทันทีที่ถูกเขาััแบบนั้น โอเมก้าตัวขาวไม่ได้ตอบรับอะไรกับคำขอของคนตรงหน้า เขาทำเพียงแค่นั่งนิ่งปล่อยให้อีกฝ่ายออดอ้อนได้อย่างตามใจเพียงเท่านั้น ถึงมันจะอาจดูวอแวไปสักหน่อยสำหรับคนที่ไม่ชอบให้ใครััร่างกายอย่างเขาแต่พอเป็ไซม่อนที่ทำ แพทริเซียกลับไม่ได้รู้สึกว่าการกระทำเหล่านี้จะสร้างความรำคาญใจให้เขาเลยสักนิด มีแต่จะรู้สึกดีเสียมากกว่า ทั้งที่ในใจมันรู้สึกดีจนอยากตอบรับและเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนอีกคนตอนที่เต้นรำพร้อมกันจะแย่แล้ว แต่ยังไงมันก็ยังเสี่ยงเกินไปสำหรับเขาทั้งสองคนอยู่ดีเพราะห้องเรียนกว้างนี้ก็ไม่ได้เป็ส่วนตัวมากเท่าไหร่นัก หากมีใครเข้ามาเห็นเข้าก็คงไม่ใช่เื่ดีกับเขาทั้งสองคนแน่ ๆ
เว้นแต่ในตอนที่ผู้คนหลับใหลไปแล้วนั่นแหละ
“ว่าไง อยากเต้นรำด้วยกันไหม?”
อัลฟ่าหนุ่มโน้มตัวเข้ามาใกล้พร้อมค้ำมือข้างนึงไว้ข้างตัวของเขา ระยะที่ใกล้กันมากขึ้นทำให้แพทริเซียได้กลิ่นประจำตัวของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน กลิ่นไม้สนที่มักจะทำให้เขาอบอุ่นหัวใจได้เสมอ และเมื่ออีกฝ่ายยิ่งขยับเข้ามาใกล้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้แพทต้องเม้มปากเข้าหากันแน่นกดกลั้นความเขินอายของตัวเองไว้
“อยาก”
“งั้นลุกเลยไหม?” ฝ่ามือหนายื่นมาตรงหน้าทันทีที่แพทริเซียตอบไป
“เดี๋ยวก่อนสิ”
แต่ยังไม่ทันที่ไซม่อนจะได้คว้ามือนุ่มนั้นมา เขาก็ต้องชะงักไปเพราะคำคัดค้านที่หลุดมาจากริมฝีปากสวยนั้นก่อน คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยความไม่เข้าใจทันที ทั้งที่ก่อนหน้านี้เป็แพทริเซียเองนั่นแหละที่ตอบว่าอยากเต้นรำด้วยกัน แต่ก็ดันชักมือกลับไปขัดกับคำพูดของตัวเองซะอย่างนั้น
“ทำไม?”
“ถ้าเราเต้นรำด้วยกันตอนนี้แล้วมีคนมาเห็นเข้าล่ะ?”
“มันก็อยู่ในบทเรียนของคุณไม่ใช่หรือไง?”
“แต่ถ้าเขามองว่ามันไม่ใช่แค่การสอนจะทำยั-”
“คนที่คิดแบบนั้นได้ก็คงมีแค่.. คนที่คิดไม่ซื่ออย่างเราสองคนเท่านั้นแหละมั้ง”
เ้าของเสียงทุ้มพูดออกมาหน้าตาเฉยผิดกับโอเมก้าตัวขาวที่กำลังนั่งนิ่งรู้สึกถึงความร้อนบนหน้าของตัวเองช้า ๆ ใจนึงก็อยากจะแหวใส่อีกฝ่ายใจจะขาดแต่เพราะสิ่งที่ไซม่อนพูดมันเป็ความจริงที่ไม่อาจเถียงได้นั่นแหละจึงทำให้เขาต้องนั่งเงียบอยู่แบบนี้
“คุณมันบ้าที่สุดเลยไซม่อน”
“ก็คงจะอย่างนั้น” ไซม่อนยิ้มพร้อมหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี
“แต่ยังไงเราก็เต้นรำด้วยกันตอนนี้ไม่ได้หรอก”
“งั้นคืนนี้ได้ไหม?”
