คนทั้งบ้านต่างเริ่มจัดทำอาหารหมักขึ้น หวังซื่อให้หูฉางหลินกลับไปหยิบเขียงและมีดหั่นที่บ้านเก่า หลังจากนั้นย้ายเนื้อมาที่ห้องโถงกลาง ตั้งใจว่าจะหั่นเนื้อบนโต๊ะอาหาร
เจินจูเลือกสามชั้นออกมาไม่กี่ชิ้น เก็บไว้ทำเนื้อตากแห้ง แล้วยังมีหัวหมูหนึ่งชิ้นใหญ่ก็เลือกออกมาเช่นกัน ส่วนเนื้อที่เหลือทั้งหมดหั่นเป็ชิ้นเล็กๆ
ไม่นานนัก หูฉางหลินก็พาชุ่ยจูเข้ามา บนโต๊ะอาหารของห้องโถงหลัก มีหวังซื่อ หลี่ซื่อและหูฉางหลินสามคนกำลังหั่นเนื้อ ผิงอันกับหูฉางกุ้ยกำลังชำระล้างไส้เล็กอยู่ด้านข้าง ไส้เล็กเก้าเส้นเต็มกะละมังใหญ่หนึ่งใบ นี่จึงเป็งานที่ลำบากนัก
หลัวจิ่งค้ำไม้เท้าก้าวเข้ามาในห้องโถงหลัก เห็นว่าทุกคนล้วนยุ่งอยู่กับงาน เขาสองจิตสองใจอยู่ชั่วขณะ ค่อยๆ เดินไปทางผิงอัน เข้าร่วมขบวนขูดลอกชำระล้างไส้เล็ก เจินจูเหลือบเห็นตกตะลึงไปพักหนึ่ง สุดท้ายก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไร เพียงบอกข้อควรระวังอย่างละเอียด เพื่อที่จะไม่เผลอทำให้ไส้เล็กแตก
ชุ่ยจูรับผิดชอบอาหารเย็น นางเริ่มก่อไฟเคี่ยวน้ำแกงกระดูกก่อน หลังจากนั้นหยิบปอดหมูกับไส้ใหญ่ขึ้นมาชำระล้างด้วยความชำนาญ
เจินจูเห็นว่าทุกคนยุ่งอยู่กับงานไม่ต่างกัน สภาพการณ์คึกคักของคนหนึ่งกลุ่มในบ้าน ทำเอานางยิ้มเล็กน้อย ยักไหล่ แล้วเดินเข้าไปในห้องจัดการบดเครื่องเทศ
หินโม่อันเล็กที่ซื้อใหม่วางอยู่มุมห้อง เจินจูหยิบห่อเครื่องเทศขึ้นเริ่มบดแต่ละอย่างให้กลายเป็ผง ใช้กระดาษน้ำมันห่อไว้เรียบร้อย แล้วหาหยิบถ่านดำเล็กๆ มาหนึ่งก้อน ใช้ทำเครื่องหมายทีละห่อจนเสร็จจะได้ไม่เอามาปนกัน
บดเครื่องเทศเป็งานที่พิถีพิถัน หลังบดเจ็ดแปดอย่างเรียบร้อย ก็ผ่านมาครึ่งชั่วยามแล้ว เจินจูลุกขึ้นเหยียดเอวอย่างี้เี “ไอ๊หยา เอวแก่ๆ ของข้า ในที่สุดก็บดเสร็จสักที”
วางห่อเครื่องเทศเรียบร้อย เจินจูจึงเดินออกจากห้อง ในห้องโถงหลักพวกหวังซื่อทั้งสามคนยังหั่นเนื้อกันอยู่ เศษเนื้อในกะละมังกองซ้อนขึ้นจนสูงมาก ส่วนชิ้นเนื้อที่เหลืออยู่บนโต๊ะกลับไม่เยอะ ดูท่าว่าเกือบจะหั่นเสร็จหมดแล้ว
“เจินจู ใกล้หั่นเสร็จแล้ว อีกเดี๋ยวต้องหมักเนื้อ เ้าบดเครื่องเทศเรียบร้อยหรือยัง?” หวังซื่อทำสองอย่างพร้อมกัน งานที่ทำในมือไม่ได้หยุด แต่ดวงตากลับมองที่เจินจูแล้วถาม
“อื้ม เพิ่งจัดการเสร็จ รอหั่นเสร็จก็หมักได้เลย” เจินจูมองเนื้อที่เต็มกะละมังแล้วขมวดคิ้วขึ้น “ท่านย่า บ้านเรามีที่ชั่งน้ำหนักหรือไม่?”
