“กระบี่ดุจสายลมไหว...”
“ลมขยับกระบี่ติดตาม...”
“ถลาลมหนึ่งกระบี่...”
...
บนยอดเขาหลังสำนักกระบี่์เสวียนเทียนกำลังฝึกกระบี่
หลังประสบกับเหตุการณ์พิสดารที่ ‘บึงซ่อนกระบี่’ เสวียนเทียนไม่เพียงพลังวัตรก้าวหน้าถึงสองขั้นความสามารถยังเพิ่มพูน เข้าถึงวิถีกระบี่ บรรลุถึงขั้นที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน
ถ้หากกล่าวว่าการฝึกฝนวิถีกระบี่แบ่งออกเป็สิบขั้น เริ่มเรียนวิชา เปิดทวารเบิกวิถี บรรลุบางส่วน เหยียบขึ้นเมฆาเข้าใจถ่องแท้ บรรลุส่วนใหญ่ เข้าสู่เรือนหลัก สำเร็จวิชา ก้าวสู่สุดยอดข้ามสู่เทพวิถี
ถ้าเช่นนั้นก่อนหน้านี้ลำดับขั้นของเสวียนเทียนอยู่ประมาณขั้นที่หก ‘บรรลุส่วนใหญ่’ ส่วนตอนนี้อยู่ที่ขั้นสิบ ‘ข้ามสู่เทพวิถี’
เสวียนเทียนรู้สึกว่ากระบี่เป็ดั่งแขนของตัวเขาเอง ราวกับว่ากระบี่เชื่อมต่อเป็หนึ่งเดียวกันกับเขา
“คงเป็เพราะ ‘กระบี่สีขาวเล่มน้อย’ เล่มนั้นที่หว่างคิ้วทำให้ประสาทััเกี่ยวกับกระบี่ฉับไวขึ้นมากกว่าสิบเท่าจนรู้สึกเหมือนกับกระบี่เป็แขนข้างหนึ่งของตัวเองความเข้าใจในศาสตร์กระบี่ก็สูงขึ้นเกินกว่าสิบเท่า”
“ฮู่...”
เสวียนเทียนวาดกระบี่ตัดอากาศจนเกิดเสียงต้นสนไทรเงินต้นหนาเท่าปากชามที่ยืนต้นอยู่ห่างออกไปสิบก้าว ส่งเสียงลั่นแล้วหักโค่น ท่อนบนล้มโครมลงกับพื้น
“ฟู่...”
เสวียนเทียนเก็บกระบี่พลางลุกขึ้นยืน สองนิ้วกดบนหน้าอก สูดลมหายใจลึกเข้าไปที่จุดตันเถียนหายใจออกยาวหนึ่งครั้ง
เมื่อลมหายใจกลับมาสงบสายตาของเสวียนเทียนก็ตวัดมองต้นสนไทรเงินที่ถูกตัดราบล้มอยู่ห่างไปสิบก้าวสีหน้าเผยความดีใจ
ขยับไม่กี่ก้าวเสวียนเทียนก็มาถึงหน้าต้นสนไทรเงินที่ถูกตัดขาดมือลูบโคนต้นที่ถูกตัดราบเรียบลื่นมือดั่งผิวกระจก มุมปากก็ขยับยิ้ม
“ปราณกระบี่ ระดับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเจ็ดถึงจะสามารถปลดปล่อยปราณกระบี่ได้พลังวัตรของข้าเพิ่งถึงขั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกก็ใช้ออกมาได้แล้วห่างสิบก้าว ปราณกระบี่ยังตัดต้นสนไทนเงินหนาเท่าปากถ้วยให้ขาดได้ ปราณกระบี่ของข้าอย่างน้อยก็ส่งไปได้ไกลกว่ายี่สิบก้าว”
“ปลดปล่อยปราณกระบี่ได้เป็เครื่องหมายบ่งบอกระดับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเจ็ดแต่ว่าพลังวัตรของระดับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเจ็ดปลดปล่อยปราณกระบี่ได้ไกลที่สุดก็ส่งออกมาได้สิบก้าวหากจะส่งปราณกระบี่ออกมาถึงยี่สิบก้าวเกรงว่าจะต้องมีพลังวัตรของระดับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นแปดถึงจะทำได้”
“เงากระบี่ใน ‘บึงซ่อนกระบี่’ นั่น เป็สิ่งใดกันแน่ไม่เพียงทำให้พลังวัตรของข้าเพิ่มขึ้นสองขั้นในคราเดียวความแข็งแกร่งยังเพิ่มขึ้นมากมายจนเกือบเทียบเท่ากับระดับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นแปดด้วย”
