หนิงมู่ฉือเป็ถึงคุณหนูใหญ่แห่งจวนแม่ทัพ แม้จะมีความผิดติดตัว ทว่าเมื่อถูกจ้าวซีเหอหยอกเย้าเช่นนี้ ย่อมต้องหน้าแดงเป็ธรรมดา
หนิงมู่ฉือผลักจ้าวซีเหอออก พลางขมวดคิ้วและกลอกตาใส่ ทว่าทำเสร็จก็คิดขึ้นมาได้ว่า การกระทำเมื่อสักครู่ของนางมันไม่เหมาะสม
นางก้มหน้าอย่างนอบน้อมเอ่ยกับจ้าวซีเหอด้วยน้ำเสียงเคารพยิ่ง “ซื่อจื่อ บ่าวเสียมารยาทแล้ว แต่ขอได้โปรดอย่าทำตัวไม่สำรวมกับบ่าวเช่นนี้อีกเลยนะเ้าคะ”
จ้าวซีเหอถูกหนิงมู่ฉือผลักไปกระแทกกับรถม้า เวลานี้กำลังเอามือลูบศีรษะป้อยๆ พร้อมกับมองหนิงมู่ฉืออย่างไม่พอใจ
ทว่าพอได้เห็นท่าทางของหนิงมู่ฉือ ยิ่งทำให้จ้าวซีเหออยากหยอกล้อนางอีกอย่างน่าประหลาด “ดีมาก เ้ากล้าทำเช่นนี้กับซื่อจื่ออย่างข้าเชียวหรือ ดูท่าการรับเ้าเข้าเรือนเป็สาวใช้ข้างห้องถือว่าเป็ความคิดที่ถูกต้อง ข้าชมชอบสตรีดุเดือดเช่นเ้าที่สุด เสียดายก็แต่เ้าหน้าตาธรรมดาไปสักหน่อย”
หนิงมู่ฉือได้ยินประโยคนี้ ลอบก่นด่าในใจ หากเข่ากลับลดลงต่อหน้าเขา มองจ้าวซีเหอด้วยแววตาน่าสงสาร
“คิดจะทำอันใด เหตุใดถึงมองข้าแบบนี้” จ้าวซีเหอสบตาของหนิงมู่ฉือ ในใจพลันเกิดความรู้สึกสงสารขึ้นมา
หนิงมู่ฉือพยายามบีบน้ำตา นางกอดขาจ้าวซีเหอพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น “ซื่อจื่อ! ตอนนี้บ่าวไม่มีพ่อแม่แล้ว บ่าวทำอาหารอยู่ในตำหนักอ๋องรับใช้ท่านยังไม่พออีกหรือเ้าคะ เหตุใดยังต้องให้บ่าวเป็สาวใช้ข้างห้องของท่านด้วย!”
จ้าวซีเหอถูกหนิงมู่ฉือร้องห่มร้องไห้ใส่ถึงกับทำอันใดไม่ถูก ดวงตาเรียวยาวและแววตาดอกท้อจ้องการกระทำเช่นนั้นของหนิงมู่ฉือนิ่ง ก่อนจะโน้มตัวลงไปกระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงรังเกียจ “เช็ดน้ำมูกของเ้าเสีย”
หนิงมู่ฉือได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นยืนทันควัน แต่ด้วยความที่รถม้ากำลังวิ่งอยู่จึงโคลงเคลงไม่น้อย ทำให้ศีรษะนางไปกระแทกกับหลังคา นางเอามือกุมศีรษะด้วยสีหน้าเ็ป เห็นจ้าวซีเหอมองมาพร้อมกับหัวเราะเยาะ นางโมโหจนต้องหันหลังให้
“ทำให้ซื่อจื่อต้องขบขันแล้ว” นางนั่งพิงรถม้าด้วยสีหน้าขวยเขิน
จ้าวซีเหอเลิกผ้าตรงหน้าต่างออกดูด้านนอก ทำให้หนิงมู่ฉือพบว่านี่ไม่ใช่ทางกลับตำหนักอ๋อง นางะโถาม “กำลังจะไปที่ใดเ้าคะ!”
