“เื่ในวันนี้ต้องขอบคุณพี่เยวี่ยเฉิงเป็อย่างยิ่ง เพราะเื่งานแต่งของข้าแท้ๆ ทำให้ท่านพลอยเหน็ดเหนื่อยไปด้วย เพื่อเป็การขอโทษต่อพี่เยวี่ยเฉิง คืนนี้ที่หอจุ้ยเซียนโหลวน้องชายขอเป็เ้ามือ ไม่เมาไม่เลิกรา” หลี่โย่วโม่ยักคิ้ว พลางกล่าวยืนยันเป็มั่นเหมาะ เดินเข้ามาตบบ่าของโหยวเยวี่ยเฉิงแสดงท่าทางเหมือนพี่น้องที่ดีต่อกัน “รอวันที่น้องชายแต่งงาน จะต้องเชิญพ่อสื่ออย่างพี่เยวี่ยเฉิงมานั่งในห้องโถงพิธี รับการคารวะจากพวกเราด้วย จะให้ส่งเ้าสาวเข้าบ้าน แล้วโยนพ่อสื่อออกนอกกำแพงไม่ได้เด็ดขาด”
พ่อสื่อ? พ่อสื่อให้หลี่โย่วโม่กับโม่เสวี่ยิ่น่ะหรือ?
โหยวเยวี่ยเฉิงอ้าปากค้าง หมดวาจาโดยสิ้นเชิง
เขาค่อยๆ หลบเลี่ยงจากมือของหลี่โย่วโม่อย่างมิให้เป็ที่สังเกต เริ่มนึกเสียใจเป็ที่สุด คืนนั้นเขารับนัดโม่เสวี่ยิ่ไปได้อย่างไรหนอ...
หากเื่นี้แพร่งพรายออกไป จวนิกั๋วกงจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
พอถึงวันรุ่งขึ้นเื่งานแต่งเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสกุลโม่กับสกุลหลี่ก็ดังกระหึ่มไปทั่วทุกหัวระแหง เนื่องมาจากหลี่โย่วโม่เป็คนมี ‘ชื่อเสีย’ โด่งดังจริงๆ คนที่มีแต่ชื่อเสียงด่างพร้อยเช่นนั้น ยังมีคนกล้ายกลูกสาวให้ แล้วใครเล่าจะไม่อยากรู้อยากเห็นว่าเป็บุตรสาวบ้านไหนที่ ‘ห้าวหาญ’ ถึงเพียงนี้
พอได้ยินว่าเป็ธิดาคนโตผู้งดงามเฉลียวฉลาดของสกุลโม่ ผู้คนต่างพากันทอดถอนใจ สตรีที่เรียบร้อยอ่อนหวาน มีพร้อมทั้งรูปโฉมและความสามารถเยี่ยงนั้นกลับต้องไปแต่งให้คนอย่างหลี่โย่วโม่ เสมือนนำบุปผางามไปปักบนมูลวัวแท้ๆ
แต่แน่นอนว่าย่อมมีคนฟังแล้วหัวเราะเยาะด้วยเช่นกัน กล่าวว่า ‘ชื่อเสียง’ ของคุณหนูใหญ่สกุลโม่ก็เหมาะสมกับคุณชายใหญ่สกุลหลี่พอดีมิใช่หรือ วันนี้กับคนนี้ พรุ่งนี้กับคนนั้น นับวันชื่อเสียงของนางก็ยิ่งเหม็นเน่าฉาวโฉ่
เมื่อได้ยินข่าวลือเยี่ยงนี้ เรือนฝูฉิงของโม่เสวี่ยิ่ก็ต้องเปลี่ยนชุดเครื่องลายครามใหม่ทั้งชุด
คืนนั้น... โม่เสวี่ยิ่อยู่ในห้องเพียงคนเดียว ภายในมืดสนิทมิได้จุดตะเกียงให้แสงสว่าง และไม่มีสาวใช้ปรนนิบัติข้างกายแม้แต่คนเดียว
