หวังซิ่วอิงแทบจะถูกลูกชายไม่รักดีคนนี้ทำให้เธอโกรธจนเป็ลมไปจริงๆ แล้ว จนป่านนี้เขาก็ยังจะเมินเฉยอยู่ได้ ความจริงเขาควรเข้ามาปลอบใจแม่ของตัวเองก่อนสิถึงจะถูกแล้วหลังจากนั้นค่อยถามทีหลังไม่ใช่หรือไง?
ดูสิดู ดูเขาพูดเข้า! ยังจะถามซย่านีอยู่อีกว่าเกิดเื่อะไรขึ้น? เมื่อครู่นี้หวังซิ่วอิงก็เพิ่งบอกไปหยกๆ ว่าเื่ทั้งหมดมันเป็มายังไงไม่ใช่หรือ?
ทำไมกัน เขาต้องให้ซย่านีพูดออกมาก่อนหรือเขาถึงจะยอมเชื่อสิ่งที่เธอบอก?
หวังซิ่วอิงคงทำเื่สารเลวมาตลอดแปดชั่วอายุคนล่ะมั้งเนี่ย เธอถึงได้มีลูกชายที่เข้าข้างคนอื่นมากกว่าแม่ตนเองแบบนี้?!
ซย่านียืนมองสองแม่ลูกอยู่ทางด้านข้างอย่างสบายใจเฉิบ ภาพตรงหน้านั้น เกือบทำเธอหลุดหัวเราะออกมา เธอรู้อยู่แล้ว! ว่าซ่งหานเจียงน่ะเป็คนแบบนี้มาโดยตลอด ไม่ว่าเื่อะไรก็ต้องคิดอย่างละเอียดรอบคอบอยู่เสมอและต่อให้ต้องยอมรับความตายตรงหน้า เขาย่อมต้องตัดสินทุกอย่างด้วยตนเองก่อนถึงจะสรุปผลลัพธ์ออกมาได้
ซย่านีไม่ได้ใส่สีตีไข่แต่อย่างใด เธอเริ่มเล่าความเป็มาของเหตุการณ์ทั้งหมด โดยเริ่มจากเื่การฉีกกระดาษของเด็กทั้งสองรวมถึงเื่ที่เธอตบหน้าซ่งเสี่ยวสยาไปหนึ่งที เธอดูสงบนิ่งมาก สีหน้าของเธอก็ราบเรียบราวกับกำลังเล่าเื่ธรรมดาๆ ที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไร
หลังจากที่ซ่งหานเจียงฟังจบเขาก็กล่าวขึ้น “เสี่ยวสยาสมควรที่ต้องขอโทษหยางหยางแล้ว”
หวังซิ่วอิงสูดหายใจเข้าลึกๆ “ลูกว่าอะไรนะ?” คราวนี้เธอเริ่มเจ็บหน้าอกขึ้นมาจริงๆ แล้ว!