เนื้อซื้อมาเยอะเกินไป ประมาณน้ำหนักเกลือไม่ได้ ครั้งก่อนทำหนแรกก็อาศัยหวังซื่อกะคร่าวๆ ใส่ไป ตอนทำเจินจูจำได้ว่าปกติแล้วเนื้อสิบชั่งใส่เกลือสี่เหลียง [1] ดังนั้นกุนเชียงที่ทำครั้งก่อนแม้จะค่อนข้างเค็ม แต่ไม่เค็มจนเกินไป ส่วนน้ำหนักในขณะนี้มากนัก เป็ธรรมดาที่จะกะใส่ไม่ถูก
“ไม่มี บ้านเราไม่เคยค้าขาย เลยไม่เคยซื้อ” หวังซื่อหั่นไปด้วยกล่าวตอบไปด้วย “ทำไมหรือ? ต้องชั่งน้ำหนักหรือ?”
“อื้ม ครั้งนี้เนื้อค่อนข้างเยอะ กะปริมาณเกลือไม่ได้” เนื้อ 56 ชั่ง เอาหัวหมูหนึ่งชิ้นใหญ่กับสามชั้นแปดชิ้นออกไป เมื่อกี้ก็ให้ชุ่ยจูหยิบไปต้มหนึ่งชิ้น ขณะนี้น่าจะเหลืออยู่ประมาณ 40 ชั่ง ในหัวของเจินจูคำนวณอย่างรวดเร็ว
“นี่ เช่นนั้น เราไปยืมสักอัน?” หวังซื่อลังเลเล็กน้อย
“ไม่แล้ว ยุ่งยากเกินไป เข้าเมืองครั้งหน้าพวกเราซื้อมาเองหนึ่งอัน ครั้งนี้ ตัดหัวหมูกับเนื้อสำหรับตากแห้งออก เนื้อที่เหลืออยู่น่าจะมีประมาณสี่สิบชั่ง เอาเนื้อแบ่งเป็สองส่วน ปกติก็ทำกุนเชียงสองชนิดอยู่แล้ว เช่นนั้นก็ประมาณคร่าวๆ ได้แล้ว” เจินจูอธิบายอย่างละเอียด
“อื้ม เช่นนี้ก็ได้” หวังซื่อพยักหน้า
หยิบเอาราวไม้ไผ่จากที่สูงลงมาแล้วปลดเนื้อหัวหมูตากแห้งคราวก่อนออก ตัดมาหนึ่งชิ้น เนื้อหัวหมูตากแห้งใช้ขิงกับพริกผัดเข้าด้วยกัน กลิ่นนั้นเรียกได้ว่าหอมอย่างมาก กรอบอร่อยกว่าเนื้อตากแห้งอยู่หลายส่วน เมื่อก่อนบิดาคนเก่าของนางชอบทานเนื้อหัวหมูตากแห้งแกล้มกับเบียร์
พวกหลัวจิ่งสามคนยังคงต่อสู้กับไส้เล็กอยู่ สองมือล้วนหนาวจนแดงไปหมด ไส้เล็กในกะละมังเพิ่งทำไปครึ่งเดียว เจินจูพิจารณาอย่างถี่ถ้วนจึงเห็นว่า ไส้เล็กลื่นและเย็น บวกกับกลัวว่าจะทำไส้เล็กแตกขณะล้าง จึงขูดลอกหนังด้วยความระวังเป็พิเศษ เป็ธรรมดาที่งานจะช้าลงไปมาก มีเพียงผิงอันที่เคลื่อนไหวมือเท้าเร็วหน่อย
