แม่นางหลิวกลัวว่าแม่สามีจะบ่นนางด้วย นางจึงรีบเอ่ยปากเพื่อช่วยคลี่คลายเื่ต่างๆ “ท่านพ่อท่านแม่โปรดวางใจ น้องหญิงเป็คนมีวาสนาดี อีกอย่างท่านย่าเทวาูเาก็คุ้มครองพวกเราอยู่ หากสกุลเฉียนทำเื่ร้ายแรงขึ้นมาจริงๆ ไม่แน่ครอบครัวเราอาจไม่ต้องลงมือ ท่านย่าเทวาูเาก็จะปรากฏตัวขึ้นและลงทัณฑ์พวกเขาเอง”
ติงเหว่ยรู้สึกว่าคนในครอบครัวต่างต้องมาเดือดร้อนเพราะนาง นางจึงกำลังตำหนิตนเองในใจอย่างรุนแรง แต่เมื่อได้ฟังพี่สะใภ้ใหญ่พูดเช่นนั้นจึงกลับมาได้สติ นางยังอยู่ในฐานะของลูกศิษย์ท่านย่าเทวาูเา มีข้ออ้างดีๆ อยู่เช่นนี้นางลืมไปได้อย่างไรกัน และสกุลเฉียนมีนิสัยต่ำช้าเช่นนี้ มิสู้คิดหาวิธียืมใช้ร่องรอยของปาฏิหาริย์สักหน่อย เมื่อถึงตอนที่สกุลเฉียนโดนลงทัณฑ์ก็ถือโอกาสทำให้ชาวบ้านหวาดกลัวไปด้วย ครอบครัวนางจะได้ถูกรังแกน้อยลง
ติงเหว่ยตัดสินใจเองในใจจึงไม่ได้พูดอะไรออกมามาก เอาแต่ก้มหน้าและดึงเสื้อผ้าตัวเล็กๆ ในมือไปมาเท่านั้น แม่นางหลี่ว์สงสารลูกสาวของนาง จึงแอบดูท่าทางนางเงียบๆ แล้วรู้สึกเบาใจขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากที่ไตร่ตรองดูแล้วแม่นางหลี่ว์ตัดสินใจว่าต่อไปหากมีชาวบ้านในหมู่บ้านมาหาเื่อีกก็จะไม่พูดให้นางฟัง อันที่จริงแล้วติงเหว่ยก็ตั้งครรภ์อยู่ หากว่ามีเื่อะไรในใจกลัวจะกลายเป็สาเหตุของโรคร้ายเอาได้
หรือแท้จริงแล้วแม่นางหลิวและแม่นางหวังจะไม่ถือว่าเป็คนในครอบครัวสกุลติง พวกนางเห็นแม่สามีลำเอียงรักแต่ลูกสาว ในใจก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่พอใจนิดหน่อย ทว่าก็ปกปิดให้ผ่านไปได้ด้วยดี
เมื่อตกดึกคนในครอบครัวต่างก็แยกย้ายกันกลับห้องไปนอนพัก ติงเหว่ยที่นอนอยู่บนเตียงคั่งกลับคิดถึงวิธีการอบเจียนปิ่งขึ้นมา นางพลิกตัวไปมาเพราะนอนไม่หลับ ในสมองก็คิดหาวิธีว่าจะพรางเป็เทพแสร้งเป็ผี [1] อย่างไรดี เพื่อจัดการกับสกุลเฉียน ทว่าความเชื่อมั่นและความภาคภูมิใจที่สั่งสมมากลับถูกทำลายไม่เหลือชิ้นดีเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความจริง
ถึงแม้นางจะเรียนหนังสือมาสิบกว่าปี และได้เรียนเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีมากมาย แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็คิดวิธีการดีๆ ไม่ออก
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ทางเลือกเดียวที่เหลือก็คือไปที่สุสานเพื่อค้นหากระดูกของคนที่ตายแล้ว และเอาไปโยนที่บ้านของสกุลเฉียน แต่คิดไปคิดมาก็ทิ้งความคิดนี้ไป ไม่เพียงแต่ว่ากระดูกเ่าั้จะเกิดหลินหั่ว [2] ขึ้นตอนเที่ยงคืนแล้วทำให้คนสกุลเฉียนใได้หรือไม่ และนางเองก็ยังตั้งครรภ์อยู่ด้วย หากไปสุสานกลางดึกแล้วสะดุดเข้าจะทำอย่างไร
นางคิดไปคิดมาจนถึงเที่ยงคืนก็ทนความง่วงต่อไปอีกไม่ไหว ดังนั้นนางจึงโยนความคิดเหล่านี้ทิ้งไปก่อน แล้วบ่นด้วยความท้อแท้ใจว่า “ท่านย่าเทวาูเา หากิญญาของท่านมีอยู่จริง โปรดช่วยจัดการสกุลเฉียนให้ข้าสักครั้งด้วยเถอะ!”