จ้าวซีเหอมองท่าทีร้อนรนของหนิงมู่ฉือด้วยสีหน้าเ้าเล่ห์ “ไปสถานที่ดีๆ อย่างไรเล่า”
จ้าวซีเหอโยนเสื้อผ้าบุรุษให้พลางเอ่ยเสียงเข้ม “เปลี่ยนเสีย แล้วคอยตามข้า”
หนิงมู่ฉือมองสีหน้าท่าทางเช่นนั้นของจ้าวซีเหออย่างไม่พอใจ พอได้ยินอีกฝ่ายบอกว่าจะให้นางเปลี่ยนเสื้อผ้า นางรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาในทันใด “นี่ นี่จะให้เปลี่ยนในนี้หรือเ้าคะ!” นางคิดในใจ คงไม่ได้ให้เปลี่ยนในรถม้าหรอกใช่หรือไม่ แบบนั้นเขาก็เห็นรูปร่างของนางทั้งหมดสิ!
จ้าวซีเหอหันตัวไปอีกด้าน ยิ้มร้ายกาจขณะที่ปากกล่าวอย่างไม่ค่อยจะพอใจนัก “ก็ต้องเปลี่ยนในรถม้าสิ หรือคิดว่าซื่อจื่ออย่างข้าจะแอบดูรูปร่างที่ไม่ได้เื่ของเ้า”
หนิงมู่ฉือแค่นเสียงหึคำหนึ่ง เมื่อเห็นจ้าวซีเหอหลับตาจริงๆ นางรีบเปลี่ยนไปสวมเสื้อผ้าบุรุษอย่างว่องไว ทว่าสวมแล้วมันกลับหลวมโพรกเหลือเกิน
จ้าวซีเหอได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวหยุดลงจึงลืมตาขึ้น มองหนิงมู่ฉือที่อยู่ในเสื้อผ้าบุรุษหลวมโพรก เขาหัวเราะออกมาโดยไม่สนภาพลักษณ์ของตัวเอง “หนิงมู่ฉือ เ้ามีดีแค่ทำกับข้าวอย่างเดียวสินะ!”
หนิงมู่ฉือเกลียดท่าทีโอหังของคนตรงหน้าเหลือเกิน หากติดที่ฐานะในปัจจุบันของนาง นางจึงไม่อาจพูดอันใดออกไปได้
รถม้าหยุดวิ่ง คนขับยิ้มพร้อมกับกล่าวรายงาน “ซื่อจื่อ ถึงหอจุ้ยหงแล้วขอรับ”
จ้าวซีเหอพยักหน้ารับรู้ ประโยคนี้ทำเอาหนิงมู่ฉือที่อยู่ด้านข้างชะงักไป หอจุ้ยหง หรือจ้าวซีเหอติดหนี้สินมากมายจึงจะนำตัวนางมาขายให้หอนางโลม? สีหน้านางเปลี่ยนเป็หวาดกลัว
จ้าวซีเหอจับชุดของหนิงมู่ฉือพลางลากลงจากรถม้า “เ้าจะลงจากรถได้หรือยัง!”
