โต้เซียงหลันดวงตาลุกวาวขึงตาใส่เหยาอวี้ “เหลวไหลทั้งเพ ไฉ่...”
“ยังไม่หุบปากอีกมาขึ้นเสียงโวยวายเยี่ยงนี้ใช้ได้ที่ไหน ไม่เห็นหรือว่าซู่ชินหวางก็ทรงอยู่ด้วย” เหยาเจิ้นถิงตวัดสายตาไปที่โต้วเซียงหลันอย่างเป็เดือดเป็แค้นในใจได้คำตอบที่แน่ชัดแล้ว
“แต่ท่านพี่ไม่อาจฟังความข้างเดียวนะเ้าคะ”โต้วเซียงหลันพยายามชี้แจง
“ทำให้ซู่ชินหวางได้เห็นเื่ขบขันเสียแล้วเชิญเหยาเฟยและหวางเยี่ยที่ห้องโถงเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เหยาเจิ้นถิงข่มโทสะไว้ในใจ ก่อนผายมือเชิญเย่จวินชิงกับเหยาโม่หว่านไปที่ห้องรับแขกหลังจากนั้นก็หันมาจูงเหยาอวี้เดินออกจากเรือนจู๋อี้ไปพร้อมกัน
ระหว่างทางกลับวังเหยาโม่หว่านเอาแต่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จา เพียงแค่นึกถึงภาพที่ซูมู่จื่อเือาบเต็มกายนางก็อดคิดถึงมารดาของตนเองไม่ได้ ตอนนั้นนางช่างโง่งมนัก ที่เชื่อว่าบิดากับโต้วเซียงหลันจะปฏิบัติต่อมารดาอย่างดีเพื่อช่วยให้บัลลังก์ของเย่หงอี้มั่นคงเป็ปึกแผ่น จำนวนครั้งที่กลับไปเยี่ยมมารดาแทบจะนับนิ้วได้ชั่วขณะที่ตนเองคุกเข่าอยู่ข้างเตียงมารดาครั้งสุดท้าย ถึงได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกผู้ดีจอมปลอมเ่าั้กว่าจะรู้ก็สายไปเสียแล้ว
นิ้วเรียวขดลงมากำหมัดแน่นจนข้อกระดูกกลายเป็สีขาวเล็บแหลมจิกเข้ากลางอุ้งมือจนเืไหลยังไม่รู้ตัว ดวงตาเริ่มเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำ
“ฟูเหรินอัครเสนาบดีวางอำนาจบาตรใหญ่ไม่เบาเมื่อก่อนเ้าคงลำบากไม่น้อยกระมัง” เมื่อเห็นเหยาโม่หว่านดูตึงเครียด เย่จวินชิงก็เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ฮึ!ดีที่วันเวลาเ่าั้ล้วนผ่านไปหมดแล้ว ต่อไปข้าจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมากดขี่ข่มเหงทั้งตนเองและคนสำคัญสำหรับข้าอีก”เหยาโม่หว่านสูดหายใจเข้าลึก ก่อนเอนกายพิงบนผนังไม้กฤษณาภายในรถด้วยท่วงท่าเกียจคร้านปรายหางตาไปทางเย่จวินชิงคล้ายไม่ตั้งใจ มุมปากประดับรอยยิ้มบางๆ อย่างมาดมั่น
“ดังนั้นเ้าถึงคิดใช้วิธีแกล้งโง่เพื่อเรียกร้องความสนพระทัยจากฝ่าา?เพียงแค่ได้รับความคุ้มครองจากพระองค์ ก็ไม่ต้องหวั่นเกรงผู้ใดอีกต่อไป? แต่ดูเหมือนจะไม่ถูกต้องเ้าแกล้งโง่มาั้แ่เด็ก หรือจะบอกว่ารู้เหตุการณ์ล่วงหน้ามาั้แ่เยาว์วัยว่าจะได้รับการแต่งตั้งเป็พระสนม?”เย่จวินชิงเริ่มสับสนกับข้อสันนิษฐานของตนเองเสียแล้ว
“ถ้าหวางเยี่ยทายถูกข้าก็จะบอกสาเหตุที่แท้จริงให้” เหยาโม่หว่านทอยิ้มบางๆ คิดไม่ถึงว่าเย่จวินชิงก็มี่เวลาที่อับจนปัญญาอยู่เหมือนกันยากนักที่จะได้เห็น
“ถ้าเปิ่นหวางเดาถูกยังจะต้องให้เ้าบอกอีกหรือ” จู่ๆ เย่จวินชิงก็รู้สึกว่าตนเองกลายเป็ตัวตลก ตวัดสายตาไปที่เหยาโม่หว่านอย่างขุ่นเคือง
