เมื่อหลัวเลี่ยมองไปที่คำนั้น มุมปากของหลัวเลี่ยก็กระตุก
เขาคิดว่าเขามองผิด
ของเล็กๆ สิ่งนี้ไม่ได้อยู่ในรูปลักษณ์ของนาฬิกาโบราณแต่อยู่ในรูปลักษณ์ของระฆัง ที่แท้ของสิ่งนี้ก็คือระฆังจักรพรรดิประจิมซึ่งเป็ยอดแห่งสิบสมบัติเทพในตำนานหรือ? หรือที่เรียกอีกชื่อว่าระฆังจักรพรรดิประจิมซึ่งถือเป็ประตูแห่ง์?
ล้อเล่นหรือเปล่า ระฆังจักรพรรดิประจิมนั้นทรงพลังมากจนนอกจากเทพแล้วแม้แต่บรรพชนก็ไม่สามารถถือมันขึ้นมาได้
หลัวเลี่ยเกิดความสงสัยขึ้น ดังนั้นเขาจึงเริ่มสำรวจระฆังใบนี้
หลัวเลี่ยพลิกตัวระฆังไปมาเพื่อตรวจสอบดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เขาก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ
สิ่งนี้ทำให้หลัวเลี่ยรู้สึกหดหู่เล็กน้อย
คงจะไม่ใช่ว่าระฆังใบจิ๋วนี่ใช้ไม่ได้หรอกนะ
หลัวเลี่ยทรุดตัวนั่งลงบนพื้นดิน เขาวางระฆังใบเล็กๆ นี้ไว้ข้างหน้าและจ้องมองมันด้วยความงุนงง
ภายในหลัวของหลัวเลี่ยคิดถึงความเป็ไปได้ในเื่ต่างๆ แต่เขาก็ยังนึกไม่ออก จนกระทั่งสายตาของเขาเบนไปยังสถานที่ที่พังทลายนั้นโดยไม่รู้ตัวและหวนนึกถึงสายตาของชายวัยกลางคนอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้สายตาของชายวัยกลางคนคนนั้นที่มองมาทางหลัวเลี่ยทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว ซึ่งนอกเหนือจากความรู้สึกหวาดกลัวนั้นเขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็พิเศษอีกแล้ว แต่ตอนนี้หลัวเลี่ยกลับรู้สึกแปลกๆ ขึ้น ดูเหมือนว่าสายตาจากชายวัยกลางคนคู่นั้นจะไม่ได้มีเพียงไอสังหารอย่างเดียว แต่ยังมีอย่างอื่นซ่อนไว้อยู่ด้วย
หลังจากที่หลัวเลี่ยคิดได้เช่นนั้น เขาก็หยิบของระฆังใบเล็กขึ้นมาและตรวจสอบมันอย่างระมัดระวัง
ในขณะที่มือของเขาพลิกตรวจสอบดูอยู่นั้น สมองของเขาก็ยังคงคิดต่อไปด้วย จนในที่สุดแสงสว่างแห่งปัญญาก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขา
“ที่แท้ชายคนนั้นก็ใช้วิชาดวงเนตรที่ได้รับมาจากระฆังจักรพรรดิประจิม”
“หรือก็คือหากมองเข้าไปผ่านสายตาคู่นั้นก็อาจจะทำให้เข้าใจสิ่งที่เรียกว่าระฆังจักรพรรดิประจิมมากขึ้นเล็กน้อย”
เมื่อหลัวเลี่ยคิดเช่นนี้ เขาเริ่มกำจัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป ปรับจิตใจของเขาให้เหมือนน้ำนิ่ง ให้จิตใจของเขาปลอดโปร่งไร้มลทินดั่งฟ้าหลังฝน
หลัวเลี่ยนึกถึงสายตาของชายวัยกลางคนผู้นั้นที่จ้องมองมาทางเขาในก่อนหน้านี้
เมื่อเขามองย้อนกลับไป เขาก็เข้าใจแล้ว