“คืนนี้?” แพทริเซียเอียงคอถามด้วยความสงสัย หากแต่ความสงสัยนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะคำถามของอีกฝ่ายหรอก แต่เขาสงสัยว่าทำไมความคิดของเราทั้งคู่มันเหมือนกันมากขนาดนี้มากกว่า
“อื้ม ลงมาเจอเราที่นี่ตอนสี่ทุ่มตรง”
“แล้วพี่เลี้ยงของคุ-”
“เถอะน่า ลงมาเจอเราที่นี่ก็พอ”
“แต่ว่-”
ก๊อก ก๊อก..
ยังไม่ทันที่แพทริเซียจะได้พูดอะไรต่อ เสียงเคาะประตูก็แทรกบทสนทนาของเขาทั้งคู่ขึ้นมาจนทำให้ต้องผละออกจากกัน สีหน้าที่ตื่นตระหนกจนเกินเหตุของแพทริเซียทำไซม่อนหลุดขำออกมาอย่างไม่ตั้งใจ และนั่นก็ทำให้กำปั้นเล็กทุบเข้าที่ต้นแขนแกร่งด้วยความไม่พอใจทันที
“ขำอะไร” โอเมก้าตัวขาวกัดฟันพูด
“ก็ดูทำหน้าเข้า”
เสียงเปิดประตูพร้อมเสียงย่ำของฝ่าเท้าดังขึ้นเรียกความสนใจจากสองคนที่ยืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ได้เป็อย่างดี ร่างสูงโปร่งของชายวัยกลางคนกำลังก้าวเดินเข้ามาหาทีละนิด ถึงแม้คุณอาจะเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มก็เถอะ แต่ยังไงการปรากฏตัวของเขาก็ทำให้อัลฟ่าหนุ่มหน้าถอดสีอยู่ดี และแพทริเซียก็รู้ดีว่าเหตุผลนั้นเป็เพราะอะไร
โอเมก้าตัวขาวที่กำลังกึ่งนั่งกึ่งยืนอยู่บนโต๊ะตัวสูงค่อย ๆ ขยับตัวลงมายืนให้ห่างจากคนที่กำลังเม้มปากอย่างประหม่าอยู่ จริง ๆ แล้วไซม่อนออกจะชื่นชมและรักคุณอาของเขามากกว่าอะไรแต่พอเป็เื่ที่เขารู้ว่าจะต้องถูกตำหนิ อย่างเื่ความผิดพลาดเล็กน้อยในการเรียน การทำงานที่ได้รับมอบหมายไป หรือพอเป็เื่ของแพทริเซียเอง ก็กลายเป็ว่าไซม่อนเริ่มรู้สึกกลัวกับสิ่งที่ตัวเองจะต้องเผชิญซะอย่างนั้น เอาเข้าจริงแล้ว ทุกอย่างมันก็เริ่มจากการที่ไซม่อนเริ่มสงสัยเหตุผลที่ตัวเองจะออกไปจากรั้วคฤหาสน์ไม่ได้นั่นแหละที่ทำให้อัลฟ่าตัวสูงนั้นเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังตีห่างจากคุณอามากขึ้นทุกที เพราะนอกจากจะไม่ได้รับคำตอบแล้วก็ยังถูกปฏิเสธอีก เขาก็ไม่แปลกใจนักหรอกว่าทำไมไซม่อนจะน้อยใจขนาดนั้น
ก็ปกติแล้วคุณอาของไซม่อนมักจะมีเหตุผลให้อีกฝ่ายอยู่ตลอด
พอไม่มี ทุกอย่างมันก็กลับกลายเป็ซะอย่างนี้
ไซม่อนอาจจะมองเพียงแค่อิสระของตัวเองจนมองข้ามความเป็ห่วงไปแล้วจริง ๆ
และถึงแม้ว่าแพทริเซียจะรู้เหตุผลทุกอย่างจากเจซแล้วก็เถอะ แต่ในเมื่อเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะบอกไซม่อน เขาก็ต้องเก็บเงียบทุกอย่างอยู่อย่างนี้และทนดูสายตาเศร้า ๆ ของไซม่อนในตอนที่ได้รับฟังเื่ราวนอกคฤหาสน์จากเขานั่นแหละ มีหลายครั้งที่แพทริเซียเริ่มสังเกตว่าไซม่อนออกไปเดินเลียบรั้วคฤหาสน์อยู่บ่อยครั้ง ทั้งที่ปกติไม่เคยเห็นว่าเขาจะชอบไปเดินแถวนั้นเลยสักนิด ทุกอย่างมันก็ทำให้แพทริเซียเข้าใจว่าในตอนนี้ไซม่อนรู้สึกอย่างไร
“เรียนกันอยู่เหรอ?” เสียงทุ้มแหบของชายวัยกลางคนถามมาพร้อมกับรอยยิ้มที่คุ้นเคย
“ใกล้เสร็จแล้วครับ”
“ไหน วันนี้เรียนอะไรกันล่ะ?”
