อากาศนับวันก็ยิ่งหนาวเย็น คนในสนามม้าลดลงไปมาก แต่เฉียวเยว่ยังคงไปฝึกขี่ม้าวันเว้นวันไม่เปลี่ยนแปลง
แม้อากาศหนาวก็ไม่มีข้อยกเว้น ฉีอันมาพร้อมกับนางตลอด สองพี่น้องมีความมานะพยายามอย่างยิ่ง
คนที่มาพร้อมกันสม่ำเสมอยังคงเป็ิ่จื้อรุ่ย ตราบใดที่สำนักศึกษาไม่มีเรียนเขาก็จะมาเป็เพื่อนทั้งสองคน เดิมทีเขาก็ชอบขี่ม้ายิงธนูมากเป็ทุนเดิมอยู่แล้ว มักมาสนามม้าเป็ประจำจึงคุ้นเคยกับที่นี่เป็อย่างดี ตอนนี้เฉียวเยว่กับฉีอันมาฝึกเพื่อเตรียมสอบ เขาย่อมมาเป็เพื่อนและชี้แนะให้บ้างเป็ครั้งคราว
ซูซานหลางหาครูมาฝึกสอนให้พี่น้องสองคนโดยเฉพาะ เขาเป็เพียงผู้ช่วยอยู่ด้านข้าง
ต้องบอกว่าการแสดงออกของิ่จื้อรุ่ยภายใต้สถานการณ์เช่นนี้แท้จริงแล้วอาจถูกผู้อื่นครหานินทา ถึงอย่างไรเฉียวเยว่ก็ไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้ว แต่อาจเป็เพราะิ่จื้อรุ่ยมีอุปนิสัยเ็า และเป็ศิษย์ของซูซานหลาง จึงทำให้คนรู้สึกว่าเขาเพียงมาช่วยดูแลบุตรทั้งสองคนของอาจารย์
นอกจากนี้ ระหว่างเฉียวเยว่กับฉีอันสองคน เขาดูแลฉีอันมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครเอาไปซุบซิบนินทา
แต่ถึงแม้จะไม่มีใครพูด ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีคนคิด แต่พอคนที่คิดมากบางคนนึกถึงสถานการณ์ที่จวนซู่เฉิงโหวมักให้ท้ายเด็กคู่นี้อยู่เสมอ ซูซานหลางเองก็เคยพูดไว้ไม่ใช่เพียงหนเดียวว่าเขาไม่อาจทนเห็นบุตรสาวได้รับความลำบาก และจะไม่ให้ให้บุตรสาวต้องน้อยเนื้อต่ำใจแม้แต่น้อย ก็รู้สึกว่าตนเองอาจคิดมากไปเอง ตามเหตุผลแล้ว จวนซู่เฉิงโหวไม่มีทางให้คุณหนูเฉียวผู้แสนจะเปราะบางของตนแต่งงานกับแม่ทัพอย่างแน่นอน
ท้ายที่สุดิ่จื้อรุ่ยก็ต้องสืบทอดตำแหน่งแม่ทัพต่อจากบิดา จุดนี้แทบจะไม่มีใครคลางแคลงสงสัย
ท่านโหวผู้เฒ่าจวนซู่เฉิงโหวยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งปกป้องหลานสาว ขณะเดียวกันก็ยังมีอาจารย์ฉีที่เรียกไกวเยว่ทั้งวันผู้นั้นอีกคน ตราบใดที่ทั้งสองคนนี้ร่วมมือกัน ไม่มีทางยอมให้หลานสาวสุดที่รักของตนต้องแบกรับภาระที่หนักหนาสาหัสอย่างแน่นอน
ความรับผิดชอบของจวนแม่ทัพิ่ใหญ่เกินไป คนมากมายอาจรู้สึกว่ามีเกียรติมีศักดิ์ศรี แต่จวนซู่เฉิงโหวของพวกเขาไม่้า
แม้จะกล่าวเช่นนี้ พวกผู้ใหญ่ต่างเข้าใจ แต่เด็กๆ กลับไม่เป็เช่นนั้น
ยกตัวอย่างเช่น ท่านหญิงฉางเล่อ
ท่านหญิงฉางเล่อเห็นิ่จื้อรุ่ยมาฝึกซ้อมพร้อมกับสองพี่น้องทุกครั้งก็โกรธเป็ฟืนเป็ไฟ พวกเขามีอะไรดีนักหนา ถึงได้รับการดูแลอย่างดีเพียงนั้น
นึกถึงตรงนี้ไฟโทสะก็ลุกโชน
นางจดจ้องชายหนุ่มในสนามม้าตาเขม็ง แล้วพูดกับสวี่ม่านหนิง "เ้าว่า เขาคิดอยากจะเป็บุตรเขยของผู้อื่นใช่หรือไม่?"
