ถนนเทียนฝู่ในเมืองหยางโจวเต็มไปด้วยผู้ฝึกยุทธ์เป็จำนวนมาก พวกเขาพากันมารวมตัวที่อาคารใหญ่แห่งหนึ่ง บรรยากาศค่อนข้างวุ่นวาย
“หกคน รวมชิวหลันไปด้วย ก็ยังขาดอีกแค่หนึ่งคนถึงจะครบแปด น่าเสียดายที่พลังของแต่ละคนล้วนแข็งแกร่งมาก ดังนั้นข้าจะต้องแย่งลำดับที่ 8 มาให้ได้” ท่ามกลางฝูงชน มีชายหนุ่มคนหนึ่งจ้องมองไปที่ด้านหน้าด้วยสายตามุ่งมั่น ขณะที่พูดออกมา
“เ้าฝันอยู่หรือไง?! ลำดับที่แปดน่ะถูกกำหนดเอาไว้แล้วว่าจะต้องเป็เฟิงเฉียน ระดับการบ่มเพาะของเฟิงเฉียนอยู่ที่ขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 9 เมื่อเทียบความสามารถของเขากับลูกหลานตระกูลใหญ่บางส่วน นับว่าเขาแข็งแกร่งกว่ามาก ที่เขาไม่โต้แย้งอะไรก่อนหน้านี้ เพราะเขาคิดว่าลำดับสุดท้ายจะต้องเป็เขาอย่างแน่นอน หรือเ้าคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งกว่าเฟิงเฉียนล่ะ?”
คนที่ยืนอยู่ข้างๆ ย้อนถามกลับไป
“บัดซบ” เมื่อคนคนนั้นได้ยินคำว่าเฟิงเฉียนสองคำนี้ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที ดูเหมือนว่างานชุมนุมของเมืองหยางโจวที่ท่านเ้าเมืองจัดขึ้นในครั้งนี้ เขาจะไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมแล้ว
ข่าวที่ท่านเ้าเมืองได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบงานชุมนุมของเมืองหยางโจวในปีนี้ ได้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหยางโจว งานชุมนุมในปีนี้ นอกจากลูกหลานของสี่ตระกูลใหญ่ที่เข้าร่วมแล้ว ตระกูลเล็กๆ และรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นของเมืองหยางโจวก็สามารถเข้าร่วมได้ ซึ่งจะมีแค่ 8 คนเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าร่วม
ตระกูลใหญ่ทั้งสี่ตระกูลอย่างตระกูลน่าหลัน ตระกูลกู่ ตระกูลหลิน และตระกูลเหวิน ก็สามารถส่งคนเข้าร่วมได้แค่ตระกูลละ 8 คนเช่นกัน เท่ากับว่ามีผู้เข้าร่วมงานชุมนุมทั้งหมด 40 คน เพื่อเฟ้นหาว่าใครคือตัวแทนรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นที่สุดของเมืองหยางโจว และเป็ผู้ที่ได้รับการยกย่องเชิดชูจากทุกคน แน่นอนว่าไม่มีใครที่ไม่อยากเป็จุดสนใจ
น่าเสียดายที่ 32 คนแรกต่างถูกกำหนดไว้แล้วว่า จะต้องเป็ลูกหลานของ 4 ตระกูลใหญ่ ส่วนคนอื่นๆ จะต้องแย่งชิงที่ว่างที่เหลือเพียง 1 ที่ในแปดรายชื่อที่ท่านเ้าเมืองมอบสิทธิ์ให้ชิวหลัน สำหรับชิวหลันแล้ว ความแข็งแกร่งของนางไม่ต้องพูดถึง นางนับว่าเป็อันดับที่ 1 ใน 8 รายชื่อนี้ ดังนั้นจึงเป็เหตุผลที่ว่าทำไม ท่านเ้าเมืองถึงมอบสิทธิ์ในการตัดสินใจเลือกที่สุดท้ายให้กับนาง และตอนนี้ 7 ใน 8 ก็ถูกคัดเลือกเป็ที่เรียบร้อยแล้ว เหลือที่ว่างแค่ที่สุดท้ายซึ่งทุกคนต้องแย่งชิงกันเอาเอง แต่ดูเหมือนว่าที่ว่างสุดท้ายก็ได้ถูกกำหนดเป็ที่เรียบร้อยเหมือนกัน เขาคนนั้นก็คือ เฟิงเฉียน
เฟิงเฉียนสวมชุดสีน้ำเงิน รูปร่างผอมสูง ดวงตาฉายแววเหี้ยมโหด