หลังจากพูดจบ นางก็ห่อตัวในผ้าห่ม ลูบหน้าท้องที่ปูดขึ้นมาเล็กน้อยแล้วผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าข้างนอกหน้าต่างมีเงาคนรูปร่างผอมบางห้อยกลับหัวอยู่ที่ใต้ชายคา “ท่านย่าเทวาูเางั้นหรือ ข้าเป็อีกสักครั้งก็คงจะไม่เป็ไรกระมัง?”
ลมในยามค่ำคืนพัดพาหญ้าแห้งๆ ปลิวว่อนไปทั่วทั้งบ้าน และถือโอกาสพัดพาถ้อยคำอันแ่เบาเหล่านี้ไปไกล ค่ำคืนนี้ก็ยิ่งเงียบสงัดลง…
……
“ใครก็ได้ช่วยด้วย เอาน้ำมาเร็วเข้า!”
เช้าวันนี้ในขณะที่ขอบฟ้ากำลังจะเปลี่ยนเป็สีขาว ไก่ตัวผู้ที่ขยันที่สุดในบริเวณที่ราบลุ่มแห่งนี้ยังไม่ทันได้บินขึ้นไปบนกำแพงและร้องขัน ทันใดนั้นจู่ๆ ก็มีเสียงกรีดร้องด้วยความใดังมาจากทางทิศตะวันออกของหมู่บ้าน และในเวลาไม่นานเสียงฆ้องก็ดังเสียดหูไปทั่วทั้งหมู่บ้าน
ชายหนุ่ม หญิงสาว คนชราและเด็กมากมายเมื่อได้ยินเสียงนี้ก็รีบพากันลุกจากเตียงคั่งอย่างรวดเร็ว หยิบเสื้อผ้ามั่วๆ มาใส่ชุดหนึ่งจากนั้นก็หยิบถังน้ำในบ้านและรีบวิ่งไปทางตะวันออกของหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว
เมื่อสองปีก่อนไม่รู้สกุลเฉียนไปเอาเงินจากไหนมามากมาย ถึงได้สร้างบ้านมุงกระเื้ัใหญ่ ตอนนั้นพวกเขาเป็ที่นิยมในหมู่บ้านเป็อย่างมาก ทว่าตอนนี้กลับไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้เทพเ้าจู้หรง [3] โกรธเข้า ห้องโถงทั้งสามห้อง รวมทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวาต่างถูกไฟไหม้ทั้งหมดในเวลาเดียวกัน เปลวเพลิงสีแดงฉานนั้นราวกับเขี้ยวและกรงเล็บของปีศาจก็ไม่ปาน มันกลืนกินหน้าต่างและประตูไปอย่างรวดเร็วจนไม่เหลือ จากนั้นก็ไปที่คานบ้านและหลังคา
แม้ว่าจะมีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งพากันวิ่งเข้าไปช่วยอย่างเร่งรีบ และยังรวบรวมคนมาได้อีกร้อยกว่าคน มาช่วยกันตักน้ำและสาดน้ำ ทุกคนต่างช่วยกันดับไฟจนมือเป็ระวิง
ทว่าเหตุเพลิงไหม้ใหญ่ในครั้งนี้ช่างแปลกประหลาดเป็ที่สุด เวลาที่สาดน้ำลงไปหนึ่งถัง อย่างมากก็ทำให้เปลวเพลิงแ่ลงมาแค่ครู่หนึ่ง จากนั้นเปลวเพลิงก็ยิ่งลุกขึ้นอย่างรุนแรงกว่าเดิม
แม้ว่าทุกคนจะเหนื่อยจนแทบจะหายไม่ออกแล้ว แต่ในชั่วพริบตาเดียวบ้านหลังใหญ่ของสกุลเฉียนก็ถูกเพลิงไหม้จนเหลือแค่ซากกำแพงที่หักพัง พ่อลูกสกุลเฉียนต่างหมอบลงกับพื้นในบ้านและพากันร้องไห้เสียงดัง
เคราของผู้าุโเฉียนก็ถูกไฟไหม้จนไม่เหลือ บนร่างกายของเขาสวมแค่กางเกงจึงเผยให้เห็นแผ่นอกที่ผอมแห้งและเหี่ยวเฉา เขาะโด่าขึ้นมาว่า “ข้าจะไปร้องเรียนและจับคนทำเข้าคุก!”
