รุ่งเช้าวันต่อมา
เมื่อหลิวเมิ่งและเสี่ยวหนิงมาถึงประตูเมืองตะวันออก ไป๋หยุนเฟยก็มาถึงก่อนแล้วเกือบชั่วโมง
“หยุนเฟย ข้าขออภัยที่มาสาย” หลิวเมิ่งเร่งฝีเท้าเดินเข้าหาไป๋หยุนเฟยพลางกล่าวขอโทษด้วยสีหน้าสำนึกผิด
“ฮ่า ฮ่า ไม่เป็ไร ข้าเพิ่งมาถึงได้ไม่นานเช่นกัน...” ไป๋หยุนเฟยหัวเราะด้วยท่าทีไม่นำพา โดยที่ไม่ยอมบอกว่ามารอท่ามกลางอากาศหนาวอยู่เนิ่นนานแล้ว
“คุณชายหยุนเฟย ท่านอย่าได้โทษว่าคุณหนู” เสี่ยวหนิงที่ด้านข้างกล่าวสอดคำ “เมื่อเช้าคุณหนูป่วยไข้อีกครากระทั่งรับประทานยาที่ข้ารีบเตรียมให้แล้วจึงดีขึ้นบ้าง จากนั้นคุณหนูจึงเร่งรุดมาที่นี่ทันที”
“โอ? จริงหรือ? เมิ่งเอ๋อร์ท่านเป็อย่างไรบ้าง? ท่านไม่เป็ไรแล้วกระมัง? ถ้าเช่นนั้นเราอย่าเพิ่งไปยังูเาชิงฉวนวันนี้เลย” ไป๋หยุนเฟยสีหน้ามันแปรเปลี่ยนไปรีบสอบถามไม่หยุดยั้งด้วยท่าทีกังวลใจ
หลิวเมิ่งราวกับไม่คาดคิดว่าไป๋หยุนเฟยจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้จึงงงงันวูบก่อนจะกล่าวด้วยแววตายิ้มแย้ม “ข้าไม่ถึงกับอ่อนแอเพียงนั้น อย่าลืมว่าข้าเป็ผู้ฝึกปรือิญญา! ท่านสงบใจก่อน ข้าไม่เป็ไรแล้ว ตราบใดที่อาการข้าไม่กำเริบขึ้นก็ไม่มีใดน่าเป็ห่วง”
“โอ เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี...” เมื่อพบว่าเสียกิริยาไป๋หยุนเฟยจึงเกาศีรษะด้วยท่าทีกระดากอาย จากนั้นราวกับนึกบางอย่างออกจึงยื่นมือขวาไปด้านหลัง เมื่อดึงออกมาก็ถือถังหูลู่เอาไว้ในมือ
“เมิ่งเอ๋อร์นี่คือถังหูลู่ที่ข้าซื้อมาให้ท่านโดยเฉพาะ” ขณะมองดูสีหน้าประหลาดใจของหลิวเมิ่ง ไป๋หยุนเฟยก็ยื่นถังหูลู่ให้พร้อมกับรอยยิ้ม
“หยุนเฟย ท่าน ไฉนท่านจึงทราบว่าข้าชอบรับประทานถังหูลู่?” หลิวเมิ่งยื่นมือรับด้วยรอยยิ้มเบิกกว้าง พลางถามอย่างสงสัย
“เอ่อ ข้าเห็นสตรีบนท้องถนนชมชอบรับประทานจึงซื้อมาให้แก่ท่าน” ไป๋หยุนเฟยกลับไม่บ่งบอกความจริงออกไป มันไม่กล้าบอกว่าเมื่อคราที่พบกันครั้งแรก มันชนถังหูลู่ในมือหลิวเมิ่งหล่นพื้น และแม้จะซื้ออีกไม้มาชดใช้ให้ก็ยังถูกจางหยางกระแทกหล่นอีก...