ทันใดนั้นเขาก็ยกมือกอดอกพร้อมกับเดินไปที่ด้านหน้า แล้วพูดอย่างเ็าว่า “ที่ว่างสุดท้ายนี้เป็ของข้า”
เมื่อทุกคนเห็นท่าทางหยิ่งยโสของเฟิงเฉียนก็แอบนินทาอยู่ในใจ ใจจริงแล้วพวกเขาก็อยากจะออกไปดวลกับเฟิงเฉียนดูสักตั้ง แต่เมื่อนึกถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายแล้ว ก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา ดูเหมือนว่าคราวนี้คงเป็ได้แค่ผู้ชมเท่านั้น
เฟิงเฉียนกวาดตามองไปยังฝูงชนด้วยสายตาดูแคลน
“เศษสวะทั้งนั้น ใจกล้าสักนิดก็ไม่มี ในเมื่อพวกเ้าไม่กล้าออกมาสู้เพื่อเเย่งชิง งั้นข้าจะเข้าไปล่ะนะ” เฟิงเฉียนพูดแดกดันเล็กน้อยและเตรียมที่จะเดินเข้าไปในห้องโถง ในห้องโถงมีชิวหลันและคนที่ถูกเลือกอีกหกคนรออยู่
“ไอ้หมอนี่มันหยิ่งยโสสมคำเล่าลือจริงๆ แถมยังดูโเี้อีกด้วย ว่ากันว่าถ้าใครกล้าไปท้าทายเขา จะถูกทุบตีจนาเ็สาหัสและกลายเป็ขยะ” มีเสียงกระซิบดังขึ้นมา ถึงแม้ว่าทุกคนจะไม่ชอบขี้หน้าของเฟิงเฉียน แต่ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากท้าทายเขา ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าเฟิงเฉียนชอบทรมานคู่ต่อสู้ ดังนั้นเขาจึงมีชื่อเสียงในเมืองหยางโจว ประกอบกับผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ที่นี่ล้วนมีระดับการบ่มเพาะที่ต่ำกว่าเฟิงเฉียน ดังนั้นจึงทำให้เขาอวดดีมากขึ้น
ด้วยเหตุนี้ฝูงชนที่กำลังนึกโมโห จึงทำได้เพียงมองดูเฟิงเฉียนเดินเข้าไปข้างใน
“ช้าก่อน” ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้น เนื่องจากตอนนี้บรรยากาศเงียบสงบมาก ดังนั้นทุกคนจึงได้ยินเสียงนี้อย่างชัดเจน สายตาของฝูงชนเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เมื่อพวกเขาหันไปมองก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมาจากกลุ่มฝูงชน
ชายหนุ่มคนนั้นมีรูปร่างที่สูงโปร่งและสวมชุดสีขาว ถึงแม้จะไม่หรูหรา แต่กลับดูสะอาดสะอ้าน ด้านหลังของเขาแบกดาบยาวไว้ แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกสะดุดตามากที่สุด ก็คงจะเป็ดวงตาที่ดูใสบริสุทธิ์คู่นี้ ดวงตานั่นสร้างความรู้สึกประทับใจให้กับทุกคนั้แ่แรกเห็น ดวงตาใสๆ คู่นั้นดูไม่เข้ากับอายุของเขาเลย
เมื่อเห็นคนคนนี้ ยอดฝีมือรุ่นเยาว์หลายๆ คนก็เกิดความรู้สึกต่ำต้อยขึ้นมา
ซึ่งชายหนุ่มที่ปรากฏตัวขึ้นมาคนนี้ ก็คือหลินเฟิงที่เพิ่งอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้านั่นเอง หลังจากสอบถามข้อมูลต่างๆ เรียบร้อย เขาก็รีบเดินมาที่นี่ทันทีและดูเหมือนว่าเขาจะมาทันเวลาพอดี
เฟิงเฉียนมองหลินเฟิงนิ่งๆ พลางยกมือกอดอก เขากวาดสายตามองหลินเฟิงั้แ่หัวจรดเท้า จากนั้นก็เบะปากใส่แล้วพูดประชดว่า
“เ้า เรียกให้ข้ารอ?”
“ใช่” หลินเฟิงไม่ใส่ใจสายตาดูถูกดูแคลนของเฟิงเฉียน เขาพยักหน้าตอบรับ
เฟิงเฉียนยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะใช้สายตาเวทนามองเด็กหนุ่มที่อ่อนกว่าเขาสองปีแล้วพูดว่า “เ้ารู้ผลของการทำให้ข้าต้องรอไหม?”