“คุณหนู... คุณหนู....” เสียงโม่ซิ่วร้องเรียกเบาๆ สองครั้งที่หน้าประตู แล้วเงี่ยหูฟัง ในห้องเงียบสนิทจนใครๆ อาจคิดว่าด้านในคงเป็ห้องเปล่าไม่มีคนอยู่ แต่โม่ซิ่วรู้ว่าคุณหนูของตนอยู่ในนั้นตลอดเวลา
“เข้ามา” โม่เสวี่ยิ่สูดหายใจลึกแล้วนั่งตัวตรงอีกครั้ง ก่อนเอ่ยเสียงเย็นตอบรับ
“เ้าค่ะ” โม่ซิ่วค่อยๆ ผลักประตูเข้ามา ในมือถือเชิงเทียนเข้ามาด้วย นางลงมือจุดเทียนสามเล่มใหญ่ที่ตั้งอยู่้า ภายในห้องจึงสว่างขึ้นในพริบตา เสร็จแล้วก็วางเชิงเทียนบนโต๊ะหน้าเตียง
“เจิ้นกั๋วโหวซื่อจื่อตอบจดหมายมาหรือยัง” สีหน้าของโม่เสวี่ยิ่ภายใต้แสงเทียนยังดูคลุมเครือ รอยบวมแดงยังไม่เลือนหายไปทำให้ใบหน้าที่เคยงดงามอ่อนหวานดูอัปลักษณ์ขึ้นหลายส่วน ใจนางนึกแต่ก่นด่าโม่เสวี่ยถงด้วยความคับแค้นใจ ดวงตาเย็นเยียบดูน่าสะพรึงกลัวภายใต้แสงตะเกียงหม่นมัว
“คนจากจวนเจิ้นกั๋วโหวแจ้งว่าซื่อจื่อไม่อยู่ ไปนครเจียงหนานเพื่อย้ายสุสานบิดามารดาของญาติผู้น้องกลับมาเมืองหลวงเ้าค่ะ จดหมายของคุณหนูบ่าวนำกลับมาแล้ว” โม่ซิ่วไม่กล้าพูดมาก หยิบจดหมายที่ปิดผนึกอย่างดีออกมาจากอกเสื้อ แล้วส่งคืนให้โม่เสวี่ยิ่อย่างเคารพนบนอบ
ไม่อยู่? ไปย้ายสุสานให้ญาติผู้น้อง? ไร้ประโยชน์สิ้นดี เวลานี้แล้วยังคิดแต่จะเอาใจญาติผู้น้องอ่อนแออมโรคของตัวเอง ดูท่าคงเป็สตรีที่มาปรากฏตัววันที่นางไปจวนเจิ้นกั๋วโหวสินะ ท่าทางชม้ายชายตาดูเป็นางจิ้งจอกยั่วสวาทคนหนึ่ง เป็วัตถุดิบชั้นดีเหมาะแก่การใช้งานเป็อนุภรรยาแท้ๆ
อารมณ์หงุดหงิดที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนพลันก่อกระแสขึ้นในใจ คิดแต่ว่าอวิ๋นอี้ชิวที่ลักลอบมีสัมพันธ์กับซือหม่าหลิงอวิ๋นไม่ใช่สตรีที่ดี แต่กลับไม่คิดว่าการที่ตนเองคบหากับซือหม่าหลิงอวิ๋นก็หาใช่เื่ดีนักหนา
“ให้คนของจวนเจิ้นกั๋วโหวส่งข่าวไป บอกว่าคุณหนูสี่สกุลโม่ของพวกเราไม่อยากแต่งเป็อนุภรรยา” โม่เสวี่ยิ่กล่าวเสียงเย็น แม้ว่าซือหม่าหลิงอวิ๋นไม่้าโม่เสวี่ยฉง แต่ก็ไม่กล้าล่วงเกินจวนโม่ จวนโหวตกอับแล้ว มีแต่พวกเขานั่นแหละที่ยังเห่อเหิมหลงตัวเองอยู่ หากโม่เสวี่ยฉงตัดสินใจไม่แต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วโหวก็ใช่ว่าจะไร้หนทาง แต่ถ้าทำเช่นนั้น ผู้ที่เสียหน้าก็คือจวนเจิ้นกั๋วโหว นางไม่เชื่อว่าซือหม่าหลิงอวิ๋นจะไม่อนาทรร้อนใจ