สองสะใภ้ของสกุลเฉียนกอดลูกไว้ในอ้อมอกและร้องไห้ออกมาอย่างเศร้าใจ ทันใดนั้นจู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าไม่เห็นแม้แต่เงาของสามีของตนเอง พวกนางจึงรีบมองไปรอบๆ พลางะโว่า “ต้าเพ่าอยู่ไหน ใครเห็นต้าเพ่าบ้าง!”
ผู้าุโเฉียนก็ตื่นตระหนกเช่นกัน เขาแยกเขี้ยวยิงฟันสีเหลืองและกำลังจะร้องไห้อีกครั้ง ปรากฏว่ามีคนะโออกมาจากวงนอกว่า “ต้าเพ่าอยู่ตรงนี้ เมื่อเช้าตอนที่ข้าขึ้นเขาไปวางกับดักจับกระต่าย ขากลับก็เห็นต้าเพ่านอนอยู่ข้างนอกวัดชานเฉิน”
ชาวบ้านคนนั้นเป็ชายหนุ่มรูปร่างสันทัด เขาพูดพลางลากต้าเพ่าเข้าไปในบ้าน
คนในครอบครัวสกุลเฉียนต่างพากันเข้ามาล้อมวงทั้งสาดน้ำและบีบคอของต้าเพ่า ไม่ง่ายเลยที่จะปลุกเขาให้ตื่นขึ้นมาได้ นึกไม่ถึงว่าทันทีที่เขาอ้าปากก็พูดอย่างใว่า “ท่านย่าเทวาูเาโปรดไว้ชีวิตข้าด้วย ข้าน้อยไม่กล้าอีกต่อไปแล้ว ท่านย่าเทวาูเาโปรดเมตตาข้าด้วยเถิด”
ในขณะที่เขากำลังพูดก็พลิกตัวลงไปคุกเข่าแล้วคำนับลงกับพื้น ท่าทางของเขาดูหวาดกลัวและเชื่อจนหมดใจ ทำให้ทุกคนที่ดูอยู่ต่างก็พากันตกตะลึงจนไม่รู้จะทำอย่างไรดี
……
เมื่อครู่ผู้ใหญ่บ้านอู๋เพิ่งจะสั่งการให้ทุกคนช่วยกันดับไฟ เขาเหนื่อยมากจนนั่งลงบนพื้นเพื่อพักหายใจให้ทั่วท้อง ตอนนี้เขามองดูรอบๆ ขมวดคิ้วแล้วถามเสียงดังว่า “เฉียนต้าเพ่า สรุปว่าเพลิงไหม้บ้านเ้าเกิดจากอะไรกันแน่? พวกเ้าไม่ได้ดับถ่านในห้องครัวจนมอดสนิทอย่างนั้นหรือ?”
ก่อนที่ผู้าุโเฉียนจะได้ตอบรับ ฮูหยินของต้าเพ่ากลับไม่กล้ายอมรับความผิด นางจึงพูดคัดค้านออกมาคนแรกว่า “ผู้ใหญ่บ้าน ท่านจะพูดจาส่งเดชอย่างนี้ไม่ได้นะ! การดูแลห้องครัวในบ้านเป็หน้าที่ของข้า ทุกวันก็ไม่เป็อะไรมาตลอดไม่ใช่หรือ? เมื่อคืนก่อนเข้านอนข้ายังตรวจดูตั้งสองรอบ ใครจะไปรู้ว่าเหตุใดจู่ๆ ถ่านถึงได้ลุกไหม้ขึ้นมาได้ล่ะ!”