หลินเฟิงส่ายหน้า โลกนี้ผู้ที่แข็งแกร่งจะได้รับความเคารพ แต่ให้ตายสิ ผู้ที่มีพร์ส่วนใหญ่ชอบเสแสร้งหรือไม่ก็อวดดีทุกรายใช่ไหม?
ฉากที่หลินเฟิงเดินไปหาเฟิงเฉียน ทำให้ฝูงชนเปลี่ยนสีหน้าทันที ไอ้หมอนี่มันบ้าหรือเปล่า อายุแค่ 15 - 16 ปี จะสามารถต่อกรกับเฟิงเฉียนได้อย่างไร แม้แต่ลูกหลานตระกูลใหญ่ที่มีระดับการบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 7 กับ 8 ยังเอาชนะเฟิงเฉียนไม่ได้เลย
ถ้าคาดเดาตามอายุแล้วคงไม่สามารถต่อกรกับเฟิงเฉียนได้แน่ๆ เว้นแต่ว่าจะเป็ลูกหลานที่โดดเด่นของสี่ตระกูลใหญ่ในเมืองหยางโจว จึงจะสามารถเอาชนะเขาได้ ทุกคนต่างคิดว่าหลินเฟิงซวยแล้ว
“ดูเหมือนเ้าก็อยากจะเข้าไปในห้องโถงเหมือนกันสินะ ข้าไม่รู้ว่าจะนับถือความกล้าหาญของเ้าหรือจะบอกว่าเ้ามันโง่ดี แต่ในเมื่อเ้าอยากจะแย่งที่ว่างกับข้า งั้นข้าจะยอมลดตัวลงมาเล่นกับเ้าสักหน่อยก็แล้วกัน” เมื่อเฟิงเฉียนเห็นหลินเฟิงกล้ายั่วโมโหตัวเอง จึงคิดที่จะสั่งสอนหลินเฟิงให้ทุกคนดู
“ชิ้ง!”
เสียงโลหะดังขึ้นเบาๆ ก่อนที่แสงดาบอันเยือกเย็นจะวาดผ่านอากาศไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นเสียงร้องโหยหวนก็ดังขึ้น ร่างของเฟิงเฉียนไถลลงบนพื้นไปเกือบร้อยเมตร
เฟิงเฉียนสำลักเืออกมาจากปาก ขณะที่ไออย่างรุนแรงหลายครั้ง เฟิงเฉียนพยุงตัวลุกขึ้นมาคุกเข่าข้างหนึ่ง แต่ปากของเขายังคงกระอักเืออกมาไม่หยุด
ประกายแสงจากคมดาบสว่างขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่ดาบจะถูกเก็บเข้าไปในฝัก
ฝูงชนตกตะลึงจนตาค้าง เพียงแค่ดาบเดียวก็ทำเอาเฟิงเฉียนกระเด็นไปไกลขนาดนี้เลยเหรอ?
“แข็งแกร่งมาก” ฝูงชนต่างก็ประหลาดใจ คนคนนี้อายุประมาณ 15 - 16 ปีเองไม่ใช่เหรอ แต่กลับเอาชนะเฟิงเฉียนที่อยู่ขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 9 ได้อย่างง่ายดาย โดยการโจมตีแค่ครั้งเดียว
หลินเฟิงยังคงหลงเหลือความปรานีอยู่บ้างจึงโจมตีแค่ครั้งเดียว เพราะถ้าเขาใช้เคล็ดวิชาดาบด้วยไปล่ะก็ เฟิงเฉียนคงตายไปแล้วแน่ๆ
“พูดจาไร้สาระมากเกินไปแล้ว” หลินเฟิงไม่แม้แต่จะเหลือบตาไปมองเฟิงเฉียน เมื่อพูดจบเขาก็เดินเข้าไปในอาคารทันที
บางทีในสายตาของเขา เฟิงเฉียนอาจจะไม่มีค่าคู่ควรที่จะมองเลยด้วยซ้ำ
เมื่อมองดูแผ่นหลังของหลินเฟิงที่เดินจากไป ในสมองของเฟิงเฉียนก็พลันว่างเปล่า
พูดจาไร้สาระมากเกินไปแล้ว! นี่คือคำส่งท้ายที่ให้กับเขา
เส้นทางแห่งนักรบนั้นคือการท้าทาย์ ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งสามารถดลบันดาลได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งสร้าง์ แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้นได้ก็ต้องใช้ทั้งความพยายามและความอดทนเป็อย่างมาก แต่เฟิงเฉียนเป็แค่ผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 9 ทว่าเขากลับทำตัวหยิ่งยโส มองคนอื่นๆ เป็เพียงมดปลวก คนแบบนี้แม้แต่ดาบเดียวก็ยังไม่คู่ควรที่จะฟันเลย