“วันนี้ลองเตรียมบทกล่าวกับเดินครับ”
“ขอชมสักครั้งได้ไหม? เป็ความลับหรือเปล่า?” คุณมาร์คัสพูดหยอกล้อหลานชายตัวเองก่อนจะมองจ้องมาที่แพทริเซียจนเขาต้องส่งยิ้มบาง ๆ กลับไปให้ตามมารยาท
“ผมแล้วแต่คุณแพท” ไซม่อนหันกลับมามองหน้าแพทริเซียพร้อมเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น เพียงแค่สายตาที่ไซม่อนใช้มองเขา โอเมก้าตัวขาวก็สามารถรับรู้ได้เลยว่าอีกฝ่าย้าอะไร
“อ่า จริง ๆ การซ้อมก็ไม่ได้เป็ความลับหรอกนะครับ แต่ผมว่าให้คุณไซม่อนพร้อมอีกสักนิดน่าจะดีกว่า”
“ยังไม่พร้อมอีกเหรอ?” แพทริเซียกลืนน้ำลายอึกใหญ่ทันทีที่คุณมาร์คัสถามสวนกลับมาหลังจากเขาพูดจบประโยค
“คือ..”
เอาจริงแล้ว ไซม่อนก็ไม่ได้ดูไม่พร้อมเลยสักนิดในสายตาของเขา แต่เพียงแค่เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้มีความมั่นใจมากพอที่จะทำมันต่อหน้าคนอื่นเท่านั้นเอง และแพทริเซียก็ไม่ได้อยากจะบังคับให้อีกฝ่ายทำอะไรที่ยังไม่ได้อยากทำ สุดท้ายเขาเลยจำเป็ต้องตอบคุณมาร์คัสกลับไปอย่างนั้น ถึงเขาจะรู้ว่ายังไงก็อาจจะต้องถูกตำหนิก็เถอะ
แต่มันก็ดีว่าที่จะให้ไซม่อนทำอะไรในตอนที่ยังไม่พร้อมแล้วโดนตำหนิเป็ไหน ๆ
ความมั่นใจของไซม่อนน่ะ สร้างยากยิ่งกว่าอะไรดี
“อาไม่ได้อยากจะพูดแบบนี้หรอกนะแพทริเซีย”
“..”
“แต่นี่มันก็เข้าเดือนที่แปดแล้ว ไซม่อนควรจะพร้อมได้แล้ว ถูกไหม?”
คิดไว้แล้วว่าจะต้องเป็แบบนี้
แพทริเซียยิ้มรับก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ ส่งให้ชายวัยกลางคนตรงหน้า แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยอะไรแก้ตัวให้ไซม่อน เสียงทุ้มของอีกฝ่ายก็แทรกขึ้นมาพร้อมกับแผ่นหลังกว้างที่เคลื่อนมาบังภาพตรงหน้าจนแพทริเซียต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง
“ขอโทษครับอา”
“พิธีแต่งตั้งผู้สืบทอดไม่ใช่เื่ล้อเล่นนะ หลานรู้ใช่ไหม?”