ผู้ใหญ่บ้านอู๋ถูกฮูหยินผู้นี้พูดดักจนอดไม่ได้ที่จะกลอกตา ถึงเขาอยากจะตำหนินางแต่ก็รู้สึกละอายใจจึงทำได้เพียงอดทนไว้และหันไปหาผู้เฒ่าเฉียน “ดูจากลักษณะแล้วเพลิงน่าจะไหม้ทั้งสามหลังในเวลาเดียวกัน แล้วก็ไม่มีกลิ่นของน้ำมัน ดูแล้วไม่เหมือนว่ามีใครตั้งใจให้เกิดขึ้น ท่านลุงลองนึกดีๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ผู้เฒ่าเฉียนก็ยังสับสนเช่นกัน แต่เมื่อมองควันสีเทาที่ลอยขึ้นมาจากบ้านที่ยอมเสียเืเนื้อไปกว่าครึ่งชีวิตเพื่อให้ได้มาแต่ตอนนี้ก็สูญเปล่าไปหมดแล้ว เขารู้สึกเ็ปเกินกว่าจะสนใจเื่อื่นๆ ปากก็เอาแต่ยืนกรานว่าต้องมีคนวางเพลิงแน่ แต่ประการแรกไม่มีใครจับผู้ร้ายวางเพลิงได้ และประการที่สองต้าเพ่ายังคุกเข่าเพื่อคำนับท่านย่าเทวาูเาอยู่ในบ้านอีก
เื่นี้เห็นทีจะต้องพิจารณาอย่างระมัดระวัง ชาวบ้านบางคนเหมือนจะอยากพูดอะไร แต่เมื่อหางตาเหลือบไปเห็นว่าผู้าุโติงและลูกชายทั้งสามคนต่างก็สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง และในมือก็ถือถังน้ำอยู่ เขาจึงกลืนคำที่อยากจะพูดลงไป
ปกติแล้วผู้ใหญ่บ้านอู๋ไม่ชอบวิธีการที่สกุลเฉียนปฏิบัติต่อคนอื่นเท่าไรนัก และตอนนี้ก็ี้เีจะมาเสียเวลากับพวกเขาอีก ผู้ใหญ่บ้านอู๋จึงลุกขึ้นและโบกมืออย่างไม่ใส่ใจว่า “ในเมื่อท่านลุงเฉียนมั่นใจว่ามีคนวางเพลิง เช่นนั้นท่านก็ตรวจสอบเองเถอะ แต่หากจะไปร้องเรียนเื่นี้ก็ต้องคิดให้รอบคอบ สุดท้ายแล้วผู้ว่าการอำเภอเองก็้าหลักฐานที่ประจักษ์ชัดแจ้ง มิเช่นนั้นโทษฐานในการร้องข้อกล่าวหาที่เป็เท็จก็จะโดนโบยด้วยไม้หรือถูกส่งไปใช้แรงงาน ท่านลองคิดให้ดีก็แล้วกัน”
หลังจากพูดจบเขาก็จะกลับบ้าน ผู้าุโเฉียนกลับรู้สึกร้อนใจขึ้นมาและดึงเขากลับมาแล้วขอร้องว่า “ผู้ใหญ่บ้าน ท่านจะกลับไปอย่างนี้ไม่ได้นะ ท่านดูบ้านของครอบครัวเราสิต่อไปจะอยู่กันได้ยังไง ท่านไม่สามารถเห็นคนตายแล้วไม่ช่วย [4] ได้นะ!”
ผู้ใหญ่บ้านขมวดคิ้วเล็กน้อย ถึงแม้ภายในใจจะรู้สึกเบื่อแต่เื่นี้จะเพิกเฉยก็คงไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงหันไปพูดกับเหล่าชาวบ้านว่า “พวกเราเองก็เป็คนบ้านเดียวกัน วันนี้ครอบครัวสกุลเฉียนกำลังตกที่นั่งลำบาก ทุกคนก็ช่วยคนละไม้คนละมือเถอะ บ้านใครมีข้าวสารมากหน่อยก็ส่งมาให้ที่นี่สักจินสองจิน บ้านใครมีโต๊ะกับเก้าอี้ที่ว่างอยู่ก็เอามาให้ยืมใช้หน่อย รอให้เพลิงมอดดับสนิทเสียก่อน จากนั้นค่อยช่วยกันสร้างอัวเผิง [5] ไว้ตรงมุมกำแพงสักอันก็แล้วกัน”
ทุกคนต่างพยักหน้าและพากันถือถัง ขัน กะละมังแยกย้ายกันไป
