ในสุสานโบราณเงียบกริบราวกับป่าช้า
น้ำตาของเฉียนโม่ยังไม่ทันไหลรินก็สลายหายไปเสียก่อน
“ผู้าุโ ท่าน...ร้องไห้หรือ?”
จั๋วอวิ๋นเซียนไม่มั่นใจนัก ทุกสิ่งตรงหน้าล้วนเป็ภาพลวงตา แต่เมื่อเห็นน้ำตาของอีกฝ่าย เหตุใดจิตใจของเขาถึงได้สั่นไหวตามไปด้วย?
นี่คือภาพลวงตาหรือ? เหตุใดถึงเหมือนจริงเช่นนี้?
“……”
เฉียนโม่สงบจิตใจ สายตาที่เยือกเย็นกลับมาจ้องจั๋วอวิ๋นเซียนอีกครั้ง “เด็กน้อย ตอนนี้ด้านนอกปีไหนแล้ว?”
“ด้านนอกหรือ? ปีไหนหรือ?”
ไม่รู้ว่าเป็ภาพลวงตาหรือไม่ จั๋วอวิ๋นเซียนรู้สึกหนาวเหน็บจนตัวสั่น ยิ่งเขามองยิ่งรู้สึกว่าภาพลวงตาที่มีนามว่า ‘เฉียนโม่’ ค่อนข้างแปลกประหลาด...หรือว่านี่คือบททดสอบสุดท้าย!
เมื่อคิดได้เท่านี้จั๋วอวิ๋นเซียนจึงไม่ชักช้าที่จะตอบอย่างจริงจัง “ผู้าุโเฉียนโม่ ตามบันทึกศักราชเซียนแล้ว ตอนนี้เป็ปีศักราชเซียนที่เก้า หรือเรียกอีกอย่างว่า ‘ยุคเซียนโบราณ’ ขอรับ“
“ยุคเซียนโบราณหรือ?” อารมณ์ของเฉียนโม่สั่นไหว “เช่นนั้นยังมีนิกายเซียนไท่ซวีอยู่หรือไม่?”
จั๋วอวิ๋นเซียนกล่าวอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ผะ...ผู้าุโ ในทวีปไท่เซียนของเราเหมือนจะไม่มีขุมกำลังที่ชื่อนิกายเซียนไท่ซวี”
“ศักราชเซียนที่เก้า ภัยพิบัติทุกหนึ่งศักราช...”
เฉียนโม่เหม่อลอยเล็กน้อย นางพึมพำกับตัวเอง “ผ่านไปนานขนาดนี้แล้วหรือ มิติมายาสุญญตากลายเป็ซากปรักหักพังไปแล้ว คนของนิกายเซียนไท่ซวีล้วนไม่เหลือแล้วสินะ...ก็ดี บุญคุณความแค้นทั้งปวงหมดสิ้นกันแล้ว แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน...”
เมื่อเห็นท่าทางประหลาดของเฉียนโม่ จั๋วอวิ๋นเซียนคิดอะไรขึ้นได้ จึงถามกลับไปว่า “ผู้าุโเฉียนโม่ ท่านคือเทพเซียนในตำนานใช่หรือไม่?”
“ตำนานหรือ? เทพเซียนหรือ...คงใช่กระมัง”
เฉียนโม่มองใบหน้าเปี่ยมปรารถนาของจั๋วอวิ๋นเซียน นางจึงกล่าวด้วยท่าทางเ็า “เด็กน้อย เ้าอยากเป็เซียนหรือ?”
“ใช่แล้วขอรับ!”
จั๋วอวิ๋นเซียนพยักหน้าโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ซื่อตรงและยึดมั่น
สายตาของเฉียนโม่ค่อยๆ สงบลง “เช่นนั้นเหตุใดเ้าถึงอยากบำเพ็ญเซียนเล่า?”
“เหตุใดหรือ...”
จั๋วอวิ๋นเซียนเว้นจังหวะ จากนั้นส่ายศีรษะก่อนกล่าวว่า “การบำเพ็ญเซียนก็คือการบำเพ็ญเซียน จะต้องมีเหตุผลอันใดกัน บนแผ่นดินเซียนฉยงทุกคนล้วนบำเพ็ญเซียน และข้าก็เช่นกันอยากบำเพ็ญเซียนมีอันใดแปลกหรือ?”
เฉียนโม่กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “คนเราทานข้าวเพราะหิว ดื่มน้ำเพราะกระหาย เช่นนั้น...เ้า้าบำเพ็ญเซียนเพื่ออะไร?”
เพื่ออะไรหรือ? เพื่ออะไรกัน?