และเมื่อหลัวเลี่ยคิดถึงเื่ราวที่ผ่านมา เขาก็รู้สึกว่าการต่อสู้ในครั้งนี้ทำให้เขาสูญเสียไปมากมายเช่นกัน ลูกแก้วใสลึกลับของเขาถูกทำลายไปแล้วโดยไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว และถ้าระฆังเล็กใบนี้ไม่ดีพออีก เขาจะต้องรู้สึกว่าตนเองได้สูญเสียผลประโยชน์อย่างใหญ่หลวงเป็แน่ ดังนั้นเขาจึงคาดหวังมากว่าระฆังใบนี้จะเป็ระฆังจักรพรรดิประจิมจริงๆ
เมื่อหลัวเลี่ยส่งพลังภายในของตนเองลงไปในระฆังแล้ว จู่ๆ เขาก็มาโผล่ในที่แห่งหนึ่งโดยที่เขาก็ยังไม่ทันได้ตั้งตัว
หลัวเลี่ยเขามาอยู่ภายในระฆังได้อย่างสมบูรณ์แล้ว
ความเข้าใจในวิชายุทธ์ของหลัวเลี่ยนั้นมีความยอดเยี่ยมมากที่สุดในดินแดนเหยียนหวง จนแม้กระทั่งเทพก็ยังต้องยกนิ้วให้เขาในเื่นี้
ดังนั้น เมื่อหลัวเลี่ยเพ่งความสนใจไปที่สายตาคู่นั้นอย่างจดจ่อ ตอนแรกเขาไม่ได้รู้สึกอะไรมาก แต่มันก็ไม่ง่ายเลยที่จะเข้าใจวิชานี้ได้อย่างถ่องแท้
เจ็ดวันผ่านไปในชั่วพริบตา
ในเจ็ดวันที่ผ่านมานี้หลัวเลี่ยมักจะนั่งนิ่งๆ ราวกับรูปปั้นไม้ที่ทำจากดินเหนียว
จนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้นของวันที่เจ็ด จู่ๆ หลัวเลี่ยก็ตัวสั่นเล็กน้อย เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นและหายใจออกยาวๆ ใบหน้าของเขามีประกายแห่งความสุขแผ่ออกมา
“แม้ว่าข้าจะไม่รู้จักวิชาดวงเนตรของระฆังใบเล็กนี้มาก่อน แต่ข้าก็มั่นใจว่าข้าจะสามารถทำความเข้าใจวิชายุทธ์นี้ได้”
หลัวเลี่ยอยากเรียนรู้วิชาดวงเนตร เพราะเขาพบว่าตอนที่ชายวัยกลางคนผู้นั้นลืมตาขึ้นมาก็สามารถเปิดใช้วิชายุทธ์นี้ได้แล้ว แต่เพราะพลังที่ชายวัยกลางคนผู้นั้นทิ้งไว้ในสายตาก่อนจากไปเป็พลังเพียงหนึ่งในห้าส่วนของพลังที่แท้จริงเท่านั้น ไม่ใช่พลังทั้งหมด ดังนั้นหลัวเลี่ยจึงไม่สามารถทำความเข้าใจวิชายุทธ์นี้ได้อย่างสมบูรณ์
แต่เพราะการคิดย้อนกลับไปนี้จึงทำให้หลัวเลี่ยเข้าใจแล้วว่าระฆังใบเล็กนี้มีที่มาอย่างไร
หลัวเลี่ยหยิบระฆังใบเล็กขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาทั้งสองข้างของเขาทอแสงเป็ประกายสดใส จากนั้นเขาก็เริ่มโคจรลมปราณภายในร่างกายและส่งเข้าไปที่ระฆังใบเล็กอย่างต่อเนื่อง
ระฆังใบเล็กดูเหมือนจะฟี้นพลังขึ้นมาทีละน้อย จากนั้นคำว่า "ระฆังจักรพรรดิประจิม" ที่ปรากฏอยู่ก็กลายเป็รูปที่สวยงามมีดอกไม้ นก ปลา แมลง ูเา แม่น้ำ และก้อนเมฆ
หลังจากนั้นไม่นาน ดอกไม้ นก ปลา และแมลงเหล่านี้ก็เริ่มมีชีวิตขึ้นมา พวกมันบินปลิวไปรอบๆ ระฆังจักรพรรดิประจิมและขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็มาบินรอบๆ กายของหลัวเลี่ยด้วย