……
ผู้าุโติงเองก็พาลูกชายของเขากลับบ้าน แม่นางหลี่ว์ที่กำลังยกกับข้าวมาวางบนโต๊ะ เมื่อได้ยินว่าบ้านสกุลเฉียนถูกเผาราบเป็หน้ากลอง นางจึงเหยียดยิ้มราวกับได้สะสางความแค้นในใจ จากนั้นก็มองไปที่หลานชายและหลานสาวที่ผิวขาวอวบอ้วนทั้งสองคน จากนั้นก็มองเลยไปที่ท้องของลูกสาว แต่ท้ายที่สุดแล้วนางก็แสร้งทำหน้าตาเห็นอกเห็นใจ แล้วพูดว่า “อีกสักประเดี๋ยวข้าจะหยิบเปากู่เหมี่ยน [6] ให้สักสองสามจิน แม่ต้าเป่าเดี๋ยวเ้าเอาไปส่งที่บ้านสกุลเฉียนนะ”
“ข้ารู้แล้ว ท่านแม่” ในร้านเมื่อวานแม่นางหลิวเองก็ถูกคนสกุลเฉียนหาเื่อยู่ไม่น้อย ตอนนี้เมื่อได้ยินแม่สามีส่งนางให้ไปดูอะไรสนุกๆ จึงตอบรับทันที
……
หลังจากที่ทั้งครอบครัวกินข้าวเสร็จแล้ว แม่นางติงก็ยกจานไปเก็บล้างที่ห้องครัว มือทั้งสองข้างของนางกำลังยุ่งอยู่ แต่ในสมองกลับเต็มไปด้วยความสับสน ในชาติก่อนนางได้รับการศึกษาระดับสูงมาสิบกว่าปี แน่นอนว่านางเป็คนที่ไม่เชื่อว่าเทพเ้ามีอยู่จริง ถึงแม้นางจะได้ชื่อว่าเป็ลูกศิษย์ของท่านย่าเทวาูเา ทว่าลึกๆ แล้วนางกลับไม่เคยเชื่อเลยว่าโลกนี้มีเทพเ้าหรือิญญาอะไร
ถึงจะไม่พูดเื่ครั้งก่อนตอนที่ชาวบ้านบีบบังคับให้นางทำแท้ง ในคืนนั้นวัดชานเฉินก็ถูกฟ้าผ่าลงมาอย่างน่าอัศจรรย์ แล้วพอมาครั้งนี้นางแค่พูดไปลอยๆ ก่อนหลับสักประโยค บ้านสกุลเฉียนก็เจอโชคร้ายครั้งใหญ่
เป็ไปได้หรือว่าเผียนอีซือฟู [7] จะมีตัวตนอยู่จริงๆ และคอยดูแลนางอยู่ตลอด ไม่อย่างนั้นจะบังเอิญเวลาเหมาะเจาะขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?
อีกด้านหนึ่ง แม่นางหลี่ว์และแม่นางหวังกำลังจัดการคัดแยกไส้ซาลาเปาใส่ในกะละมังอยู่ พวกนางก็กำลังครุ่นคิดเื่นั้นอยู่ในตอนนี้ ในใจของพวกนางรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย แต่ที่มากกว่ากลับเป็ความดีใจ บ้านของเรามีท่านย่าเทวาูเาคอยคุ้มครองอยู่ ดูสิวันหน้าใครยังจะกล้ามารังแกพวกเราอีก!
“ไม่ได้การล่ะ วันนี้เราต้องปิดร้านแล้วพวกเราเตรียมของเซ่นไหว้ไปไหว้ท่านย่าเทวาูเากันเถอะ!” แม่นางหลี่ว์ยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้นและไม่สนใจเื่หาเงินแล้ว คิดเพียงว่าจะตั้งใจไปไหว้ท่านย่าเทวาูเาเทพเ้าผู้คุ้มครองครอบครัว
เป็โอกาสที่หาได้ยากยิ่งที่แม่นางหวังจะไม่หมกมุ่นอยู่แต่กับเื่เงิน นางเองก็รีบตอบตกลงว่า “ข้าเห็นด้วย พวกเราควรทำเช่นนั้นจริงๆ ข้าจะไปจัดเตรียมธูปและเทียนให้!”
“ตกลง งั้นเ้าไปเถอะ ข้าจะทำอาหารเซ่นไหว้สักสองสามอย่าง!”