“ที่นี่หนาวเกินไปแล้ว ข้าจะไปเอากระถางไฟในห้องยู่เซิงมา อย่างน้อยจะได้อบอุ่นหน่อย” ขณะกล่าว ก็วิ่งออกไปห้องหลัวจิ่งแล้วย้ายกระถางไฟมาทันที
วางกระถางไฟไว้เรียบร้อย จึงเติมถ่านเข้าไปอีก ในห้องโถงหลักอบอุ่นขึ้นมาหน่อยจริงๆ ด้วย
“ท่านพี่ ไส้เล็กนี่จัดการยากนัก ทำอยู่นานเพิ่งจะได้เส้นเดียว” ผิงอันมุ่ยปาก เดินมาใกล้กระถางไฟแล้วนั่งลง ถือโอกาสเอามือเล็กที่หนาวจนแดงไปหมดวางไว้บนกระถางไฟ
“อื้ม... ทำยากนิดหน่อย อีกอย่างอากาศหนาวมากนัก ไส้เกาะตัวกันจนเย็น เมื่อครู่ควรเอากระถางไฟมาวางไว้ในห้อง” เจินจูขัดเคืองใจเล็กน้อย เหตุใดเมื่อครู่สมองคิดไม่ได้กัน “เอาล่ะ ค่อยๆ ทำ ไม่รีบร้อน พรุ่งนี้ถึงจะได้ใช้ไส้เล็กนี้ ข้าจะไปทำของอร่อยให้พวกเ้าทาน”
“อะไรอร่อย?” ผิงอันดวงตาสว่างวาบ รีบถามทันที
“ฮิ ฮิ อีกเดี๋ยวเ้าจะรู้แล้ว” เจินจูจงใจทำท่าลึกลับและเดินจากไป
“ชิ ชอบทำให้คนอยากอาหาร ไม่มีน้ำใจจริงๆ” ผิงอันหันไปทำหน้าแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ด้านหลังของนาง
หลัวจิ่งที่อยู่ด้านข้างอดหัวเราะไม่ได้
“หง่าว” เสี่ยวเฮยออกไปเล่นมาครึ่งวัน ในที่สุดก็กลับมาก่อนฟ้ามืด
“เสี่ยวเฮย เ้าวิ่งไปไหนมา? ครึ่งค่อนวันไม่เห็นเ้า?” ผิงอันซักถามเสี่ยวเฮยขึ้นมา เสี่ยวเฮยเดินอ้อมผิงอัน “เหมียว เหมียว” ไม่หยุด
“เอาแต่วิ่งขึ้นเขาอยู่ได้ ระวังถูกสิ่งของทับไว้อีกเล่า บนเขายังมีกับดักสัตว์มากมาย เ้าต้องมองระวังแต่ไกลๆ หากถูกจับไว้ข้าจะไปหาเ้าที่ใดกันเล่า” ผิงอันท่าทางเข้มงวด แล้วยื่นหนึ่งนิ้วออกไปจิ้มหัวน้อยๆ ของมัน
เสี่ยวเฮยก้มหัว ท่าทางรับการสั่งสอน
หูฉางกุ้ยมองอย่างแปลกประหลาดแล้วหัวเราะ “เฮ่อ” เ้าสิ่งเล็กๆ นี่ราวกับฟังคำของมนุษย์เข้าใจก็ไม่ปาน ทำให้คนชอบนัก
ในห้องครัว ชุ่ยจูทำอาหารจานใหญ่พื้นฐานสองสามอย่างเรียบร้อยแล้ว เจินจูหยิบเอาเนื้อหัวหมูให้นาง ชุ่ยจูมองแล้วกล่าวถาม “เนื้อนี่จะทำให้อร่อยอย่างไร?”