“ไม่เสียแรงที่เป็วีรบุรุษผู้กล้าในสนามรบมานานปีการตอบสนองว่องไวยิ่ง” รอยยิ้มที่มุมปากยิ่งหยักลึก เพียงแต่ไม่ว่าจะฟังอย่างไรเย่จวินชิงกลับไม่รู้สึกว่าวาจาของนางเป็การยกย่องชื่นชม ทันใดนั้นม่านรถก็ถูกคนผู้หนึ่งเลิกขึ้นบุรุษแต่งกายรัดกุมคนหนึ่งก้าวเข้ามาในรถ
“ข้าน้อยถวายบังคมหวางเยี่ยพระสนมเหยาเฟย! หลายวันมานี้หวางเยี่ยทรงสบายดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” น้ำเสียงใสกังวานเจือด้วยสำเนียงท้องถิ่นที่เป็เอกลักษณ์ดังขึ้นเย่จวินชิงฟังแล้วรู้สึกตื่นตระหนก มองผู้มาอย่างงุนงง
“เปินเหลย?มิใช่ว่าเ้ากลับบ้านเกิดไปแล้วหรือ” ผู้มาหาใช่ใครอื่น แต่เป็เปินเหลยที่อยู่ในตำหนักซู่ชินหวางครานั้น
“เปินเหลยรู้สึกว่าการทำไร่ทำนาดูไม่มีอนาคตจึงต้องบากหน้ามาพึ่งพิงพระสนมเหยาเฟย ทำหน้าที่เป็องครักษ์พ่ะย่ะค่ะ” เย่จวินชิงเพิ่งสังเกตเห็นว่าทิศทางที่เปินเหลยประสานมือแสดงความเคารพแท้จริงแล้วคือเหยาโม่หว่าน
“จะ...เ้ามาพึ่งนาง? รู้หรือว่านางเป็ใคร?” เย่จวินชิงรู้สึกงงเป็ไก่ตาแตกกับสถานการณ์ที่อยู่เบื้องหน้าบริวารที่ทะนงในศักดิ์ศรีและมีความจงรักภักดีที่สุดของตนเอง ยอมบากหน้าไปขอพึ่งพาสตรีที่แกล้งทำเป็โง่เขลาเบาปัญญาคนหนึ่งได้อย่างไร
“พระนางคือผู้ใดไม่สำคัญสำคัญที่บัดนี้พระนางคือนายของเปินเหลย” เปินเหลยตอบกลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ดูท่าหวางเยี่ยคงนึกเสียใจอยู่กระมังที่ต้องเสียองครักษ์ผู้จงรักภักดีให้โม่หว่านเปล่าๆ” เมื่อเห็นท่าทางตกตะลึงของเย่จวินชิงเหยาโม่หว่านก็ยิ่งพูดเติมเชื้อไฟ
“ฮึ!ดูจากตอนนี้ก็เห็นชัดแล้วว่ายังจงรักภักดีไม่พอ” เย่จวินชิงตอกกลับอย่างคับแค้น
“เปินเหลยเื่ที่ให้จัดการเป็อย่างไรบ้าง?” เหยาโม่หว่านไม่นำพาต่อทีท่าสะบัดหน้าหนีอย่างหัวเสียของชายหนุ่มหันมาพูดกับเปินเหลยด้วยสีหน้าจริงจัง
“พระสนมโปรดวางพระทัยเปินเหลยจัดการตามที่พระสนมชี้แนะ สานต่อ... กิจการที่หมั่งหยวน [1] เรียบร้อยแล้วขอรับ”เปินเหลยพูดค่อนข้างกำกวม แท้จริงแล้วเขาเข้ามารับ่ต่อองค์กรลับที่เหยาโม่ซินเป็ผู้ก่อตั้งขึ้นในหมั่งหยวนพร้อมกับกิจการที่สามารถกอบโกยเงินทองได้มหาศาล
“เ้ามีการค้าในหมั่งหยวนด้วยหรือ?”เย่จวินชิงมองเหยาโม่หว่านอย่างเคลือบแคลง รู้สึกเหมือนเป็เื่เหลือเชื่อ
“หวางเยี่ยอยากทราบหรือเพคะหากทรงขอร้อง หม่อมฉันอาจบอกให้ทรงทราบก็ได้” เหยาโม่หว่านเลิกคิ้วสูง เอี้ยวศีรษะกลับมาหาเย่จวินชิงแย้มยิ้มจนดวงตาเป็วงโค้งดุจจันทร์เสี้ยว
...
เชิงอรรถ
[1]หมั่งหยวนหมายถึงเขตที่ราบทุ่งหญ้าสะวันนา ที่มีแต่ทุ่งหญ้าเขตร้อน ไม่ค่อยมีต้นไม้ใหญ่ส่วนมากจะเป็พืชล้มลุก