จั๋วอวิ๋นเซียนก้มหน้าก้มตา ถามตัวเองในใจซ้ำๆ ...
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาเงยหน้าพลางกล่าวว่า “ข้า้าบำเพ็ญเซียนเพื่อมีชีวิตที่ดี”
“การมีชีวิตนิรันดร์ นั่นแปลว่าจะมีชีวิตที่ดีหรือ?”
เฉียนโม่กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นอย่างไร้อารมณ์ “หากวันหนึ่ง ญาติสนิทมิตรสหายของเ้าจากเ้าไป ศัตรูของเ้าสลายกลายเป็ผุยผง ในฟ้าดินแห่งนี้เหลือเ้าเพียงผู้เดียว...ความโดดเดี่ยวเช่นนั้น ขมเสียยิ่งกว่ายาพิษที่ขมที่สุดในโลก เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว...เ้ายังอยากจะบำเพ็ญเซียนอีกหรือ?”
“……”
จั๋วอวิ๋นเซียนเงียบกริบ ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร สำหรับเขาแล้ว การบำเพ็ญเซียนไม่ใช่แค่เพื่อมีชีวิต แต่เพื่อความเชื่อมั่น เพื่อชีวิตนิรันดร์! เพื่ออิสระ! และเพื่ออยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง!
เมื่อเห็นจั๋วอวิ๋นเซียนเงียบกริบ เฉียนโม่ก็รู้สึกหมดความสนใจจึงจงใจเปลี่ยนบทสนทนา “เด็กน้อย เ้าเป็คนซ่อมแซมค่ายกลสะกดเซียนหรือ?”
“ค่ายกลสะกดเซียนคืออะไรหรือ?”
“มันคือค่ายกลระดับเก้าสำหรับกักขังิญญาเซียน”
“ค่ายกลระดับเก้ายอดเยี่ยมมากเลยหรือ?”
“……”
เฉียนโม่ไม่อยากพูดอะไรแล้ว เพราะนางรู้สึกเหนื่อยใจ
ส่วนจั๋วอวิ๋นเซียนเริ่มเข้าใจเื่ราวขึ้นเรื่อยๆ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้อาจจะไม่ใช่บททดสอบความคิด แต่เป็ความจริง รวมถึง ’ผู้าุโเฉียนโม่‘ คนนี้ด้วย
เพียงแต่ในสมองของเขาเกิดข้อสงสัยมากมายขึ้นมาทันที ทำไมสุสานโบราณถึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้? มิติมายาสุญญตาเปิดมาเกือบหมื่นปีแล้ว หรือว่าจะมิเคยมีผู้ใดซ่อมแซมค่ายกลชุดนี้มาก่อน?
ถึงแม้จั๋วอวิ๋นเซียนจะรู้ว่าเขามีสติปัญญาเป็เลิศ แต่เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองคืออัจฉริยะไร้เทียมทานแต่อย่างใด หากเทียบกับปรมาจารย์ค่ายกลที่แท้จริงแล้ว เขาไม่นับเป็นักค่ายกลด้วยซ้ำ
แท้จริงแล้วเฉียนโม่ก็ไม่เข้าใจสถานการณ์นัก เพียงคาดเดาไว้ว่าต้องเกี่ยวข้องกับจั๋วอวิ๋นเซียนแน่
มิติมายาสุญญตาก็คือค่ายกลขนาดมหึมาชุดหนึ่ง สาเหตุที่จั๋วอวิ๋นเซียนสามารถซ่อมแซมค่ายกลได้ เพราะประการแรกเขาเคยผ่านซากโบราณสถานมาแล้วเก้าสิบแปดแห่ง ถึงแม้จะมองค่ายกลที่ซับซ้อนไม่ออก ก็ยังสามารถแบ่งแยกชีพจรค่ายกลกับอักขระได้อย่างชัดเจน ประการที่สองสมาธิจดจ่อของจั๋วอวิ๋นเซียนประณีตมาก เหนือกว่าปรมาจารย์ค่ายกลส่วนใหญ่หลายขุม…ถึงอย่างไรผู้บำเพ็ญตนที่แข็งแกร่งกว่าเขาก็คิดแต่จะท้าทายซากโบราณสถานระดับสูง ไม่มีทางหยุดอยู่ในซากโบราณสถานระดับต่ำแน่ ส่วนผู้คนที่อยู่ในซากโบราณสถานระดับต่ำ ไม่ว่าจะในด้านการบำเพ็ญหรือพลังจิตล้วนต่ำต้อยมาก จึงมิอาจซ่อมแซมแผนผังค่ายกลของสุสานโบราณได้
……
เวลาผ่านไปเนิ่นนานโดยไม่รู้ตัว
จั๋วอวิ๋นเซียนคิดอะไรขึ้นได้ จึงจงใจถามลองเชิงว่า “ใช่แล้ว ผู้าุโเฉียนโม่ รางวัลของข้าเล่า? ข้าผ่านการทดสอบของสุสานโบราณสำเร็จแล้ว น่าจะมีรางวัลกระมัง?”