“เนื้อแข็งนิดหน่อย หั่นค่อนข้างยาก ให้นำไปลวกน้ำร้อนในหม้อ หลังจากนั้นฝานเป็แผ่น ใส่พริกเล็กน้อยกับขิงแก่ลงไปผัด แค่นี้ก็ได้แล้ว” หากมีขึ้นฉ่ายกับใบกระเทียมแน่นอนว่าจะยิ่งอร่อย น่าเสียดายนัก
ชุ่ยจูฟังจบก็พยักหน้า น้ำในหม้อยังอุ่นอยู่ตลอด ใส่เนื้อลงไปด้านใน เพิ่มฟืน ไม่นานน้ำก็เริ่มเดือนพล่าน
อาหารเย็นหลากหลายมากนัก กับข้าวเต็มหนึ่งโต๊ะ กลิ่นหอมลอยคลุ้งทั่วทั้งห้อง ผิงอันสูดจมูกหายใจเข้าแรงๆ กลืนน้ำลายไม่หยุด
หูฉางหลินไม่ได้อยู่ร่วมโต๊ะ เขาหั่นเนื้อเสร็จ ก็หิ้วกล่องอาหารกลับไปที่บ้านเก่าเลย เหลียงซื่อผ่าน่เวลาที่ต้องระวังสามเดือนแรกมาแล้ว ระยะนี้เริ่มทำงานได้บ้างบางอย่าง พอหุงข้าวหนึ่งหม้อก็เริ่มทานอาหารกันได้
เอาล่ะ วันนี้ลำบากทุกคนแล้ว อากาศหนาว รีบทานข้าวเถิด อีกเดี๋ยวจะเย็นเอา” หวังซื่อคีบเนื้อหัวหมูตากแห้งที่มันวาวหนึ่งชิ้นนำขึ้นก่อน แล้วใส่เข้าในปากเคี้ยวอย่างละเอียด
ทุกคนทยอยกันขยับตะเกียบ ต่างก็มุ่งไปคีบเนื้อหัวหมูตากแห้งที่สดใหม่ ถึงอย่างไรก็ไม่เคยทานมาก่อน จะต้องชิมรสชาติของเนื้อนี่ดูเสียหน่อย
รสชาติในปากเค็ม สด หอม กรอบ เผ็ดเล็กน้อยดียิ่งนัก เคี้ยวหนึบมีลักษณะเฉพาะของอาหารหมัก กลิ่นเครื่องเทศที่ทำการหมักซึมเข้าในเนื้อ รสชาติไม่เลว เจินจูอดภูมิใจเล็กน้อยไม่ได้ ที่ฝีมือครัวน้ำครึ่งถังของตนเองก็ทำอาหารได้เอร็ดอร่อยเช่นนี้ออกมา อร่อยกว่าอาหารหมักที่มารดาคนเก่าของนางตั้งใจหมักอยู่สองสามส่วน ฮิ ฮิ แน่นอน ว่าในคุณงามความดีเป็ของวัตถุดิบเสียส่วนใหญ่ แต่หมูป่าย่อมชนะหมูเลี้ยงอย่างขาดลอย
หลัวจิ่งชิมเนื้อหัวหมูตากแห้งหนึ่งชิ้นอย่างเงียบๆ หลังชิมรสชาติเนื้อตากแห้งกับกุนเชียงมาแล้ว เขากลับไม่ได้รู้สึกว่าเนื้อหัวหมูนี่พิเศษนัก ตรงกันข้าม เขากลับรู้สึกว่ากุนเชียงอร่อยกว่านัก มองเจินจูอยู่แวบหนึ่ง เด็กสาวผู้นี้รูปร่างเล็กเพียงนิด แต่สมองกลับฉลาดอย่างมาก ราวกับว่าอาหารการกินใหม่ๆ ของสกุลหูเหล่านี้ล้วนเป็เจินจูที่คิดขึ้น