“ผมจะตั้งใจฝึกให้หนักขึ้นครับ”
“เอาเป็ว่า เดี๋ยวอาจะเข้ามาดูพร้อมคุณย่าเดือนหน้าก็แล้วกัน”
“ครับ”
“อ้อ.. แล้วก็ คุณย่าจะพาคนมาให้รู้จัก หวังว่าหลานจะเตรียมพร้อมไว้ตลอดนะ”
ไซม่อนหลบสายตาจากชายวัยกลางคนแล้วก้มหัวให้เล็กน้อย เสียงฝ่าเท้าหนักแน่นของคุณมาร์คัสที่ห่างออกไปเรื่อย ๆ พร้อมเสียงปิดประตูที่ดังขึ้นทำอัลฟ่าหนุ่มต้องถอนหายใจออกมายาว ๆ ด้วยความโล่งใจ อีกฝ่ายหมุนกลับมามองโอเมก้าตัวขาวที่กำลังยืนกุมมือของตัวเองไว้แน่น ฝ่ามืออุ่นเลื่อนไปกอบกุมฝ่ามือขาวไว้ในทั้งสองมือก่อนจะใช้ปลายนิ้วโป้งไล้ไปมาเบา ๆ ที่ผิวเนียน
“คุณไม่ได้ผิด” ไซม่อนเอ่ยขึ้นแทรกความเงียบ
“คุณก็ไม่ได้ผิดเลยไซม่อน แล้วคุณอาเขาแค่เป็ห่วงคุณแค่นั้น”
“เรารู้” เสียงทุ้มเอ่ยผะแ่
“แล้วยังไงเราก็เป็คนสอน จริง ๆ คุณไม่จำเป็ต้องมารับผิดแบบนั้นก็ได้”
“เราไม่ได้อยากรับผิด แค่รู้สึกว่าคุณไม่สมควรต้องถูกตำหนิเพราะทุกอย่างมันก็เป็เพราะตัวเรา”
“ไม่มีใครสมควรถูกตำหนิทั้งนั้นแหละไซม่อน”
“..”
“คุณจะทำมันได้ไซม่อน เราเชื่ออย่างนั้น”
“เราจะทำได้เหรอ?”
“ทำได้สิ เราอยู่ข้าง ๆ คุณเอง”
นิ้วเรียวเลื่อนสอดประสานจับมือกับเ้าของฝ่ามือใหญ่ทั้งสองข้าง แพทริเซียไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่เขายืนจับมือกับไซม่อนอยู่อย่างนั้นทั้งที่เราสองคนไม่ได้พูดอะไรกันขึ้นมาสักคำ แพทริเซียตกอยู่ในภวังค์ที่คิดเื่เดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า และไซม่อนก็คงไม่ต่างกัน เวลาสิบเดือนของการอยู่ในคฤหาสน์ควินท์เรลกำลังเหลือน้อยลงเข้าไปทุกที และนั่นมันก็ทำให้ใจของเขาวูบโหวงซะจนต้องกระชับมืออุ่นนั้นไว้ให้แน่นขึ้น แพทริเซียไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลังจากนี้ระหว่างเขาและไซม่อนจะเป็ยังไง ยังไงเขาก็ยังอยากใช้เวลาที่เหลือให้มันคุ้มทุกนาทีอยู่ดีนั่นแหละ
- Simon’s theory -
ท้องฟ้ามืดสนิทจนเห็นดวงดาวสว่างระยิบระยับสะท้อนผ่านกระจกบานใหญ่อย่างชัดเจน เสียงรองเท้ากระทบกับพื้นเงาวับจนเกิดเสียงสะท้อนไปทั่วโถงทางเดินกว้าง เวลานี้ไฟในแต่ละห้องของคฤหาสน์ถูกดับลงแทบทั้งหมด มีเพียงแสงสว่างจากไฟประดับทางเดินเท่านั้นที่พอจะสว่างให้คนที่แอบลงมาตอนกลางคืนอย่างเขาพอที่จะเดินไปได้โดยที่จะไม่สะดุดอะไร สองขาเรียวก้าวเดินไปเรื่อย ๆ จนมาหยุดยืนที่หน้าห้องเรียน แต่แสงเทียนและเพลงที่ดังคลอออกมาจากห้องกว้างนั้นก็ทำให้เขาต้องยืนนิ่ง
ฝีมือไซม่อนเหรอ?