่เวลาที่หลัวเลี่ยถูกล้อมอยู่ในนั้น ข้อมูลจำนวนหนึ่งเกี่ยวกับระฆังใบเล็กก็ปรากฏขึ้นมาภายในสมองของเขา
หลัวเลี่ยผู้ซึ่งกำลังรับข้อมูลส่วนนี้อย่างเต็มที่รู้สึกมึนงงเล็กน้อย
หลัวเลี่ยกระพริบตา “นี่คือระฆังจักรพรรดิประจิมจริงๆ หรือ”
ระฆังใบเล็กที่อยู่ตรงหน้าของหลัวเลี่ยนั้น แท้จริงแล้วถูกขนานนามว่าเป็สมบัติเทพที่แข็งแกร่งมากที่สุดที่เคยมีมานับั้แ่อดีตจนถึงปัจจุบัน ระฆังใบเล็กมีพลังที่สามารถถล่มผืนฟ้า กวาดล้างปฐี กลืนกิน์ได้ แต่ระฆังจักรพรรดิประจิมนี้มีเก้าส่วน และส่วนที่หัวเลี่ยพบก็เป็หนึ่งในเก้าส่วนนั้น
ใช่แล้ว นี่คือหนึ่งในเก้าส่วนของระฆังจักรพรรดิประจิม
เมื่อพูดถึงระฆังจักรพรรดิประจิม ใครๆ ก็ต้องพูดถึงจักรพรรดิประจิมไท่ยีซึ่งเป็ที่รู้จักในฐานะบรรพชนลำดับที่หนึ่งซึ่งสามารถขึ้นเป็เทพสำเร็จเป็คนแรกอีกด้วย นอกจากนี้เขายังถือว่าท่านเป็ผู้เป็นายแห่งระฆังจักรพรรดิที่แข็งแกร่งที่สุด ขอเพียงถือครองระฆังจักรพรรดิประจิมก็จะสามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้หรือทำได้กระทั่งบัญญัติกฎแห่ง์ด้วยซ้ำ
แม้ว่าจักรพรรดิประจิมไท่อีจะเป็เพียงผู้ฝึกยุทธ์ระดับบรรพชน แต่เขาก็มีพลังที่แข็งแกร่งมากจนสามารถต่อสู้กับเทพได้ และเมื่อเขาได้ถือครองระฆังจักรพรรดิประจิมก็ทำให้พลังของเขาเทียบเท่ากับพลังแห่งเทพ
เขาแข็งแกร่งมากจนแม้แต่เทพก็ยังยำเกรง และสุดท้ายมหาาก็พลันอุบัติขึ้นเมื่อเขาปรารถนาจะก้าวขึ้นเป็เทพสูงสุด
ในาครั้งนั้นจักรพรรดิประจิมไท่ยีได้เข้าห้ำหั่นทำลายล้างทั้งฟ้าดิน ตะวัน และจันทรา
สุดท้ายจักรพรรดิประจิมไท่ยีก็สิ้นชีพในา และหลังจากเหตุการณ์นั้นระฆังจักรพรรดิประจิมก็หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย แม้แต่เทพก็หามันไม่พบ เพราะระฆังจักรพรรดิประจิมถูกแบ่งออกเป็เก้าส่วน ทำให้ยากต่อการค้นพบมันทั้งหมดได้
และสิ่งที่อยู่ในมือของหลัวเลี่ยตอนนี้ก็คือหนึ่งในเก้าส่วนของระฆังจักรพรรดิประจิม
นอกเหนือจากข้อมูลเกี่ยวกับระฆังจักรพรรดิประจิมแล้ว ยังมีเื่ลึกลับบางอย่างที่ผุดขึ้นมาในหัวสมองของหลัวเลี่ย เช่น วิธีฝึกฝนและกระบวนท่าต่อสู้
สำหรับหลัวเลี่ยแล้ว เขาคิดว่าการฝึกฝนเป็การเสียเวลา
เพราะระดับพลังวรยุทธ์ของหลัวเลี่ยต่ำเกินไป แม้ว่ามันจะเป็แค่หนึ่งในเก้าส่วนหรือแม้ว่าความแข็งแกร่งของมันจะไม่ถึงหนึ่งในเก้าหมื่นของพลังที่แท้จริง แต่สิ่งที่เป็พื้นฐานก็คือมันต้องอาศัยเวลาในการฝึกฝน