“หือ คุณชายหยุนเฟยท่านลำเอียงนัก หรือข้าไม่ใช่สตรี? ท่านกลับซื้อให้แต่คุณหนู เหอะ เหอะ พฤติกรรมท่านช่างมีเลศนัยนัก!” น้ำเสียงขุ่นเคืองของสาวใช้เสี่ยวหนิงดังมาจากด้านข้างทำให้ไป๋หยุนเฟยนิ่งงันไป พร้อมกับใบหน้ากลายเป็แดงฉาน
“คิก คิก ข้าเพียงหยอกล้อท่านเท่านั้น คุณชายหยุนเฟยอย่าได้มีโทสะ!” เห็นท่าทีเขินอายของไป๋หยุนเฟยเช่นนี้ เสี่ยวหนิงจึงแลบลิ้นกล่าวอย่างซุกซน
ไป๋หยุนเฟยได้แต่หัวเราะแห้งๆ ไม่ทราบจะตอบโต้สาวใช้นางนี้อย่างไร จึงได้แต่กล่าวกับหลิวเมิ่ง “เอ่อ ฮ่า ฮ่า เมิ่งเอ๋อร์ไปกันเถอะ...”
“ตกลง ไปกันเถอะ”
…………
ต้นหญ้า บุปผา พฤกษา สกุณา น้ำพุ สายลม...
นับเป็ครั้งแรกที่ไป๋หยุนเฟยรู้สึกว่าการปีนขึ้นสู่ยอดเขาช่างเพลิดเพลินนัก กล่าวถึงเื่นี้ต้องนับว่าไป๋หยุนเฟยเป็‘ผู้เชี่ยวชาญการปีนเขา’ แม้แต่ตัวมันเองก็ไม่ทราบว่าปีนป่ายูเามามากเท่าใดั้แ่ออกจากเมืองลั่วซีมา แต่ที่ผ่านมาล้วนปีนเขาเพื่อเร่งรุดเดินทางและเพื่อหลบหนีเอาชีวิตรอดแทนที่จะได้เพลิดเพลินกับเื่ราวรอบกายเช่นวันนี้
หรือบางทีที่ทำให้ไป๋หยุนเฟยเบิกบานใจกลับไม่ใช้ทิวทัศน์ของูเา แต่เป็ผู้ที่เดินอยู่เคียงข้าง...
ไป๋หยุนเฟยตักน้ำพุใสสะอาดมาชามหนึ่ง เดินเข้าหาหลิวเมิ่งที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ หลังจากยื่นส่งให้แก่หญิงสาวจึงกล่าวว่า “เมิ่งเอ๋อร์เหน็ดเหนื่อยหรือไม่? หากเหน็ดเหนื่อยพวกเราหยุดพักที่นี่สักครู่ดีหรือไม่?”
“ฮ่า ฮ่า หากข้าไม่เหนื่อยเล่า?” หลิวเมิ่งรับชามใส่น้ำพุมาดื่มอึกหนึ่งก่อนจะกล่าวอย่างนุ่มนวล “ท่านลืมเลือนว่าข้าเป็ผู้ฝึกปรือิญญาอีกแล้ว เดินเพียงระยะทางสั้นๆไม่นับเป็อย่างไรได้ ไปกันต่อเถอะ เราต้องไปให้ถึงยอดเขาก่อนเวลาเที่ยง”
ไป๋หยุนเฟยรับชามกลับคืนมาและดื่มน้ำพุที่เหลืออยู่จนหมดชาม เมื่อหลิวเมิ่งที่ด้านข้างมองเห็นมันทำเช่นนี้ใบหน้าจึงแปรเปลี่ยนเป็แดงซ่านเล็กน้อย
“โอ เมื่อเป็เช่นนั้นข้าก็ไม่คัดค้าน พวกเรา...”
“ข้า... ข้าขอคัดค้าน!!” น้ำเสียงขุ่นเคืองปนหอบหายใจดังมาจากด้านหลังคนทั้งสอง เมื่อทั้งคู่หันไปมองจึงได้เห็นสาวใช้เสี่ยวหนิง‘เคลื่อนที่’เข้ามาทีละก้าวพลางก้มตัวเอามือเท้าสะเอว
“คุณ...คุณหนู คุณชายหยุนเฟย... ท่านทั้งคู่ ท่านทั้งคู่ช่างใจดำนัก!” เสี่ยวหนิงเดินเข้าหาทั้งคู่อย่างยากเย็นพลางอ้าปากกว้างหอบหายใจไม่หยุด ขณะเดียวกันก็แสดงสีหน้าบูดบึ้งกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ท่านทั้งคู่คิดว่าจะสามารถทอดทิ้งข้าไว้เื้ัได้เพียงเพราะ... เพียงเพราะพวกท่านเป็ผู้ฝึกปรือิญญาเช่นนั้นหรือ? ข้า...ข้าเหน็ดเหนื่อยแทบตายแล้ว...”
