เสียงอื้ออึงดังก้องอยู่ในถ้ำยังคงไม่มีเสียงตอบกลับ
ภายในมีเพียงความมืดมิดยื่นมือออกมาไม่เห็นนิ้วมือด้วยซ้ำ ถึงแม้หลัวไห่ตี้จะเป็ชายชาตรี แต่อยู่ในความมืดมิดที่มองไม่เห็นอะไรแม้แต่น้อยทั้งยังโดนจับมัดไว้ ใครบ้างจะไม่กลัว!
ร้องโวยวายด้วยเสียงดังก้องแต่นอกจากเสียงของเขา ก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นอีก
ไม่มีใครตอบเขา!
ไม่รู้ว่าะโโวยวายอยู่นานเพียงใดเมื่อะโนานเข้า หลัวไห่ตี้ก็ไม่มีเสียงแล้ว เขารู้ว่าตัวเองต้องถูกคนจับตัวมาขังที่นี่แน่แต่คิดให้ตายก็คิดไม่ออกว่าใครกันจะจับตัวเองมัด
“บัดซบ หากให้ข้ารู้ว่าใครจับข้ามัดข้าจะถลกหนังของมัน! ” หลัวไห่ตี้กล่าวด้วยท่าทางดุร้าย
ภายในถ้ำอันคับแคบมีเพียงเสียงสะท้อนของหลัวไห่ตี้ดังอื้ออึง
และเซี่ยยวี่หลัวในยามนี้ก็อาบน้ำเข้านอนอย่างสบายใจแล้ว
พรุ่งนี้ก็ถึงสิ้นเดือนสี่แล้วนางจะเข้าไปในตัวเมืองเพื่อรับเงิน นางตัดสินใจจะพาเด็กสองคนไปด้วย ดูว่าต้องซื้ออะไรมาเพิ่มหรือไม่เข้าฤดูร้อนแล้ว ต้องซื้อผ้าเพิ่มสักสองผืน ตัดเสื้อให้เด็กสองคน ค่อยหาซื้อข้าวของเครื่องใช้และอาหาร
ที่สำคัญที่สุดคือ เพราะเื่ของเซียวเฉิงซานและหลัวไห่ตี้นางอยากสร้างกำแพงให้สูงขึ้นอีก ทางที่ดีที่สุด ก็ปลูกเรือนเพิ่มอีกสักสองห้อง ท่านราชบัณฑิตน้อยจะมีห้องนอนและห้องหนังสือส่วนตัวเช่นนี้เวลาอ่านตำราเขียนพู่กันก็จะสบายขึ้นด้วย
เซี่ยยวี่หลัวไม่ได้บอกเื่นี้กับเซียวจื่อเซวียนนางต้องรอดูส่วนแบ่งรายได้ในวันพรุ่งนี้แล้วค่อยไตร่ตรองอีกครั้ง!
เช้าวันรุ่งขึ้น เซี่ยยวี่หลัวก็ลุกแล้วหุงข้าวสารสองกำที่ห้องครัวก่อน ล้างไข่ไก่สามฟองจนสะอาดแล้วจึงใส่เข้าไปในหม้อพร้อมข้าวหลังจากจุดฟืนแล้ว จึงไปล้างหน้าบ้วนปากให้สะอาด เมื่อกลับมา ของในหม้อก็สุกแล้ว เซี่ยยวี่หลัวลดไฟให้อ่อนเคี่ยวโจ๊กต่อด้วยไฟอ่อน
เซี่ยยวี่หลัวตักแป้งมาสองช้อนใหญ่ตอกไข่ไก่ลงไปหนึ่งฟอง แล้วจึงไปเด็ดต้นหอมจากสวนหลังบ้านมาสองต้น หั่นจนละเอียดแล้วใส่เข้าไปในแป้งคนแป้งจนเหลว เมื่อต้มโจ๊กจนได้ที่แล้ว จึงไปปลุกเซียวจื่อเมิ่งที่ห้อง
หลังจากเซี่ยยวี่หลัวลุกได้ไม่นานเซียวจื่อเซวียนก็ตื่นแล้วหลังจากเขาล้างหน้าบ้วนปากแล้วเห็นว่าน้ำในบ้านใกล้หมด จึงไปหาบน้ำที่ริมแม่น้ำ เวลานี้ภายในห้องเหลือเซียวจื่อเมิ่งคนเดียวที่ยังหลับสนิทอยู่