ประตูบานใหญ่ถูกเปิดออกด้วยฝ่ามือเล็กทั้งสองข้าง และภาพตรงหน้าก็ทำให้แพทริเซียยกมือขึ้นปิดปากด้วยความประหลาดใจ ดวงตากลมโตมองไปยังเชิงเทียนที่ถูกตั้งอยู่ตามมุมห้อง กลิ่นหอมของเทียนกลิ่นโปรดที่เขามักจะพูดถึงอยู่เป็ประจำก็ลอยมาตามลมเย็นที่ถูกพัดเวียนอยู่ในห้องกว้าง เสียงเพลงจากแผ่นเสียงกำลังถูกเล่นอยู่ทำให้แพทริเซียต้องยิ้มออกมาช้า ๆ
แต่เขากลับไม่เห็นวี่แววของคนที่จัดเตรียมของเหล่านี้เลยสักนิด
แล้วจู่ ๆ ความมืดมิดก็เข้ามาแทนที่ภาพตรงหน้าเพราะฝ่ามือใหญ่ที่เลื่อนมาบดบังดวงตากลมทั้งสองข้าง หากคนข้างหลังเขาตอนนี้ไม่ใช่ไซม่อน ป่านนี้เขาคงหันกลับไปทุบสักทีแล้วแหละ แต่เพราะกลิ่นที่คุ้นเคยของอีกฝ่ายที่ทำให้เขารับรู้ได้ก่อนที่จะถูกปิดตานั่นแหละที่ทำให้เขาเอาแต่ยืนยิ้มอยู่แบบนี้
“ไซม่อน”
“ไม่ใเลยเหรอ?”
ฝ่ามือใหญ่ค่อย ๆ ลดลงก่อนที่โอเมก้าตัวขาวที่ถูกยืนซ้อนอยู่จะหันกลับไปเผชิญหน้ากัน เขาและไซม่อนอยู่ในชุดนอนเหมือนกัน มีเพียงแค่เสื้อคลุมตัวยาวเท่านั้นที่ยกปกคลุมชุดนอนนั้นไว้อยู่ และในตอนที่สบตากันก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ทั้งคู่ นึกแล้วมันก็น่าตลกดีอยู่เหมือนกัน ทั้งที่เราทั้งคู่ต่างก็รู้ดีว่าทำไมถึงลงมาที่ห้องเรียนกลางดึกแบบนี้แต่สุดท้ายเราก็ยังเลือกที่จะใส่ชุดนอนลงมาเต้นรำด้วยกันอยู่ดี
โดยที่ไม่ได้นัดกันด้วยซ้ำ
เสียงเพลงยังคงดังคลออยู่เป็ระยะ ไร้ซึ่งบทสนทนาจากทั้งสองคนที่กำลังเดินไปยังหน้ากระจกบานใหญ่พร้อม ๆ กัน ฝ่ามือเล็กเลื่อนขึ้นไปแตะแ่เบาบนหน้าอกแกร่งอย่างประหม่า และอัลฟ่าหนุ่มก็ค่อย ๆ สอดมือที่สั่นเทารั้งให้เอวบางเข้ามาแนบชิดกับตัวเองมากขึ้น ความเกร็งมีอยู่ทุกส่วนในร่างกายของเราทั้งคู่จนััได้ ถึงมันจะไม่ใช่การเต้นรำครั้งแรกของแพทริเซียก็เถอะแต่เพราะสำหรับอีกฝ่ายมันเป็ครั้งแรก และบทเรียนที่เขาได้สอนไปก็มีเพียงแค่เ้าตัวได้ซ้อมกับอากาศที่ว่างเปล่าเท่านั้น เพราะฉะนั้นเขาจึงเข้าใจดีว่าทำไมอีกฝ่ายถึงประหม่าอยู่แบบนี้ และนั่นก็ทำให้แพทริเซียตัดสินใจเอียงหน้าแนบแก้มลงไปกับอกกว้างของอีกฝ่ายเพื่อลดความเกร็งของเราทั้งคู่ลง
“แบบนี้ได้ยินเสียงหัวใจคุณด้วย” เสียงหวานเอ่ยกระซิบแ่เบา
ไซม่อนหัวเราะเสียงทุ้มในลำคอก่อนจะเลื่อนมือขึ้นลูบเบา ๆ ที่แผ่นหลังเล็ก ฝ่าเท้าที่ถูกวางแทบจะซ้อนกันค่อย ๆ ขยับตามเสียงเพลงที่ถูกเปิดคลอไว้ สองร่างโยกกายเนิบให้เข้ากับจังหวะเพลงเพียงแค่นั้น ถึงแม้จะไม่ใช่การเต้นรำที่มีท่าแบบที่เขาเคยได้สอนไซม่อนเอาไว้ แต่เพียงแค่ได้ถูกโอบกอดและโยกไปมาตามเสียงเพลงเพียงแค่นี้ก็ทำให้ใบหน้าหวานนั้นถูกระบายด้วยรอยยิ้มกว้างได้แล้ว