ดวงตาของสวี่ม่านหนิงมีประกายวาบผ่าน ยิ้มพูดปลอบประโลมท่านหญิงฉางเล่อ "แท้จริงแล้วคุณหนูเจ็ดสกุลซูก็เป็เพียงเด็ก อายุน้อยกว่าท่านหญิงน้อยของพวกเราเสียอีก อาจไม่รู้ความทำอะไรส่งเดช ยิ่งไม่รู้ว่าสิ่งใดคือข้อควรระวังระหว่างบุรุษสตรี จึงดูเหมือนใกล้ชิดสนิทสนมกัน แต่ข้าไม่รู้สึกว่าจะเป็อันใด"
เพียงแต่ถ้อยคำปลอบประโลมของนางกลับมีการยุแยงแอบแฝงอยู่ไม่น้อย ล้วนแต่เป็ถ้อยคำที่ไม่อาจพูดกับคนนอก
ท่านหญิงฉางเล่อแค่นเสียงเยาะ "ใครว่านางอายุน้อยแล้วจะไม่รู้อันใดสักอย่าง นางไหนเลยจะไม่รู้ ข้าดูออก นางเด็กน่าตายนั่นดูเหมือนปิศาจจิ้งจอกจะตาย"
สวี่ม่านหนิงยกยิ้มน้อยๆ "ถึงอย่างไรก็เป็บุตรสาวของคุณชายสามสกุลซู อาจารย์ที่คุณชายิ่เคารพรัก เขาดูแลเป็พิเศษ ไม่นับว่าแปลกอันใด เพียงแต่..."
สวี่ม่านหนิงกลับอมพะนำไม่พูดต่อ
ท่านหญิงฉางเล่อหันมามอง "แต่ว่าอะไร?"
"ไม่มีอันใด" สวี่ม่านหนิงขบริมฝีปาก ท่าทางลำบากใจ
"เ้าห้ามปิดบังข้า มีอะไรต้องบอก มิเช่นนั้นข้าอาจเสียเปรียบ เ้ามักพูดว่าข้าใสซื่อไร้เดียงสา หากเ้าไม่ช่วย ข้ามิยิ่งถูกผู้อื่นเอาเปรียบโดยง่ายกระนั้นหรือ ม่านหนิง เ้าบอกมาว่าแต่อะไร?"
สวี่ม่านหนิงทำท่าลังเล ก่อนจะเอ่ยว่า "เมื่อท่านหญิงขอให้ข้าพูด ข้าก็จะพูด แต่ข้ามิได้มีเจตนาว่าร้ายผู้อื่น เพียงแค่พูดความจริงกับท่านหญิงเท่านั้น" นางหยุดเว้นจังหวะ ก่อนกระซิบเสียงเบา "ข้ารู้สึกว่า ถึงตนเองอยากจะเชื่อว่าคุณหนูเจ็ดสกุลซูเป็แม่นางน้อยที่ไร้เดียงสา แต่ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า นางมีความคิดซับซ้อนยิ่งนัก ท่านลองดูคนที่นางคบหาเป็มิตรมีสตรีอยู่สักกี่คน ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็ชายหนุ่มสูงศักดิ์ทั้งสิ้น ทั้งรัชทายาทเอย อวี้อ๋องเอย คุณชายิ่เอย จึงมักทำให้รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ท่านว่านางจะมีความคิดซ่อนเร้นที่หมายจะเลือกคนที่ดีที่สุดมาเป็สามีหรือไม่"
แต่พอเอ่ยมาถึงตรงนี้ กลับแสดงท่าปฏิเสธความคิดของตนเองทันที "ไม่หรอก ไม่หรอก นางยังเด็กมาก ไม่น่าจะใช่"
"ไม่ใช่อันใด ข้าว่าใช่เลยแหละ ข้าว่านางไม่ใช่คนดีอะไร แต่เสแสร้งทำเป็คนดี ไม่ได้ ข้าต้องสั่งสอนให้นางรู้เสียบ้าง"
นางกัดริมฝีปากลุกขึ้น "ข้าไม่อาจเห็นพวกเขาถูกหญิงชั่วผู้นี้หลอกลวงอีกต่อไป"
สวี่ม่านหนิงแสร้งลุกขึ้นอย่างละล้าละลัง "ท่านหญิง ท่านอย่าทำอันใดส่งเดชเชียวนะเ้าคะ ที่นี่เป็สนามม้า มีการควบคุมอย่างเข้มงวด หากพวกเราประมาทแล้วถูกจับได้ เื่แพร่งพรายออกไป เกรงว่าจะมีผลกระทบต่อชื่อเสียง ท่านไม่อาจให้โทสะมามีผลกระทบต่อตนเองนะเ้าคะ"
พูดเหมือนห้ามปราม แต่เป็การชี้นำกลายๆ มากกว่า
ท่านหญิงฉางเล่อสูดหายใจลึก กล่าวอย่างจริงจัง "ใช่ ไม่อาจก่อเื่ที่สนามม้า ไม่อาจ..."
นางนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง เห็นท่าทางวิตกกังวลของสวี่ม่านหนิง ก็สงบอารมณ์เอ่ยว่า "ข้าจะไม่ทำอะไรนาง เ้าวางใจเถอะ"
"ท่านไม่หลอกข้าใช่หรือไม่" สวี่ม่านหนิงมองด้วยสายตาคลางแคลง
ท่านหญิงฉางเล่อหัวเราะพลางรับปาก "ไม่อยู่แล้วล่ะ"
พอเห็นสองพี่น้องสกุลซูยังฝึกอยู่ ก็ลุกขึ้น "วันนี้ข้าเหนื่อย พวกเรากลับกันเร็วหน่อยเถอะ"
สวี่ม่านหนิงรับคำ "เช่นนั้นข้าไปเปลี่ยนอาภรณ์ก่อน เดิมคิดว่าจะลงสนามขี่ม้า เลยสวมมาน้อย ต้องเพิ่มเสื้อคลุมตัวนอกอีกชั้น มิเช่นนั้นคงรับสภาพอากาศไม่ไหว"
พอเห็นสวี่ม่านหนิงไปแล้ว ท่านหญิงฉางเล่อก็สั่งกับองครักษ์ "ข้าจำได้ว่าสองพี่น้องสกุลซูมักนั่งรถม้ามาด้วยกัน"
"ใช่ขอรับ" องครักษ์ตอบ
แม้ท่านหญิงฉางเล่อจะอายุเพียงสิบขวบ แต่แววตากลับมีความเหี้ยมเกรียมอยู่หลายส่วน "เ้ากลับจวนเดี๋ยวนี้ ในห้องหนังสือของข้ามีหญ้าคาวทองอยู่ หลังจากเตรียมของเสร็จเรียบร้อยกลับมาก็ป้อนให้ม้าของพวกเขา"
องครักษ์พลันตกตะลึง "ท่านหญิงขอรับ หากม้ากินหญ้าเ่าั้ก็จะก้าวร้าวคลุ้มคลั่ง หากเกิดเื่ขึ้นมา?"
"บัดซบ ต้องให้ขี้ข้าอย่างเ้ามาสอนข้าหรือ ข้าให้ทำอะไร เ้าก็ทำตามคำสั่ง อย่าได้พูดสิ่งที่ไร้ความจำเป็"
นางทำสีหน้าเยียบเย็น "นางแพศยาน้อยผู้นั้น นางชอบใช้สนามม้ามายั่วยวนิ่จื้อรุ่ยดีนัก ข้าก็จะให้นางมาสนามม้าไม่ได้อีก รีบไป ข้างกายนางมีองครักษ์ติดตามไม่น้อย คงไม่ถึงกับตกลงมาตายหรอกน่า ข้าแค่อยากให้นางหยุดพักไปอย่างน้อยครึ่งปีหนึ่งปี เห็นแล้วรำคาญตา"
"ขอรับ"
ถึงอย่างไรก็ไม่กล้าขัดคำสั่ง รีบจากไป
แต่ขณะที่พวกเขานายบ่าวมิได้สังเกต สวี่ม่านหนิงซึ่งยืนอยู่หลังกำแพงไม่ไกลก็มีรอยยิ้มประดับมุมปาก "นางโง่เอ๊ย สมน้ำหน้าถูกข้าหลอกใช้"
นึกถึงซูเฉียวเยว่ไม่อาจเข้าวังร่วมงานเลี้ยงปีใหม่ได้ และปีหน้าก็อาจจะพลาดการสอบเข้าสำนักศึกษาสตรี นางยิ่งคิดก็ยิ่งมีความสุข
แม้ท่านหญิงจะไม่ยอมรับ แต่เห็นอยู่ว่าหมายตาิ่จื้อรุ่ย เมื่อนางชอบิ่จื้อรุ่ย แต่ตนเองคิดหมายตำแหน่งชายารัชทายาท ย่อมไม่มีอะไรดีไปกว่าการใช้ประโยชน์จากท่านหญิงให้จัดการทุกอย่าง
นางสามารถปลีกตัวออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ยังได้ผลลัพธ์ที่ตนเอง้า
สวี่ม่านหนิงมองไปยังสนามม้าที่อยู่ไม่ไกลนัก หัวเราะหึๆ "มีแต่สตรีสมองกลวงเท่านั้นถึงจะหมายตาสามีทหาร"
บัดนี้เฉียวเยว่กำลังฝึกยิงธนู นางเอ่ยเสียงเบา "พี่จื้อรุ่ย ท่านดูสิ ข้าเก่งหรือไม่?"