เมื่อเห็นเซียวจื่อเมิ่งที่นอนอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าแดงเรื่อเซี่ยยวี่หลัวนั่งลงข้างเตียง ปลุกนางเสียงเบา “จื่อเมิ่ง ตื่นได้แล้ว”
“พี่สะใภ้ใหญ่...”เซียวจื่อเมิ่งตื่นแล้ว นอนอยู่บนเตียง ขยี้ตาด้วยอาการสะลึมสะลือ สีหน้าง่วงนอนเต็มประดา
ท้องฟ้าข้างนอกเพิ่งสว่างปกติเวลานี้เซียวจื่อเมิ่งยังนอนอยู่
เซี่ยยวี่หลัวหยิบเสื้อผ้าที่เซียวจื่อเมิ่งจะสวมใส่มาพร้อมกล่าว “เมื่อวานเ้าเข้านอนเร็ว จึงไม่ได้บอกเ้า วันนี้พี่สะใภ้ใหญ่จะพาพวกเ้าไปในตัวเมือง”
เซียวจื่อเมิ่งได้ยินดังนั้นอาการง่วงนอนก็หายไปทันที ลุกพรวดขึ้นจากเตียง “พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าตื่นแล้วเ้าค่ะ”
เมื่อสวมใส่เสื้อผ้าเสร็จเซี่ยยวี่หลัวจึงถักเปียสองข้างให้เซียวจื่อเมิ่ง บัดนี้เส้นผมของเซียวจื่อเมิ่งทั้งดำและเงางามขึ้นไม่น้อยและยาวขึ้นแล้วด้วย ม้วนเปียขึ้น้า ทำทรงดอกตูมสองข้าง ก่อนจะผูกแถบผ้าสีแดงไว้แถบผ้าส่วนที่เหลือที่ปล่อยลู่ลงมาปักมุกสีขาวดุจหิมะไว้หนึ่งเม็ด ตัวมุกเป็สีขาวบริสุทธิ์และโปร่งใสใสราวกับผลึกคริสตัล ดูดียิ่งนัก
เมื่อแต่งกายเช่นนี้ เซียวจื่อเมิ่งก็ดูอวบอิ่มประหนึ่งเทพธิดาในภาพวาดก็มิปาน
แก้มเล็กอ่อนนุ่มเป็สีแดงเรื่อขาวสะอาดหมดจด แค่มองก็รู้แล้วว่าได้รับการดูแลเป็อย่างดี
เซี่ยยวี่หลัวจูงมือเซียวจื่อเมิ่งไปยังห้องครัวเซียวจื่อเมิ่งไปล้างหน้าแปรงฟันด้วยตัวเองอย่างว่าง่าย เซี่ยยวี่หลัวล้างกระทะด้านนอกจนสะอาดหลังจากอุ่นกระทะแล้วจึงเทน้ำมัน ใช้ตะหลิวตักน้ำมันราดให้ชุ่มขอบกระทะ รอจนน้ำมันร้อนจึงเทแป้งเหลวที่คนไว้แล้วลงไปตามขอบกระทะ เมื่อแป้งเหลวัักับขอบกระทะที่ร้อนจนเดือดก็แปรเปลี่ยนเป็สีขาวทันที
เมื่อจี่ด้านหนึ่งเสร็จเซี่ยยวี่หลัวจึงใช้ตะหลิวพลิกกลับด้าน หลังจากจี่ทั้งสองด้านจนกลายเป็สีเหลืองทองเซี่ยยวี่หลัวจึงตักแผ่นแป้งขึ้น แผ่นแป้งสีเหลืองทองผสมกับต้นหอมสีเขียว แค่ได้กลิ่นก็แทบน้ำลายไหล
เซี่ยยวี่หลัวเทแป้งเหลวที่เหลือลงไปในกระทะแผ่นแป้งสองแผ่นที่ผ่านการจี่จนกลายเป็สีเหลืองทองถูกนำไปวางบนโต๊ะ เซียวจื่อเซวียนก็กลับมาแล้ว
“จื่อเซวียน รีบล้างมือเร็วเรากินข้าวกัน” เซี่ยยวี่หลัวะโเรียก
เซียวจื่อเซวียนก็ขานตอบ“ขอรับ มาแล้ว” เทน้ำลงไปในโอ่ง จากนั้นจึงนำแผ่นไม้มาปิด แล้วจึงเข้าไปในห้อง
บนโต๊ะมีแผ่นแป้งใส่ต้นหอมสีเหลืองทองหนึ่งจานโจ๊กที่เคี่ยวจนข้นคนละหนึ่งชามใหญ่ ไข่ไก่ต้มหนึ่งฟอง และหน่อไม้ดองหนึ่งจานเล็ก