“รางวัลหรือ?”
เฉียนโม่เริ่มรู้สึกรำคาญ เพิ่งตื่นขึ้นมาก็ต้องเจอกับเื่ไร้สาระเหล่านี้
แต่เมื่อนางลองคิดทบทวนจึงเข้าใจทันที ที่นี่คือมิติมายาสุญญตา ตามกฎที่นิกายเซียนไท่ซวีตั้งไว้ ไม่ว่าผู้ใดที่ผ่านการทดสอบล้วนสมควรได้รับรางวัล เพื่อเป็กำลังใจให้ศิษย์ที่เข้ามาฝึกฝนทีหลัง…นี่คือวิธีที่ทำให้นิกายเซียนไท่ซวีครองความรุ่งโรจน์ตราบนานเท่านาน
“ในเมื่อเ้าอยากได้รางวัล เช่นนั้นก็ลองดูว่าเ้าจะรับมันไหวหรือไม่”
เฉียนโม่มองด้วยสายตาเย็นเยือก นางดึงควันเบาบางสายหนึ่งออกมาจากแท่นผนึก จากนั้นดีดนิ้วไปที่กลางหน้าผากของจั๋วอวิ๋นเซียน
“มันคืออะไรกัน?”
จั๋วอวิ๋นเซียนใมาก เขาคิดจะหลบหนีตามสัญชาตญาณ ทว่าไม่ทันหลบ ควันสายนั้นก็หลอมรวมกับิญญาของเขาแล้ว
“ตูม…”
ฟ้าถล่มดินทลาย ฟ้าร้องฟ้าผ่าดังกึกก้อง!
จั๋วอวิ๋นเซียนไม่ได้ระวังตัวแม้แต่น้อย สมองของเขาราวกับถูกะเิอย่างไรอย่างนั้น พลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลพุ่งตรงเข้าไปในิญญา
“เจ็บ! เจ็บ! เจ็บ!”
จั๋วอวิ๋นเซียนคุกเข่ากุมขมับเกลือกกลิ้งบนพื้น ร่างกายสั่นไหวอย่างรุนแรง! นี่คือความเ็ปที่แทรกซึมไปถึงกระดูก เ็ปจนิญญาแทบหลุดจากร่าง เขาเจ็บจนกระทั่งมิอาจหายใจและมิอาจตั้งสติได้
ราวกับิญญาถูกฉีกขาด! จิตใจถูกกลืนกิน!
ลมปราณในร่างของเขาริบหรี่ยิ่งนัก เหมือนเขาจะตายได้ทุกเมื่อ
……
เมื่อเห็นจั๋วอวิ๋นเซียนเ็ปทุกข์ทรมาน เฉียนโม่ไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าแม้แต่น้อย ดวงตาก็ไม่ได้กะพริบเลยสักครั้ง
เฉียนโม่ไม่ได้โกหก เมื่อครู่ควันที่นางมอบให้จั๋วอวิ๋นเซียนเป็รางวัลของมิติมายาสุญญตามิผิดแน่ อีกทั้งยังเป็รางวัลระดับสูงอีกด้วย ผู้บำเพ็ญตนธรรมดาไม่มีวาสนาได้รับพลังนี้ เพราะนี่คือ ‘พลังเซียนา’ ที่นิกายเซียนไท่ซวีสั่งสมมานับแต่อดีตกาล ถึงแม้จะมีเพียงเสี้ยวเดียวก็ไม่ใช่สิ่งที่จั๋วอวิ๋นเซียนจะสามารถแบกรับไหว
‘พลังเซียนา’ คือพลังต้นกำเนิดฟ้าดินที่บริสุทธิ์ที่สุดในยามฟ้าดินถือกำเนิด มันสามารถสรรค์สร้างทุกสรรพสิ่งซึ่งเป็พลังที่มหัศจรรย์อย่างยิ่ง
ถึงแม้ตอนนี้สภาพจั๋วอวิ๋นเซียนราวกับจะเป็จะตาย แต่ความจริงแล้วพลังเซียนาทำให้เขาเ็ปเพียงครู่เดียว หลังจากพลังเซียนาสลายไปก็ไม่เป็ไรแล้ว ไม่มีอันตรายถึงชีวิต
เฉียนโม่เพียงแค่้าสั่งสอนเขาเล็กน้อยเท่านั้น