ซ่งหานเจียงคิดจริงๆ ว่าหวังซิ่วอิงได้ยินไม่ชัด ดังนั้นเขาจึงพูดซ้ำอีกครั้งอย่างเชื่อฟังแบบช้าๆ และชัดๆ “แม่ ผมบอกว่าเสี่ยวสยาฉีกกระดาษของหยางหยาง เธอก็สมควรขอโทษหยางหยางถึงจะถูก”
หวังซิ่วอิงดุซ่งหานเจียงด้วยความโกรธ “ลูกได้ยินแค่เื่ฉีกกระดาษหรือไง? ลูกไม่ได้ยินที่ภรรยาของลูกบอกว่าเธอตบหน้าเสี่ยวสยาหรอกหรือ? เสี่ยวสยาเป็แค่เด็กอายุเท่าไรกันเชียว แม่เป็ย่าของเธอยังหักใจลงมือตีเธอไม่ลงเลยด้วยซ้ำแต่หล่อนเป็คนนอก...” หวังซิ่วอิงพูดตะกุกตะกักก่อนจะพูดต่อ “หล่อนเป็แค่อาสะใภ้ถือสิทธิ์อะไรมาตีเสี่ยวสยา”
ซ่งหานเจียงพยักหน้ารับเขามีสีหน้าจริงจังขึ้น “การตีคนเป็เื่ที่ไม่ถูกต้องจริงๆ นั่นแหละ แต่เื่ฉีกกระดาษนั้นร้ายแรงกว่า”
หวังซิ่วอิงถึงกับพูดไม่ออก “…”
ซ่งหานเจียงหันไปมองซ่งเสี่ยวสยาที่ถูกโจวเจี๋ยกอดไว้ในอ้อมแขน เขายังคงมีสีหน้าเคร่งขรึมอยู่ “เสี่ยวสยา กระดาษเป็ตัวแทนของความรู้ หนูฉีกกระดาษแล้วยังโยนมันลงพื้นแถมยังเอาเท้าเหยียบย่ำอีกถือเป็การไม่เคารพต่อองค์ความรู้ หนูจะต้องไม่ดูิ่ความรู้โดยเด็ดขาด เพราะความรู้ทำให้อารยธรรมของพวกเราเจริญก้าวหน้าทำให้ประเทศชาติมั่งคงและทำให้พวกเราไม่ต้องล้าหลังอีกต่อไป เวลานี้มีผู้คนมากมายที่พวกเขากระหายอยากได้ความรู้แต่กลับไม่มีโอกาสได้เล่าเรียน ดังนั้นพวกเราทุกคนจึงต้องหวงแหนโอกาสในการเรียนรู้เอาไว้”
“อีกอย่าง หนูยังบอกว่าหยางหยางไม่คู่ควรได้เรียนหนังสือ...ทำไมหนูถึงมีความคิดแบบนี้?” ซ่งหานเจียงส่ายหน้าแล้วกล่าวต่อว่า “ประเทศนี้ให้สิทธิ์ในการศึกษาแก่ประชาชนอย่างพวกเรา ไม่มีอะไรที่คู่ควรหรือไม่คู่ควรขอเพียงหนูมีความเพียรพยายามหนูก็จะมีโอกาสสอบติดมหาวิทยาลัยและสามารถเปลี่ยนโชคชะตาของตนเองได้”
จะอย่างไรก็ช่าง ซ่งเสี่ยวสยาคิดไม่ถึงเลยว่านอกจากอารองจะไม่ตำหนิอาสะใภ้รองแล้ว ยังเป็ตัวเธอเองที่กลับถูกสั่งสอนแทนซะมากกว่า!
นั่นทำให้ซ่งเสี่ยวสยาโกรธมาก!
ไม่เพียงแต่ซ่งเสี่ยวสยาเท่านั้นที่โกรธ หวังซิ่วอิงเองก็โกรธมากกว่าเดิมเช่นกัน เธอไม่ได้อยากได้ยินซ่งหานเจียงมานั่งร่ายสุนทรพจน์เื่การเคารพความรู้หรือโอกาสทางการศึกษาอะไรแบบนี้หรอกนะ?! เธอแค่อยากได้ยินซ่งหานเจียงสั่งสอนซย่านีที่เป็ภรรยาของเขาต่างหากล่ะ!
“ซ่งหานเจียง!” หวังซิ่วอิงตัดบทเขาลงแล้วพูดแทน “แม่ฟังที่แกพูดไม่เข้าใจหรอกนะ แม่รู้แค่ว่าภรรยาของลูกลงมือตบตีเสี่ยวสยาก็เท่านั้น เื่นี้แม่ไม่ยอมเด็ดขาด แม่ขอถามหน่อยว่าลูกจะจัดการเื่นี้อย่างไร?”
เห็นได้ชัดว่า ซ่งหานเจียงสับสนกับคำถามนี้เสียแล้ว เขาจะทำอะไรได้เล่า? ซย่านีเองก็ไม่ได้ทำอะไรผิด...บางทีแม่ของเขาอาจจะรู้สึกว่าวิธีที่ซย่านีใช้สั่งสอนซ่งเสี่ยวสยานั้นรุนแรงเกินไปหรือเปล่านะ?
พอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็หันกลับไปมองซย่านีด้วยสีหน้าจริงจัง “แม้ว่าเสี่ยวสยาจะทำเื่ผิดพลาดหรือพูดอะไรผิดไป แต่การตีเด็กไม่ใช่เื่ที่ถูกต้อง ไม่อาจสั่งสอนเด็กด้วยวิธีเช่นนี้ได้”
ซย่านีรับคำเบาๆ ว่า “อืม” เพื่อแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่ซ่งหานเจียงพูดนั้นถูกต้องและเธอยอมรับผิดแต่โดยดี “เช่นนั้นก็ขอโทษแล้วกัน ฉันไม่ควรลงไม้ลงมือตีคนอื่นเลยจริงๆ” จากนั้นซย่านีก็เงียบไปครู่หนึ่งแล้วจู่ๆ เธอก็ยิ้มขึ้นมา ในรอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยแววเยาะเย้ยเต็มที่ “แม่คะ ฉันขอโทษเสี่ยวสยาไปแล้ว แล้วคุณแม่จะไม่ขอโทษหยางหยางหน่อยหรือคะ?”
ซ่งหานเจียงพลันเข้าใจความหมายในคำพูดของซย่านีขึ้นมา เขาหันหน้าไปมองหวังซิ่วอิงทันที “แม่ แม่ก็ลงมือกับหยางหยางเหมือนกันงั้นหรือ?”
“ฉะ...ฉัน...ฉัน...” หวังซิ่วอิงพูดจาตะกุกตะกักขึ้นมา
ซ่งหานเจียงขมวดคิ้วเขาไม่เห็นด้วยกับการสั่งสอนแบบลงไม้ลงมือเลยสักนิด แม้ว่าเด็กจะทำผิดไปแต่ผู้ใหญ่ก็ไม่ควรลงมือกันเด็ก ผู้ใหญ่ควรอดทนและสอนเด็กด้วยเหตุผลมากกว่าการใช้กำลัง
“เอาล่ะ หยุดเถียงกันได้แล้ว” ซ่งเป่าเถียนที่เงียบไม่พูดไม่จามาโดยตลอดพลันเอ่ยขึ้นมา “ลูกชายต้องลำบากอยู่ที่มหาวิทยาลัยมาทั้งสัปดาห์แล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้กลับบ้านมาสักครั้งยังไม่ให้เขาได้ไปพักผ่อนอีก ต้องมาดูพวกเธอสองคนทะเลาะกันอยู่ได้!”
“อาหารก็พร้อมแล้วไม่ใช่หรือ? รีบกินข้าวกันเถอะ” ซ่งเป่าเถียนยิ้มออกมาอย่างหาได้ยาก มิหนำซ้ำเขายังร้องเรียกซ่งหานเจียงอีกด้วยว่า “รู้ว่าแกจะกลับบ้านวันนี้ แม่ของแกสับหมูเอาไว้ถึงสองชั่งแล้วนำมาห่อเป็เกี๊ยวยัดไส้หมูกับผักกาดขาวที่แกชอบกินด้วยนะ แม่เขาเตรียมมันไว้ให้แกแล้ว”
ซ่งหานเจียงเงียบไปครู่หนึ่ง เขารู้ว่าความหมายของซ่งเป่าเถียนก็คือให้จบเื่นี้ไว้เพียงเท่านี้ แต่ว่า...
จากนั้นเขาก็กวักมือเรียกซ่งตงซวี่ เด็กชายวิ่งเข้ามาไปหาพ่อของตนเองอย่างเชื่อฟังจากนั้นซ่งหานเจียงก็ลูบหัวของซ่งตงซวี่เบาๆ
ผมของซ่งตงซวี่นั้น ทั้งสั้น ทั้งแข็ง พอเอามือลูบไปที่เส้นผมนั้นก็รู้สึกสากมืออยู่บ้างแต่เด็กน้อยกลับเงยหน้าขึ้นมองอย่างไร้เดียงสา บนใบหน้าเต็มไปด้วยความเชื่อใจและความคาดหวังจากผู้เป็พ่อ
เขาใช้เวลากับลูกตัวเองน้อยมากเื่ที่สามารถทำเพื่อเด็กๆ ได้ก็ยิ่งน้อยลงไปอีก
“แม่” ซ่งหานเจียงเคร่งขรึมขึ้นอีกครั้งพลางกล่าวขึ้น “ไม่ว่าเด็กๆ จะทำผิดอะไรก็อย่าได้ลงไม้ลงมือกับเขาเลยนะครับ”
จู่ๆ หวังซิ่วอิงก็โกรธขึ้นมาแล้วเธอโพล่งออกมา “ฉันตีเขาแล้วมันทำไม? ฉันจะลงโทษหลานชายของตัวเองไม่ได้เชียวหรือ? แม้แต่กับคนเป็ย่าอย่างฉันก็แตะต้องลูกชายแสนล้ำค่าของแกไม่ได้เลยใช่ไหม?!”