ไป๋หยุนเฟยและหลิวเมิ่งสบตากันอย่างละอาย ขณะไป๋หยุนเฟยมองดูเสี่ยวหนิงที่ใบหน้าบูดบึ้งมองมาอย่างขุ่นเคือง ดวงตามันก็กลอกกลิ้งพร้อมกับฉายแววคึกคะนอง
“เมิ่งเอ๋อร์ ไฉนเราไม่แข่งขันกันว่าผู้ใดจะไปถึงยอดเขาได้ก่อน?” ไป๋หยุนเฟยเสนอต่อหลิวเมิ่งอย่างยิ้มแย้ม
อีกฝ่ายกลับงงงันวูบก่อนจะกวาดตามองเสี่ยวหนิง จากนั้นแววตานางพลันฉายแววซุกซนก่อนจะพยักหน้ากล่าวว่า “ตกลง มาแข่งขันกัน แต่ว่า... ท่านต้องต่อให้ข้าไปก่อน!”
เพื่อฉวยโอกาสจากไป๋หยุนเฟยที่งงงัน ทันทีที่กล่าวจบคำหลิวเมิ่งก็ทะยานกายออกไปก่อนที่ไป๋หยุนเฟยจะทันได้ตั้งตัว ทิ้งไว้เพียงสายลมหอมละมุนพัดผ่านไป ด้วยเสื้อผ้าที่สะบัดพลิ้วหลิวเมิ่งทะยานกายขึ้นเขาอย่างรวดเร็วดูราวกับเทพธิดาชุดครามที่แสนงดงาม
ที่จริงไป๋หยุนเฟยเพียงชะงักไปชั่ววูบก่อนจะรู้สึกตัว แต่แทนที่จะไล่ตามในทันทีมันกลับรอจนหลิวเมิ่งจากไปไกล ก่อนจะเหลียวมองเสี่ยวหนิงที่ยังคงสับสนอยู่ จากนั้นค่อยส่งเสียงหัวร่อพลางทะยานกายไล่ตามขึ้นเขาไป
“นี่ นี่!! คุณหนู! คุณชายหยุนเฟย!! ท่านทั้งคู่ช่างไร้น้ำใจนัก!”
เสียงร่ำร้องอย่างโกรธแค้นของเสี่ยวหนิงดังมาจากด้านหลัง ขณะเดียวกันเสียงหัวเราะน่าลุ่มหลงของหลิวเมิ่งก็ลอยตามลมลงมาจาก้า ไป๋หยุนเฟยจึงหัวเราะฮ่าฮ่าวิ่งไล่ตามขึ้นยอดเขาไป
ในยามนี้ มันสามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกอันผ่อนคลายและเบิกบานใจอย่างที่ไม่เคยััมาก่อน
…………
บนยอดเขา ไป๋หยุนเฟยและหลิวเมิ่งนั่งเคียงคู่บนพื้นหญ้าจับจ้องมองผืนหญ้ากว้างใหญ่และพฤกษาหลากหลายเบื้องล่างอย่างเงียบงัน
สายลมโชยผ่านทั้งคู่ พัดเส้นผมหลิวเมิ่งพลิ้วสะบัดลูบไล้ใบหน้าไป๋หยุนเฟย เมื่อหญิงสาวรู้สึกตัวจึงส่งยิ้มให้พลางใช้มือรวบผมทัดไว้หลังหูตนเอง
“หยุนเฟยขอบคุณท่าน...” หลิวเมิ่งเอ่ยปากอย่างแ่เบาทำลายความเงียบงัน ขณะจ้องมองวิหคที่โฉบผ่านไป
“โอ? ไฉนท่านจึงกล่าวเช่นนี้อีก? มิใช่ว่าข้าบอกต่อท่านเมื่อวานว่า...”