หลังจากที่แม่สามีและลูกสะใภ้พูดจบก็แยกย้ายกันไปเตรียมของ แม่นางติงเหว่ยที่เห็นก็คิดไม่ตกว่าจะร่วมมือตามไปด้วยดี หรือจะขัดขวางไว้ดี
ท้ายที่สุดนางก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องไปจวนสกุลอวิ๋นเพื่อหลีกหนีจากเื่นี้ แต่แม่นางหลี่ว์กลับจับนางไว้ไม่ปล่อย จะเป็จะตายอย่างไรก็ต้องลากนางไปคุกเข่าไหว้ด้วยกันให้ได้
……
หลังจากผ่านไปหลายเดือน ติงเหว่ยก็ไปคำนับอีกครั้งจนนางรู้สึกเวียนหัวไปหมด หากไม่กลัวว่าจะครรภ์ของนางจะถูกกดทับ แม่นางหลี่ว์คงให้นางคุกเข่าจนพระอาทิตย์ตกดิน
และแน่นอนว่าการกระทำของสกุลติงในครั้งนี้ก็ไม่รอดพ้นจากสายตาของชาวบ้าน ดังนั้นการคาดเดาหลายๆ อย่างก่อนหน้านี้ ก็กลายเป็เื่จริงโดยปริยาย
เหล่าแม่สามีและลูกสะใภ้มากมายพากันนัดรวมตัวอย่างลับๆ แล้วกระซิบกระซาบกันเบาๆ สีหน้าพวกนางต่างเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ส่วนบางคนที่เคยพูดจาไม่ดีเกี่ยวกับครอบครัวสกุลติงก็ปิดปากเงียบสนิท พอตกเย็นก็คอยเบิกตาดูเพราะเกรงว่าจู่ๆ บ้านตนเองจะถูกเพลิงไหม้จนราบเป็หน้ากลองไปด้วย
ไม่ต้องเอ่ยว่าชาวบ้านกำลังทุกข์ทรมานถึงเพียงไหน แค่พูดว่าเป็โอกาสอันยากยิ่งที่ครอบครัวสกุลติงจะกลับมามีชีวิตปกติได้แบบนี้ ในทุกวันแม่นางหลี่ว์จะพาลูกสะใภ้ทั้งสองกับหลานสาวอีกหนึ่งคนไปทำงานที่ร้านอาหาร ส่วนผู้าุโติงก็พาพี่ใหญ่ไปที่นาเพื่อไปดูแลที่นาแปดหมู่อันอุดมสมบูรณ์ของพวกเขา ส่วนพี่รองก็ไปๆ มาๆ ระหว่างอำเภอกับในตัวเมือง ซื้อไม้มาทำเครื่องใช้รูปแบบต่างๆ และเตรียมเช่าที่เพื่อเปิดร้าน และบางครั้งก็จับน้องหญิงมาขอคำชี้แนะ เขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจ
ติงเหว่ยอยู่เฝ้าบ้านตอนกลางวัน นางพาต้าเป่าฝึกคัดลายมือและนับเลขบนถาดทราย ตอนกลางวันก็ทำมื้ออาหารแสนอร่อย จากนั้นก็กอดหลานชายตัวอ้วนกลมและงีบหลับไป นับว่านางเองก็มีความสุขไม่เลว
-----------------------------------------
[1] พรางเป็เทพแสร้งเป็ผี 装神弄鬼 หมายถึง หลอกลวง เสแสร้ง เล่นตุกติก
[2] หลินหั่ว 磷火 หมายถึง เปลวไฟที่จะเกิดขึ้นเมื่อฟอสฟอรัสถูกเผาไหม้ เมื่อซากศพของมนุษย์และสัตว์สลายตัวไปจะกลายเป็ธาตุฟอสฟอรัสและสามารถจุดติดไฟได้เองตามธรรมชาติ หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อกุ่ยหั่ว หรือ ไฟผี(鬼火)
[3] เทพเ้าจู้หรง 祝融之神 หมายถึง เทพเ้าแห่งไฟ
[4] เห็นคนตายแล้วไม่ช่วย 见死不救 หมายถึง เห็นหายนะแล้วยังทำเฉย
[5] อัวเผิง 窝棚 หมายถึง เพิงหมาแหงน
[6] เปากู่เหมี่ยน 包谷面 หมายถึง แป้งที่ทำจากข้าวโพด
[7] เผียนอีซือฟู 便宜师傅 หมายถึง คนที่เราสามารถเรียนรู้บางสิ่งจากเขาได้ ก็เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า คนหลายคนเดินมาด้วยกัน ต้องมีสักคนหนึ่งที่จะเป็ครูของเราได้(三人行必有我师)