ทักษะขี่ม้าของนางแข็งแกร่งขึ้นกว่าเมื่อก่อนไม่น้อย แต่ตอนนี้อากาศหนาวเย็น คนมาไม่มาก พวกเขาจึงมีม้าให้เลือกเยอะขึ้น
"เ้าเล็งข้างหน้าดีๆ หันมามองข้ามีประโยชน์อันใด" จื้อรุ่ยใช้น้ำเสียงจริงจัง
เฉียวเยว่หัวเราะ "ข้ารู้น่า..."
นางโก่งคันธนูเล็งไปข้างหน้าไม่ไกลนักเตรียมยิง "ข้ารู้สึกว่าธนูคันนี้หนักไปหน่อย รู้สึกลำบากทุกคราที่รั้งสายยิง ท่านว่าข้าออกแรงผิดวิธีหรือไม่?"
อาจารย์ที่สอนยิงธนูให้พวกเขาไปสุขา เฉียวเยว่จึงถามจื้อรุ่ยโดยตรงอย่างไม่ต้องเกรงใจ
"เ้าแค่แรงน้อย แต่การเคลื่อนไหวถูกต้องแล้ว"
เฉียวเยว่ "..."
"แต่เ้าควรออกแรงรั้งสายให้สุดในคราเดียวมากกว่าที่จะค่อยๆ ดึงทีละนิด บางทีเช่นนี้อาจทำให้เ้ารู้สึกสบายมากกว่า" จื้อรุ่ยแนะนำ
เฉียวเยว่พยักหน้า ตอบรับเสียงดัง "ได้"
จื้อรุ่ยมิได้เข้าไปปรับแก้ท่าทางให้เฉียวเยว่ด้วยตนเอง ที่นี่คนเยอะ อาจไม่เป็ผลดีต่อชื่อเสียงของนาง
แต่เขาก็เข้ามาใกล้ขึ้นอีกหน่อย "ตำแหน่งนี้ ตรงนี้ แล้วออกแรง"
จื้อรุ่ยชี้ตำแหน่งแขนให้นางอย่างจริงจัง
ลมหอบหนึ่งพัดมา เรือนผมยาวของเฉียวเยว่สะบัดไปโดนใบหน้าของิ่จื้อรุ่ย เขาถอยออกมาหนึ่งก้าว "ครั้งหน้าเ้ามาสนามม้าควรรวบผมขึ้นให้หมด เช่นนี้จะสะดวกมากกว่า มิเช่นนั้นเมื่อลมกระโชกมา เ้าจะหลับตาโดยไม่รู้ตัว ไม่ปลอดภัยนัก"
"เ้าค่ะ ครั้งหน้าจะไม่ทำผิดอีกเด็ดขาด" เฉียวเยว่ตอบอย่างหนักแน่น
จื้อรุ่ยหัวเราะ
ท่าทางรู้ใจกับความสนิทสนมของทั้งสองคนทำให้ท่านหญิงฉางเล่อที่พักผ่อนอยู่ในห้องเห็นแล้วอิจฉาริษยา นางโกรธจนกระทืบเท้า "ปิศาจจิ้งจอก นี่มันนางปิศาจจิ้งจอกตัวร้ายชัดๆ"
ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น รู้สึกว่าตนเองจะปล่อยนางเด็กสารเลวนี่ไปไม่ได้ หากไม่ให้นางได้เห็นดีเสียบ้าง นางก็จะยิ่งยั่วยวนิ่จื้อรุ่ยให้หลงกล
"ท่านหญิง พวกเราไปกันเถอะเ้าค่ะ"
บัดนี้สวี่ม่านหนิงกลับมาแล้ว
ท่านหญิงฉางเล่อกำหมัดแน่น "พวกเรา ไป!"