ผิงอันทานจนทั่วทั้งปากมันแผล็บ นับั้แ่ที่บ้านเริ่มเลี้ยงกระต่าย บนโต๊ะก็มีอาหารที่ปรุงด้วยเนื้ออยู่บ่อยๆ กับข้าวของวันนี้ยิ่งเต็มโต๊ะขึ้นอีกด้วยซ้ำ เขายัดเข้าปากจนเต็มไปหมด ด้วยใบหน้าอิ่มอกอิ่มใจ
หลี่ซื่อฉีกยิ้ม เอาผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดปากให้ผิงอัน กล่าวเสียงทุ้มต่ำ “ทานช้าหน่อย อย่าสำลัก เนื้อยังมีอีกมาก” อาหารเนื้อสัตว์หนึ่งโต๊ะ มากมายเต็มโต๊ะจริงๆ หลี่ซื่อทอดถอนใจอยู่ข้างใน นานแล้วที่บนโต๊ะอาหารของที่บ้านไม่ได้เต็มโต๊ะเช่นนี้ หลายปีที่ผ่านมาที่บ้านไม่เอื้ออำนวย ชาชั้นเลวและอาหารจืดชืด [2] มาตลอด เลี้ยงดูเด็กสองคนมาอย่างหน้าเหลืองซูบซีด [3] โดยเฉพาะผิงอัน ร่างกายเดิมทีก็ไม่แข็งแรง และยังไม่มีปัจจัยมาบำรุงให้เขาอีก จนกลายเป็เด็กที่ตัวผอมลีบมากกว่าเด็กวัยเดียวกันอย่างมากมาโดยตลอด โชคดีที่ได้เจินจู ความจำดีและสมองยังว่องไว สามารถพึ่งพาอาศัยความทรงจำแต่ก่อน แล้วขบคิดสิ่งที่มีประโยชน์ออกมาได้
รอยยิ้มหวังซื่อไม่ได้ลดน้อยลง คีบอาหารให้เหล่าชนรุ่นหลังทีละคนๆ ความปีติยินดีที่อยู่ในใจยากที่จะเก็บซ่อนไว้
หลังอาหารเย็นผ่านพ้นไป หวังซื่อกับเจินจูสองคนจึงเริ่มหมักเนื้อ เนื้อสองกะละมังกองสูงพูน จะคลุกเคล้าแต่ละทีก็ค่อนข้างลำบากนัก เจินจูใช้พื้นฐานของครั้งที่แล้ว เอาเครื่องเทศเติมความเค็มให้พอเหมาะ หลังผสมเครื่องปรุงที่ปรุงไว้ดีแล้ว จึงะโเรียกหูฉางกุ้ยมา ขั้นตอนคลุกเคล้าให้เข้ากันเป็งานที่ต้องใช้กำลัง ยกให้ท่านพ่อจัดการก็แล้วกัน
ด้านข้างมีเนื้อที่เลือกออกมาเป็พิเศษยังต้องหมักอีก หวังซื่อกับเจินจูเริ่มทาเกลือเป็รสแรก ทันทีหลังจากนั้นค่อยเติมเครื่องเทศกับน้ำตาลทรายคลุกเคล้ากลับไปกลับมา อันที่จริง มีหนังสือที่บอกวิธีทำมากมายเกี่ยวกับเนื้อตากแห้งและกุนเชียงในแต่ละพื้นที่ บางที่ใช้เวลาในการหมักนานเล็กน้อย บางที่วันที่สองก็เอาออกไปแขวนตากแดดได้เลย แล้วยังมีแบบรมควันไว้บนแท่นเตาตลอดเวลาด้วย วิธีทำแต่ละอย่างล้วนมีครบ อย่างไรเสียรสชาติของแต่ละพื้นที่ก็มีความแตกต่างกัน