“นอกจากนี้ยังทำให้ข้าเข้าใจเพลงกระบี่ถลาลมขึ้นไปถึงขอบขั้นสูงสุดลุถึงขั้นข้ามสู่เทพวิถี เพลงกระบี่ชั้นทองขั้นกลางก็ใช้ออกมาได้ทรงพลังไม่ต่างจากเพลงกระบี่ของชั้นทองขั้นสูงถึงกับปล่อยปราณกระบี่ออกมาโจมตีได้เลยทีเดียว”
เสวียนเทียนลูบหว่างคิ้วของตนขยับคลึงเบาๆ เอ่ยกับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยความยินดี
“ท่านพ่อไม่สอนเพลงกระบี่วิถีลมปราณของตระกูลให้ความสามารถข้าจึงไม่โดดเด่นในสำนักกระบี่์ ไม่อาจเรียนเพลงกระบี่วิถีปราณขั้นสูงได้แต่เดิมคิดว่าความแค้นใหญ่หลวงในชีวิตนี้ยากจะชำระได้แล้ว แต่ตอนนี้ได้พบเื่นี้เข้าการชำระความล้างหนี้แค้นก็ไม่ไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป เสวียนจี อินจีพวกเ้าคู่สุนัขชายหญิงรอข้าก่อน ต้องมีสักวัน ข้าจะไปปรากฏตัวต่อหน้าพวกเ้าใช้กระบี่ยาวในมือบั่นคอสุนัขของพวกเ้าซะ”
เสวียนเทียนกำหมัดแน่นกัดฟันกรอด ในใจเปี่ยมล้นด้วยความมั่นใจ
“ศิษย์พี่หวง...”
ขณะที่ใจของเสวียนเทียนกำลังหวนกลับไปคิดถึงเื่ราวในอดีตร้องสาบานอยู่ในใจ เสียงะโเรียกก็ดังขึ้นมาจากด้านล่างของูเา
เสวียนเทียนมองลงไปทางตีนเขาเห็นหลินตงอยู่ด้านล่างต่ำลงไปร้อยก้าวกำลังวิ่งมาทางเขาหลังสำนักพลางะโเสียงดัง
เห็นท่าทางร้อนรนของหลินตงดูท่าจะเกิดเื่ใหญ่
ร่างของเสวียนเทียนทะยานออกไปครั้งหนึ่งลอยขึ้นครั้งหนึ่งก็ไปไกลกว่าสิบก้าว ร่างเบาดุจนกนางแอ่นไม่ถึงสิบครั้งก็ทะยานลงเขาไปเกือบร้อยก้าว ไปหยุดตรงหน้าหลินตงที่หอบแฮ่กๆ
“ศิษย์น้องหลิน รีบร้อนมาหาข้าเช่นนี้ เกิดเื่อะไรขึ้นหรือ” พอร่อนลงพื้น เสวียนเทียนก็ถามขึ้น
“หวง...ศิษย์พี่หวง ไม่ดี...แล้ว”
หลินตงหอบหนักกล่าวกระท่อนกระแท่นว่า “ศิษย์พี่หวงสือเขา...เขาขึ้นประลองกับศิษย์พี่จางหู่”
“อะไรนะ” เสวียนเทียนรีบร้อนถาม “นี่มันเกิดอะไรขึ้น วิ่งไปเล่าไปสิ”
เสวียนเทียนลากแขนหลินตงแล้ววิ่งทะยานลงเขาไป
จางหู่มีพลังวัตรลุขั้นสูงสุดของชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นห้าก่อนหน้านี้ที่เสวียนเทียนยังไม่ได้พบเหตุการณ์พิสดารที่บึงซ่อนกระบี่เขาประกระบี่กับจางหู่ด้วยพลังวัตรผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่เพียงสิบเอ็ดกระบวนท่าก็แพ้พ่ายหวงสือเพิ่งมีพลังวัตรชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม ยังห่างกับเสวียนเทียนอีกไกลจะไปเป็คู่ประมือของจางหู่ได้อย่างไร
ในสำนักกระบี่์กฎระเบียบเคร่งครัด ศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนัก ห้ามแอบต่อสู้กันเองหากมีเื่ขัดแย้งสามารถท้าสู้อีกฝ่ายได้ ขอเพียงทั้งสองฝ่ายตกลงยินยอมใช้การต่อสู้จบความขัดแย้งก็ต่อสู้กันโดยอยู่ในสายตาของผู้คนได้