เวลาผ่านไปเป็เวลาเกือบชั่วโมงที่ทั้งคู่ยังกอดเต้นรำกันอยู่แบบนั้นและไม่มีทีท่าว่าทั้งสองอยากจะหยุดมันลงเลยสักนิด เทียนไขที่ถูกวางตามเชิงเทียนนั้นละลายลงช้า ๆ ลมหนาวข้างนอกพัดแรงจนมากระทบหน้าต่างบานใหญ่ให้ได้ยินเป็ระยะ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คนทั้งคู่รู้สึกรำคาญใจเลยสักนิด บทสนทนาสั้น ๆ เกิดขึ้นและเงียบลงไปวนอยู่แบบนั้นตลอดทั้งชั่วโมง เขาทั้งคู่รู้ดีว่าในตอนนี้การที่ได้ใช้เวลาร่วมกันนั้นสำคัญที่สุดและพวกเขาก็ไม่ได้อยากพลาดมันสักวินาทีเดียว
“ตอนแรกเราคิดว่าเวลามันจะเยอะเกินไปเสียอีก”
“เราก็เหมือนกัน” แพทริเซียเอ่ยตอบ
“พอใจเราตรงกันแบบนี้แล้ว เวลามันก็ยิ่งดูน้อยลงไปอีกซะอย่างนั้น”
“มันน้อยลงไปทุกทีแล้วละไซม่อน”
“มีอีกตั้งหลายอย่างที่ยังไม่ได้ทำด้วยกัน..”
เสียงทุ้มที่ค่อย ๆ แ่ลงใน่ปลายทำให้แพทริเซียเลื่อนมือลงมาจากอกกว้างและโอบกอดร่างสูงใหญ่ไว้หลวม ๆ เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกอะไรอยู่เพราะสิ่งที่เขารู้สึกมันก็ตรงกับที่อีกคนพูดทุกอย่าง
คำสัญญาและคำพูดมากมายที่เราสองคนต่างพูดไว้ด้วยกันค่อย ๆ ย้อนกลับมาทีละนิด มีอีกตั้งหลายอย่างที่เขาและไซม่อนยังไม่ได้ทำด้วยกัน ถึงแม้เราจะไม่ได้พูดถึงชีวิตหลังจากที่สัญญาการสอนจะสิ้นสุดลงก็เถอะ แต่สุดท้ายเราทั้งคู่ก็รู้ดีว่ามันคงยากเหลือเกินที่จะได้อยู่ด้วยกันในฐานะคนรักแบบคนอื่น ก็ในเมื่อไซม่อนเป็ถึงผู้สืบทอดทายาทแห่งควินท์เรล และสุดท้ายแพทริเซียก็เป็แค่นักศึกษาปีสุดท้ายคนนึงที่ต้องกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมในอนาคตเพียงแค่นั้น
แต่ทุกคนก็ต้องมีความเห็นแก่ตัวอยู่ในตัวเองใช่ไหมล่ะ?
เพราะอย่างนั้นเขาถึงเอามันออกมาใช้ให้คุ้มกับทุกนาทีที่จะได้มีกันอยู่
“แพทริเซีย”
“หืม?”
“เราออกไปข้างนอกกันไหม?”
“ยังไง?”
ทั้งสองร่างหยุดขยับและยืนนิ่งทันที ร่างเล็กผละออกมาช้อนตามองอัลฟ่าหนุ่มตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจ ในเมื่ออีกฝ่ายก็ยังไม่ได้รับคำอนุญาตให้ออกไปข้างนอกเลยสักครั้งแต่จู่ ๆ คนตรงหน้าก็พูดแบบนั้นขึ้นมา เล่นเอาคิ้วเรียวสวยต้องขมวดหากันแน่น
“หนีกันเถอะ”
“จะบ้าเหรอไซม่อน?!”
“แค่ไปเที่ยวกัน แล้วเราจะกลับมาโดยไม่มีใครรู้”
พระเ้าโปรดช่วยลูกด้วย
ตอนนี้คำที่ลูกเคยว่าคนตรงหน้าว่าเป็คนบ้า
ในตอนนี้มันเหมือนจะกลายมาเป็เื่จริงซะแล้วละ
- Simon’s theory -