เหมือนกับบ้านของนาง เมื่อก่อนล้วนหมักไว้หนึ่งคืน วันที่สองจึงเอาออกไปแขวนตากแดด ตากแดดมากกว่าสามวันห้าวัน หลังจากนั้นก็แขวนไว้ชายคาผึ่งลมให้แห้ง ประมาณครึ่งเดือนก็ทานได้แล้ว วิธีการง่ายดายไม่ซับซ้อน
ผ่านไปสามวัน อากาศแจ่มใส การปรากฏของดวงอาทิตย์อันอบอุ่นในฤดูหนาวหาได้ยากนัก หิมะที่ปกคลุมอยู่พื้นดินค่อยๆ ละลาย แสงอาทิตย์ที่สาดส่องมาบนร่างกายผู้คน ทำให้บรรยากาศอบอุ่นและมีความสุขกลมเกลียว แต่ละครอบครัวต่างก็เอาผ้านวม เสื้อนวมออกมาแขวนตากแดด
ครอบครัวของเจินจูเริ่มมีงานยุ่งั้แ่เช้าตรู่ที่ดวงอาทิตย์ขึ้น ในลานบ้านั้แ่ซ้ายถึงขวาล้วนเรียงราวไม้ไผ่ไว้ ข้างหน้าตากผ้านวมสองชั้น ข้างหลังตากเสื้อนวมสองชั้น จากนั้นเอาเนื้อตากแห้งและกุนเชียงในบ้านทั้งหมดออกมาผึ่งแดด ทันใดนั้นทั่วทั้งลานบ้านก็เปลี่ยนไปจนอัดแน่นไม่น้อย
ยุ่งอยู่กับงานมาตลอดเช้าตรู่ เจินจูมองผลงานเต็มลานบ้านด้วยจิตใจมีความสุข อาหารหมักที่ทำขึ้นชุดแรกก่อนหน้านี้ วันนี้แห้งเป็มันขลับแล้ว สีสันความวาวชัดเจนนัก ส่วนที่เพิ่งจะเริ่มแห้งทำขึ้นตอนหลังได้ไม่นาน ผ่านการตากแดดที่แรงเช่นนี้ เชื่อว่าตอนเย็นน่าจะแห้งไปมากเลยทีเดียว
“ท่านพี่ กระต่ายตีกันอีกแล้ว” เสียงของผิงอันโกรธเป็ฟืนเป็ไฟดังสะท้อนมาจากหลังบ้าน
เจินจูหมุนกายเดินกลับไปทางกระท่อมกระต่าย นับั้แ่กระต่ายรุ่นนี้โตขึ้น พอปล่อยกระต่ายตัวผู้ไม่กี่ตัวออกมาเคลื่อนไหวมักตีกันอยู่บ่อยครั้ง
“ตีกันอีกแล้วหรือ?” เจินจูเข้ามาใกล้
“อืม กระต่ายที่ค่อนข้างใหญ่สองตัวนี้เอาแต่ครองพื้นที่” ในมือผิงอันคว้าหนึ่งตัวไว้แน่น ส่วนอีกหนึ่งตัวอยู่ในที่กั้น
“อืม…” เจินจูลูบคาง “จับกระต่ายตัวผู้ตัวใหญ่สองสามตัวขึ้นมาให้หมด อีกเดี๋ยวเอาไปขายทิ้งเสีย”
“เอาไปขายวันนี้?” ผิงอันกะพริบตา
“ฮิ ฮิ... ผิงอัน อยากไปหรือไม่?” เจินจูมองเขาแล้วหัวเราะ
เชิงอรรถ
[1] เหลียง ในที่นี้ยังหมายถึง เป็หน่วยน้ำหนัก มีค่า 50 กรัม ต่อ 1 เหลียง
[2] ชาชั้นเลวและอาหารจืดชืด หมายถึง อาหารพื้นๆ ตามแบบแผนชีวิตที่เรียบง่าย
[3] หน้าเหลืองซูบซีด ใช้แสดงถึงคนที่มีลักษณะขาดสารอาหารหรือเจ็บป่วย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้