ศิษย์สำนักกระบี่์มีมากมายคนมาก ความขัดแย้งระหว่างกันก็ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงดังนั้นการต่อสู้ระหว่างกันเป็เื่ที่เห็นกันเป็ประจำ
ดังนั้นสำนักกระบี่์จึงสร้างเวทีต่อสู้ขึ้นมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะให้ลูกศิษย์ที่มาต่อสู้มีพื้นที่ถาวรได้ใช้ สร้างขึ้นตรงลานที่ลูกศิษย์มักเดินผ่านให้การต่อสู้ระหว่างลูกศิษย์เกิดขึ้นในสายตาของฝูงชน ป้องกันไม่ให้ลูกศิษย์แอบไปต่อสู้กันเองจนถึงแก่ชีวิตจนเกิดเป็ความขัดแย้งที่ไกล่เกลี่ยไม่ได้แล้วกลายเป็ความแค้น
ในหมู่ลูกศิษย์เรียกเวทีต่อสู้ว่าเวทีประลองการต่อสู้ตัดสินกันระหว่างลูกศิษย์ก็คือการประลองกันนั่นเอง
การขึ้นต่อสู้บนเวทีประลองต้องให้ทั้งสองฝ่ายสมัครใจถึงจะเริ่มได้บังคับกันไม่ได้ แต่ถ้าคนที่ถูกท้าไม่รับคำท้าสู้ก็จะถูกศิษย์คนอื่นดูถูก
แน่นอนว่ามีข้อยกเว้นนั่นก็คือศิษย์ที่มีพลังวัตรสูงท้าศิษย์ที่มีพลังวัตรต่ำหากปฏิเสธทุกคนก็จะย่อมเข้าใจ ถึงอย่างไรพลังวัตรต่ำกว่าขั้นหนึ่งความสามารถย่อมแตกต่างกันมากนัก
ยิ่งพลังวัตรต่างกันสองขั้นความสามารถยิ่งห่างกันไกลเหมือนฟ้ากับดิน
เวลาแบบนี้เมื่อผู้มีพลังวัตรสูงท้าผู้มีพลังวัตรต่ำแล้วผู้ที่มีพลังวัตรต่ำปฏิเสธไม่เพียงแต่จะไม่ถูกดูิ่ กลับกัน ผู้คนจะดูถูกคนที่มีพลังวัตรสูงเสียอีกเพราะว่าศิษย์ที่มีพลังวัตรสูงกว่าท้าศิษย์ที่มีพลังวัตรต่ำกว่าแบบนั้นเห็นชัดๆ ว่ารังแกผู้อื่น
พลังวัตรของจางหู่กับหวงสือห่างกันถึงสองขั้นพูดตามหลักแล้ว หวงสือไม่ควรขึ้นประลองกับจางหู่ได้แต่สถานการณ์กลับตาลปัตรไปหมดจนเสวียนเทียนยังใ
หลินตงถูกเสวียนเทียนลากแขนวิ่งรู้สึกเบาแรงขึ้นอยู่มาก ลมหายใจเริ่มสงบลงก็เล่าว่า “เพราะศิษย์พี่จางหู่ว่าร้ายศิษย์พี่หวงบอกว่าศิษย์พี่หวงหมดสติอยู่ที่บึงซ่อนกระบี่ก็เพราะแพ้ให้แก่เขาแพ้แล้วยอมรับไม่ได้ จึงคิดจะฆ่าตัวตาย ศิษย์พี่หวงสือเถียงว่าศิษย์พี่หวงหมดสติไปเพราะฝึกกระบี่จนเหนื่อย ศิษย์พี่จางหู่ว่าศิษย์พี่หวงว่าเป็...ว่าเป็ขยะแค่ฝึกกระบี่ยังฝึกให้เป็ลมได้ ชีวิตนี้กำหนดมาแล้วให้เป็ขยะศิษย์พี่หวงสือบอกว่าศิษย์พี่หวงไม่ใช่ขยะต้องมีสักวันศิษย์พี่หวงต้องก้าวข้ามศิษย์พี่จางหู่ได้ปรากฏว่าศิษย์พี่จางหู่หัวเราะลั่น บอกว่าตระกูลหวงล้วนแต่เป็ขยะศิษย์พี่หวงเป็ขยะ ศิษย์พี่หวงสือก็เป็ขยะในหมู่ขยะแค่มือเดียวของเขาก็เล่นงานศิษย์พี่หวงสือให้ล้มกลิ้งฉี่ราดได้ศิษย์พี่หวงสือบอกว่าศิษย์พี่จางหู่พูดไร้สาระ ศิษย์พี่จางหู่เลยท้าว่าถ้าเ้าไม่ใช่ขยะในหมู่ขยะก็มาประลองกันสักตั้งข้าจะใช้แค่มือเดียว รับรองตีขยะของขยะอย่างเ้าให้ฟันร่วงกราวกับพื้นศิษย์พี่หวงสือเลยขึ้นประลองกับศิษย์พี่จางหู่”
หลินตงเล่าเื่เหตุที่หวงสือขึ้นต่อสู้กับจางหู่ออกมาจนหมดสิ้นในลมหายใจเดียว