นางสะบัดแขนเสื้อหมุนตัวจากไป
นางยังมีสติอยู่ แม้ทำเื่เลวร้ายแต่จะไม่ให้ผู้ใดนึกมาถึงตนเอง ถึงอย่างไรก็ต้องคำนึงถึงหน้าตา
ขณะที่พวกนางเพิ่งออกมาจากประตูใหญ่สนามม้า ก็เห็นรถม้าหรูหราคันหนึ่งจอดอยู่ ซื่อผิงเอาเก้าอี้เตี้ยมาวางเรียบร้อย อวี้อ๋องกำลังเหยียบลงมา เขาใช้ผ้าปิดหน้าไว้ดูเหมือนจะไม่ชอบลมแรงสักเท่าไร
ท่านหญิงฉางเล่อรีบทำตัวเรียบร้อยทันควัน ไม่มีท่าทางยโสโอหังเหมือนเมื่อครู่ น้ำเสียงก็กดต่ำลง ท่าทางระมัดระวังตัวขึ้นหลายส่วน "ฉางเกอคารวะท่านพี่อวี้อ๋อง"
อวี้อ๋องยังคงปิดหน้า แต่มุมปากรั้งสูงขึ้นเล็กน้อย คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม "ฉางเกอจะไปแล้วหรือ?"
"เ้าค่ะ ที่นี่ลมแรง ข้ารู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะกับการขี่ม้า ดังนั้นจึงไม่คิดจะอยู่ต่อ ท่านพี่อวี้อ๋องต้องระวังด้วยเล่า"
อวี้อ๋องยิ้มแ่จาง น้ำเสียงทุ้มต่ำ "ต้องขอบใจฉางเกอที่ช่วยเตือน ฉางเกอเห็นคุณหนูเจ็ดจวนซู่เฉิงโหวข้างในหรือไม่?"
นางปิศาจจิ้งจอกผู้นั้นอีกแล้ว!
ท่านหญิงฉางเกอนึกฉุนเฉียวในใจ แต่ไม่แสดงออกทางสีหน้ามากนัก "ดูเหมือนจะยังอยู่เ้าค่ะ ข้าไม่สนิทกับนาง เห็นอยู่ไกลๆ แต่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน"
นางเว้นจังหวะครู่หนึ่ง ก็เอ่ยขึ้นว่า "ท่านพี่อวี้อ๋อง หากไม่มีธุระอันใดแล้ว พวกเราไปก่อนนะเ้าคะ"
สวี่ม่านหนิงด้านข้างยอบกายคำนับตาม
อวี้อ๋องยิ้มพลางโบกมือ "ระหว่างทางระวังด้วยเล่า อ้อ จริงสิ เ้ามิได้เป็อันใดใช่หรือไม่ เมื่อครู่ข้าเห็นองครักษ์ของเ้าบังคับม้ามาอย่างรีบเร่ง ท่าทางจะร้อนใจมาก มีเื่อันใดหรือไม่ หากมีปัญหา ก็บอกญาติผู้พี่ได้ไม่ต้องเกรงใจ"
ท่านหญิงฉางเกอสะดุ้งในใจ แต่ยังคงพยายามฝืนนิ่งสงบ "ขอบคุณญาติผู้พี่เ้าค่ะ ข้าเพียงอยากสนทนาส่วนตัวกับม่านหนิงก็เลยไล่เขาไป"
อวี้อ๋องพิจารณาสีหน้าของหรงฉางเกออย่างละเอียด แล้วอมยิ้มตอบ "อ้อ ที่แท้เป็เช่นนี้..." หางเสียงของเขาลากยาว
ท่านหญิงฉางเกอเริ่มรู้สึกกระวนกระวายมากขึ้นเรื่อยๆ
"เช่นนั้นก็... ค่อยๆ เดินนะ" อวี้อ๋องกล่าวอย่างเอ้อระเหย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้