สำหรับกระบวนท่าที่ใช้ในการต่อสู้นั้น หลังจากที่หลัวเลี่ยฝึกฝนแล้วก็พบว่ามันใช้งานได้ง่ายกว่ามาก
“ระฆังจักรพรรดิประจิม แม้ว่าเ้าจะเป็แค่หนึ่งในเก้าส่วน แต่ก็คงเป็ที่้าของเหล่าบรรพชนเป็แน่”
“ปละการที่สามารถมีหนึ่งในเก้าส่วนได้ก็หมายความว่าเขามีโอกาสที่จะพบอีกแปดส่วนที่เหลือ"
“ชื่อระฆังจักรพรรดิประจิม อาจดูไม่เหมาะสมท่าไรนัก แต่เมื่อมีพลังนี้อยู่ในระดับแข็งแกร่งมากและดูเหมือนจะเป็สิ่งที่กระตุ้นความสงสัยของคนอื่น หลัวเลี่ยจึงเปลี่ยนชื่อให้มันใหม่ว่าระฆังจันทรา”
ระฆังจันทราคือระฆังที่สร้างขึ้นมาเพื่อล้างแค้นให้กับข่งเยวี่ยนเจินในเทือกเขาเหยียนรื่อ
หลัวเลี่ยเริ่มชำระล้างระฆังจันทราแล้ว
แม้ว่าการชำระล้างของเขาจะไม่ซับซ้อนแต่มันกลับเผาผลาญพลังของเขาไปมาก ก่อนอื่นคือหลัวเลี่ยเอาเืมนุษย์หยดหนึ่งที่กลั่นออกมาจากหัวใจของเขา หยดลงไปบนระฆัง
เมื่อเืหยดลงที่พื้นผิวของสิ่งนั้น และซึมเข้าไปในนั้น ผลลัพธ์คือทำให้รูปร่างของระฆังเล็กๆ นี้เปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย มันเป็การพัฒนาเป็รูปร่างของระฆังจักรพรรดิประจิม
ตอนนี้มีข่าวลือเกี่ยวกับรูปร่างลักษณะมากมายของระฆังจักรพรรดิฟ้าดิน แต่ไม่ว่ารูปร่างจะเป็เช่นไร
หลัวเลี่ยก็ใช้เวลาห้าวันติดต่อกันในการชำระล้างระฆังจันทราใบนี้
ในตอนที่หลัวเลี่ยเริ่มการชำระล้าง เขาก็รู้ทันทีว่าสุดท้ายแล้วคงสามารถชำระล้างได้จนถึงเท่านี้ หาก้าให้ระฆังจันทราใบนี้ได้รับการชำระล้างมากขึ้นก็คงมีเพียงพลังในระดับกายทองคำเท่านั้นที่สามารถทำได้ ซึ่งแน่นอนว่าพลังในระดับหยินหยางน้อยๆ ของเขานั้นทำไม่ได้จริงๆ
แต่ว่าอย่างน้อยการที่หลัวเลี่ยชำระล้างขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว ก็ทำให้เขาสามารถใช้ระฆังจันทราออกมาเพื่อต่อสู้ได้
และค้อนขนาดเล็กนั้นก็เป็สิ่งสำคัญในการใช้งานของระฆังจันทรา
มือหนึ่งของหลัวเลี่ยถือระฆังจันทราและอีกมือหนึ่งถือค้อนขนาดเล็ก
เขาเคลื่อนพลังภายในและเริ่มเดินพลังภายในเส้นลมปราณ
ทันใดนั้นระฆังจันทราก็ขยายใหญ่ขึ้นมากกว่าเดืมถึงเจ็ดลี้และหลังจากนั้นหลัวเลี่ยก็ยกค้อนขนาดเล็กที่เต็มไปด้วยพลังภายในของเขาขึ้นแล้วเคาะไปที่ระฆังเบาๆ
ตึง!
เสียงที่มองไม่เห็นก่อตัวเป็ลมกระโชก ลมนั้นทำให้เส้นผมและแขนเสื้อของหลัวเลี่ยปลิวไสว เขามองไปที่ก้อนหินจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ตรงหน้าเขา กำแพงูเาด้านหน้าก็พังทลายลงในทันใด และมีแสงแดดส่องเข้ามาจากภายนอก
หลัวเลี่ยยืนขึ้น ถึงเวลาที่เขาต้องจากไปแล้ว