เฟิงเฉียนค่อยๆ ตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืนจากนั้นก็หันหน้าไปทางแผ่นหลังของหลินเฟิง แล้วโค้งตัวลง นี่ไม่ใช่การแสดงความเคารพเลื่อมใสต่อหลินเฟิง แต่เป็การขอบคุณที่หลินเฟิงได้ทำให้เขาตาสว่างขึ้นมา
สถานการณ์นี้ทำให้ฝูงชนรู้สึกมึนงง แต่ก็มีสายตาของบางคนเปล่งประกายขึ้นมา ราวกับว่าเขาคิดอะไรบางอย่างขึ้นได้
แต่หลินเฟิงไม่ได้เห็นเหตุการณ์นี้ ทันทีที่เขาเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ สายตาของยอดฝีมือทั้งเจ็ดคนก็จ้องมาที่หลินเฟิง โดยเฉพาะชิวหลันที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ ชิวหลันเคยเจอหลินเฟิงมาก่อนในภัตตาคารทิงเฟิง ทำให้นางพอจะทราบถึงความสามารถของหลินเฟิง และเื่ที่หลินเฟิงประสบในตระกูลหลินชิวหลันเองก็รู้มาบ้างเช่นกัน
“ข้า้าที่ว่างหนึ่งที่ เพื่อเข้าร่วมงานชุมนุมในครั้งนี้” หลินเฟิงทอดสายตามองไปยังชิวหลัน ขณะที่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เ็า แม้ท่าทางจะดูเฉยเมยแต่ความมุ่งมั่นกลับทะลุออกมาอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องเข้าร่วมงานชุมนุมในครั้งนี้ให้ได้
“ช่างกล้า!!!” คนที่นั่งข้างๆ ชิวหลันใช้ฝ่ามือตบลงบนโต๊ะไม้เสียงดัง จนโต๊ะไม้ะเิออกมา
“เ้าเป็ใครกัน กล้าดีอย่างไรมาพูดแบบนี้กับชิวหลัน” คนคนนี้มีนามว่าหวู่เสี่ยว ชิวหลันไม่เพียงมีหน้าตาที่งดงาม แต่ยังมีพร์ที่ล้ำเลิศอีกด้วย ด้วยเหตุนี้จึงเป็ที่หมายปองของชายหนุ่มหลายๆ คน รวมไปถึงหวู่เสี่ยวด้วย
ในสายตาของหวู่เสี่ยว การที่หลินเฟิงสามารถเอาชนะเฟิงเฉียนได้ นั่นก็เป็เพราะว่าหลินเฟิงฉวยโอกาสโจมตีทีเผลอ ทำให้หลินเฟิงเอาชนะอีกฝ่ายมาได้ หวู่เสี่ยวอยากจะแสดงอำนาจกดข่มหลินเฟิง เพื่อเรียกร้องความสนใจจากชิวหลัน ด้วยเหตุนี้จึงทำกร่างใส่หลินเฟิง
หลินเฟิงปรายตามองไปยังหวู่เสี่ยวและเดินตรงไปหาเขา เมื่อหวู่เสี่ยวเห็นแบบนั้น ก็ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจและตั้งท่าพร้อมสู้
ลำแสงดาบสีขาวมุกส่องสว่างขึ้นมาอีกครั้ง แสงสว่างนี้เจิดจ้าจนแสบตา ทันใดนั้นหวู่เสี่ยวก็ร้องโหยหวนออกมาขณะที่กุมข้อมือของตัวเอง
หลังจากที่หลินเฟิงได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตแห่งจิติญญา ความเร็วของดาบก็เพิ่มขึ้น แม้จะเป็การฟันแบบธรรมดา แต่ก็เร็วจนหลายๆ คนมองตามไม่ทันอยู่ดี
หลินเฟิงยื่นมือไปจับคอของหวู่เสี่ยวแล้วยกเขาขึ้นมา ก่อนจะทุ่มลงกับพื้นอย่างแรง
“ถ้าให้สวะแบบนี้เข้าร่วมงานชุมนุมด้วย คงเป็เื่ที่ไร้ประโยชน์สิ้นดี”
จบประโยคนี้ หลินเฟิงก็เตะหวู่เสี่ยวออกจากห้องโถง หวู่เสี่ยวกระเด็นออกไปด้านนอก ก่อนจะตกลงกระแทกพื้น แล้วกลิ้งอีกหลายตลบต่อหน้าฝูงชน