หน่อไม้ดองเสร็จแล้ว อร่อยเสียยิ่งกว่ากระไร
หลังจากทั้งสามคนกินอาหารเสร็จแล้วเซี่ยยวี่หลัวจึงใส่กุญแจประตูบ้าน พาเด็กสองคนไปในตัวเมือง มุ่งตรงไปยังฮวาหม่านยีเหมือนเคย
ฮวาหม่านยีเพิ่งเปิดประตูถงเต๋อเห็นว่าเซี่ยยวี่หลัวมาแล้ว รีบเชิญนางเข้าไปด้วยความเคารพ “ฮูหยินเซียว ท่านมาแล้วหรือเชิญเข้ามาขอรับ! ”
เซี่ยยวี่หลัว “ฮวาเหนียงอยู่หรือไม่? ”
ถงเต๋อ “อยู่ขอรับ อยู่ในสวนด้านหลังฮูหยินเซียวเชิญตามข้ามา”
เซี่ยยวี่หลัวตามอยู่ด้านหลังถงเต๋อฮวาเหนียงกำลังดูดอกไม้ที่นางปลูกอยู่ตรงมุมกำแพงสวนด้านหลัง ยิ่งดูก็ยิ่งขมวดคิ้วเป็ปมพร้อมทอดถอนใจไม่หยุด
“เถ้าแก่เนี้ย ฮูหยินเซียวมาแล้วขอรับ”ถ๋งเต๋อส่งเสียงบอกจากด้านหลัง
ฮวาเหนียงได้ยินจึงหันตัวมาเมื่อเห็นว่าเซี่ยยวี่หลัวมาแล้ว ความรู้สึกไม่สบายใจเมื่อครู่ก็หายไปจนสิ้น รีบยิ้มจนแทบไม่เห็นตา“ยวี่หลัวมาแล้วหรือ? ”
เซี่ยยวี่หลัวยิ้มพร้อมกล่าวทักทายฮวาเหนียงเด็กสองคนที่อยู่ข้างๆ ก็เอ่ยเรียกฮวาเหนียงอย่างอ่อนหวาน ฮวาเหนียงชอบใจจนยิ้มอย่างเบิกบานใจ
“มามามา พวกเราเข้าไปนั่งในเรือนกัน”ฮวาเหนียงจะพาเซี่ยยวี่หลัวเข้าไปในห้อง
เซี่ยยวี่หลัวกลับถูกพืชที่ฮวาเหนียงดูเมื่อครู่ดึงดูดสายตาใบประกอบแบบขนนก ใบเป็รูปทรงไข่ขนาดเล็ก ขอบใบมีรอยหยัก “ฮวาเหนียง นี่คือต้นดอกหลิงเซียว? ”
ฮวาเหนียงเอ่ยถามด้วยความใระคนประหลาดใจ “เ้ารู้จักดอกไม้ชนิดนี้ด้วยงั้นหรือ? ในเมืองโยวหลันไม่มีดอกไม้ชนิดนี้ ต้นนี้ข้าไหว้วานให้คนช่วยนำกลับมาจากซ่างจิง”
เซี่ยยวี่หลัวยิ้มพร้อมกล่าว“ดอกไม้ชนิดนี้มีอีกชื่อหนึ่งคือดอกหลิงเสา ข้าเคยเห็นในตำรามาก่อน”
ดอกหลิงเซียวเป็หนึ่งในดอกไม้ขึ้นชื่อของเมืองเหลียนหยุนกั่งเซี่ยยวี่หลัวมักจะไปเที่ยวเป็ประจำ จึงมีความรู้ด้านนี้
ฮวาเหนียงทอดถอนใจ “เฮ้อเพียงแต่ไม่รู้ว่าปลูกอย่างไร คนผู้นั้นนำมาส่งให้ก็บอกว่าดอกไม้นี่ผลิดอกง่าย พอผลิดอกก็จะอยู่ได้กว่าครึ่งปีงดงามยิ่งนัก แต่ข้าปลูกมาเกือบหนึ่งปีแล้ว ยังไม่เห็นว่ามันจะผลิดอก ข้ารู้สึกกลัดกลุ้มใจนัก”
เซี่ยยวี่หลัวย่อตัวลงมองดูต้นหลิงเซียวโดยละเอียด เพียงเห็นว่าใบของต้นดอกหลิงเซียวนี้ไม่เขียวสดเท่าไรทั้งยังเหมือนจะมีสีเหลืองเล็กน้อย นี่เป็ผลจากการไม่ได้รับแสงแดดอย่างเพียงพอ จากนั้นจึงดูดินที่ปลูกก่อนกล่าว “ฮวาเหนียง ดอกไม้ต้นนี้ของท่านปลูกไม่ถูกวิธี”