ซ่งหานเจียงใ เขาคิดไม่ถึงว่าหวังซิ่วอิงจะโกรธมากขนาดนี้ เขาคิดว่าแม่เห็นด้วยกับแิด้านการสั่งสอนลูกๆ ของเขา
“จะกินข้าวไหมฮะ? ถ้าจะทะเลาะกันก็ไปทะเลาะกันข้างนอก!” ซ่งเป่าเถียนตบโต๊ะดังลั่น
ทันใดนั้นในบ้านก็เงียบสงัดลง
หลังจากนั้นอีกสิบวินาทีต่อมา
ซ่งหานเจียงก็ทำลายความเงียบลงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาหันไปถามซย่านีอย่างเป็ธรรมชาติว่า “เสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์เล่า ผมมีของขวัญมาฝากเสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์ด้วยนะ”
ซย่านีเอ่ยตอบสามี “เสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์อยู่ในห้อง...หยางหยาง ไปเรียกพี่มากินข้าวหน่อย...นี่ลูกไม่ต้องไปแล้วเดี๋ยวแม่ไปเรียกพี่เขาเองดีกว่า”
ซย่านีพลันนึกขึ้นมาได้ว่าในห้องของเธอยังมีเ้าลูกชายคนเล็กอยู่ด้วย
“เสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์ พ่อของลูกมาแล้วนะ” ซย่านียังไม่ทันได้ก้าวเข้าประตูก็ได้ยินเสียงะโดังขึ้นมาแล้ว ซ่งวั่งซูร้องเรียกบิดาอย่างตื่นเต้นระคนดีใจ จากนั้นเด็กหญิงตัวน้อยก็พุ่งออกจากห้องไปราวกับลูกะุปืนอันเล็กๆ
“พ่อคะ~” เธอร้องะโเสียงดังลั่นก่อนจะวิ่งผ่านซย่านีไปอย่างรวดเร็ว เพียงเสี้ยววินาที เธอก็วิ่งไปถึงทางเข้าห้องโถงเรียบร้อยแล้ว
ซย่านีมองดูแผ่นหลังของซ่งวั่งซูอย่างขบขันวินาทีต่อมา รอยยิ้มบนใบหน้าของซย่านีก็พลันเลือนหายไป เธอขมวดคิ้วเบาๆ
ซย่านีขบคิดคำถามที่เธอไม่เคยคิดมาก่อนแต่กลับเป็คำถามที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หากเธอกับซ่งหานเจียงหย่ากันขึ้นมา ลูกสาวคนนี้จะเลือกอยู่พ่อหรืออยู่แม่กันนะ?
เมื่อเทียบกับแม่อย่างซย่านีแล้วซ่งวั่งซูดูจะชอบพ่อมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด หากเธอหย่ากับซ่งหานเจียงแล้วลูกสาวของเธอเลือกที่จะไปอยู่กับพ่อขึ้นมา เธอจะทำยังไงดี?
หลังจากที่ซ่งหานเจียงไปเรียนต่อต่างประเทศแล้ว ลูกสาวของเธอคงจะไม่ถูกเขาทิ้งไว้กับแม่สามีที่เขี้ยวลากดินอย่างหวังซิ่วอิงหรอกหรือ?
ไม่ จะปล่อยให้เป็แบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด!
ซย่านีพลันหัวใจหนักอึ้งขึ้นมาอีกครั้ง