หนิงมู่ฉือพลันได้สติรีบส่ายหน้ารัวทันที ก่อนจะเปลี่ยนเป็พยักหน้า นางมองจ้าวซีเหอที่จับเสื้อผ้าของนางแน่น และพยายามลากลงจากรถม้าอย่างรำคาญใจเล็กน้อย นางเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นอีกครา “ซื่อจื่อ! บ่าวสำนึกผิดแล้วเ้าค่ะ เห็นแก่ที่บ่าวทำน้ำแกงให้ท่านทุกวัน อย่าขายบ่าวให้หอนางโลมเลยนะเ้าคะ”
จ้าวซีเหอได้ยินถึงกับพูดอันใดไม่ออก กระทั่งขมับเริ่มปวดตุบๆ “สมองเ้าคิดอันใดอยู่นะ ข้าแค่จะมาหานางโลมอันดับหนึ่งของหอจุ้ยหง ฉู่เมิ่งเอ๋อร์ เท่านั้น”
หนิงมู่ฉือได้ยินก็รู้สึกอับอายเหลือเกิน จนแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี นางลงจากรถมาด้วยสีหน้าเก้อเขินแล้วเดินตามจ้าวซีเหอเข้าไปในหอจุ้ยหง
หนิงมู่ฉือมองสำรวจไปรอบๆ ภายในหอจุ้ยหง ตลอดทางมีหญิงสาวแต่งหน้าแต่งตัวราวกับภูตผีใช้ผ้าเช็ดหน้าลูบไล้ตามตัวจ้าวซีเหออย่างยั่วเย้า
ในใจนาง จ้าวซีเหอคือคุณชายเสเพล นางนึกว่าเจอเหตุการณ์นี้เข้า เขาต้องอดใจไม่ไหวแน่นอน ที่ไหนได้แม้แต่หางตาเขาก็ไม่แล ทั้งยังเดินตรงไปยังห้องของฉู่เมิ่งเอ๋อร์
นางเองก็อยากเห็นหน้าตาของหญิงงามอันดับหนึ่งของหอจุ้ยหงแห่งนี้เช่นกัน
จ้าวซีเหอเคาะประตูห้องของฉู่เมิ่งเอ๋อร์เบาๆ ก่อนเสียงกุกกักพร้อมกับเสียงกล่าวว่าเปิดแล้วจะตามมา ฉู่เมิ่งเอ๋อร์เห็นว่าเป็จ้าวซีเหอก็ยิ้มกว้างออกมาทันที
หนิงมู่ฉือแอบเหลือบมองฉู่เมิ่งเอ๋อร์ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าก้มตาลงอย่างเจียมตัวเช่นเดิม
ฉู่เมิ่งเอ๋อร์มีรูปร่างอรชรอ้อนแอ้น หน้าอกใหญ่ก้นงามงอน ดวงตาเรียวคม ผิวนุ่มจนแทบจะเค้นน้ำออกมาได้ สวมเสื้อผ้าเปิดไหล่สีแดงมีพู่ห้อยอยู่รอบๆ เปิดเผยผิวเกลี้ยงเกลาให้ได้ยล ฉู่เมิ่งเอ๋อร์เห็นจ้าวซีเหอพลันยิ้มหวานพร้อมกับกล่าวทักทาย “ซื่อจื่อ มาแล้วหรือเ้าคะ เมิ่งเอ๋อร์ไม่ได้เจอท่านตั้งนาน”
หนิงมู่ฉือได้กลิ่นแป้งทาหน้าของสตรีฉุนกึกจากตัวฉู่เมิ่งเอ๋อร์จึงยกมือปิดจมูกตามสัญชาตญาณ
สายตาฉู่เมิ่งเอ๋อร์เหลือบไปเห็นหนิงมู่ฉือที่ยืนอยู่ด้านหลังจ้าวซีเหอ แววตาเปลี่ยนเป็ริษยา นางชี้นิ้วไปที่หนิงมู่ฉือพลางเอ่ยถามว่า “ซื่อจื่อ ท่านพาสตรีเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร แล้วสตรีนางนี้เป็ผู้ใดกัน”
จ้าวซีเหอหันไปมองหนิงมู่ฉือครู่หนึ่ง หนิงมู่ฉือรีบก้มหน้าทันใด
จ้าวซีเหอตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “นางเป็เพียงแม่ครัวในตำหนักข้าเท่านั้น”
ฉู่เมิ่งเอ๋อร์เดินตรงเข้าไปหาหนิงมู่ฉือ ริมฝีปากยกยิ้มพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “หืม แม่ครัวผู้นี้ฝีมือฉกาจเท่าใดกันหนอจึงสามารถติดตามอยู่ข้างกายซื่อจื่อได้ตลอดเวลาเช่นนี้”
หนิงมู่ฉือฟังออกถึงการเหน็บแนมในประโยคนี้ ในใจคิด แม้ฉู่เมิ่งเอ๋อร์จะเปี่ยมเสน่ห์ ทว่านิสัยไม่ได้เื่เอาเสียเลย ในใจเกิดโทสะจนข่มกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป เอ่ยโต้กลับไปด้วยรอยยิ้ม “ฉู่เสียวเจี่ย[1] กล่าวชมเกินไปแล้ว”
[1] เสียวเจี่ย คำที่ใช้เรียกผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงานและหญิงที่ขายบริการ