“มิใช่แค่เมื่อวาน แต่รวมถึงวันนี้ด้วย” ก่อนที่ไป๋หยุนเฟยจะทันกล่าวจบก็ถูกหลิวเมิ่งกล่าวตัดบท นางสั่นศีรษะแ่เบากล่าวว่า “ขอบคุณที่ออกมาเป็เพื่อนข้า ปกติแล้วคนที่ออกมากับข้ามีเพียงเสี่ยวหนิงเท่านั้น แม้นางจะเป็สาวใช้แต่ก็เป็เหมือนน้องสาวข้า... แต่นอกจากเสี่ยวหนิงแล้วข้าไม่เคยมีสหายมาก่อน ก่อนหน้านี้เป็เพราะร่างกายข้าอ่อนแอ แต่ภายหลังเป็เพราะผู้ที่เข้าหาข้าล้วนมาแฝงเจตนาเลวร้าย ข้าจึงไม่ยินยอมคบหาผู้ใดเป็สหาย”
“ท่านรู้อะไรหรือไม่? แม้ข้าเป็ผู้ฝึกปรือิญญา แต่ยังไม่อาจใช้ชีวิตดังที่้า...” ขณะใช้มือเล่นกับใบหญ้าเบื้องหน้าหลิวเมิ่งก็กล่าวอย่างเชื่องช้า “เพื่อรักษาโรคภัยในร่าง ข้าทุ่มเทเวลาแทบทั้งหมดฝึกปรือิญญา น้อยครั้งที่ข้าจะออกมาท่องเที่ยว แต่ละครั้งก็ล้วนเพื่อผ่อนคลายยามเผชิญอุปสรรคระหว่างการฝึกปรือเท่านั้น”
“บิดาข้า... ท่านทำการค้า จึงทำทุกวิถีทางเพื่อขยายกิจการ ไม่เว้นแม้แต่ใช้การแต่งงานของข้า...”
“สำนักธารน้ำแข็งทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของมณฑลฉิงหยุนมีผู้าุโคนหนึ่งแซ่หลิว... บิดาข้าถึงกับประโคมโอ่ความสัมพันธ์ทางสายเืกับมันเพื่อหวังจะให้สำนักธารน้ำแข็งหนุนหลัง”
“ต่อมา ท่านจึงประจบผู้าุโสำนักธารน้ำแข็งอีกคนนามว่าจางเจิ้นซาน และเริ่มทำการค้ากับตระกูลจางในเมืองลั่วซี นี่ทำให้บิดาข้าตื่นเต้นดีใจเป็ที่สุด และเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลบิดาจึงหมั้นหมายข้ากับนายน้อยตระกูลจางนามว่าจางหยาง”
“ครั้งนั้นข้าอายุเพียงสิบสี่จึงไม่อาจคัดค้าน อีกทั้งบิดาข้าก็ไม่ยินยอมให้คัดค้าน ข้าอับจนปัญญาจึงได้แต่หวังว่าจะบรรลุด่านภูติญญาโดยเร็ว เมื่อถึงยามนั้นข้าก็จะเข้มแข็งพอจะปฏิเสธได้...”
“ั้แ่นั้นมา จางหยางก็พยายามเข้าหาข้า ข้าทราบว่ามันทำเช่นนี้ก็ด้วยปรารถนาต่ำช้าของมัน”
“ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างบิดาข้ากับตระกูลจางยิ่งมายิ่งใกล้ชิด ตระกูลจางนับว่าทรงอิทธิพลจึงไม่อาจล่วงเกินได้ ในที่สุดแม้แต่ข้ายังต้องไปยังเมืองลั่วซีบ่อยครั้งเพื่อเยี่ยมเยียนในฐานะ‘ว่าที่’สะใภ้...”
ยามกล่าววาจาน้ำเสียงหลิวเมิ่งกลับแฝงด้วยความคับข้องและเศร้าเสียใจ แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อกล่าวถึงตรงนี้นางกลับเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“แต่ไม่กี่วันก่อน บิดาข้าได้รับข่าวว่า... จางหยางกลับถูกฆ่าตายอย่างไม่คาดฝัน!”