“เ้าค่ะ บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้” โม่ซิ่วไม่กล้าขัดคำสั่งรีบถอยออกไปทั้งที่ใจรู้สึกหวาดกลัว
นับวันเื่ของสกุลหลี่กับสกุลโม่ก็ยิ่งอยู่ในความสนใจของผู้คน
เริ่มต้นจากสกุลหลี่ไปทาบทามสู่ขอบุตรสาวของสกุลโม่ แต่ถูกใต้เท้าโม่ตะเพิดออกมา คุณชายหลี่ก็ไปเจรจาด้วยตนเองอีกครั้ง โดยมีิกั๋วกงซื่อจื่อไปด้วย แต่ก็ถูกใต้เท้าโม่ไล่ออกมาอย่างไม่ไว้หน้าเช่นกัน ต่อมาสกุลหลี่ก็ให้คนหาบของหมั้นมาถึงหน้าสกุลโม่ แต่ประตูหลักของสกุลโม่ไม่เปิดต้อนรับ ผู้คนที่ผ่านไปมาจึงมองเห็นของหมั้นถูกวางกองไว้หน้าจวนโม่ตลอดทั้งวัน
ในที่สุดเสนาบดีหลี่ก็มาเยือนถึงจวนโม่ด้วยตนเอง ไม่รู้ว่าใต้เท้าทั้งสองคุยอะไรกันในห้องหนังสือ แต่ยามที่เปิดประตูออกมาก็เห็นทั้งสองคนนั่งอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าสงบเสงี่ยม ไม่มีท่าทางเงื้อดาบน้าวธนูโดยสิ้นเชิง ยามที่ใต้เท้าโม่เดินไปส่งท่านเสนาบดีหลี่ที่หน้าประตูยังยิ้มกล่าวด้วยสีหน้าแจ่มใส
ผู้หวังดีต่างเข้าใจว่าสกุลหลี่กับสกุลโม่คงเห็นพ้องต้องกันเสียที เื่บุตรชายของสกุลหลี่จะแต่งภรรยาเป็เื่ที่กำหนดไว้แน่นอนแล้ว แต่ใครจะคิดว่าหลังจากที่สกุลหลี่กลับไปแล้วก็ปิดจวนเงียบไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ และไม่มีใครเห็นเงาของคุณชายหลี่ผู้เก่งแต่ปากผู้นั้นอีกเลย มีคนที่รู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า่นั้นคุณชายหลี่เล่าเรียนอยู่แต่ในห้องหนังสือจนความรู้ก้าวหน้าไปมาก
หรือว่าคิดจะให้หลี่โย่วโม่ผู้มี ‘ชื่อเสีย’ โด่งดั่งไปทั่วสอบซิ่วไฉให้ได้? คนทั้งเมืองหลวงล้วนคิดว่าไม่มีทาง ต่างหวังจะได้ชมเื่สนุกระหว่างสองตระกูลอีก ทว่าต่อจากนั้นก็ไม่มีละครใดให้ชม หลี่โย่วโม่ก็ไม่ออกมาก่อเื่ สกุลโม่จึงกลับมาสงบสุขเหมือนวันวานที่ผ่านมา ปีใหม่ใกล้จะมาถึงแล้ว ทั้งพ่อบ้านและบ่าวไพร่ต่างเข้าๆ ออกๆ จวนเพื่อเตรียมงานฉลอง ส่วนเื่งานมงคลกลับไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงแม้แต่น้อย
ท่ามกลางสายตาเคลือบแคลงสงสัยของผู้คน สกุลโม่ก็ต้อนรับการมาเยือนของหญิงสาวหน้าตางดงามผู้หนึ่ง ซึ่งเป็หลานสาวของเหล่าไท่ไท่ ขณะที่สตรีผู้หนึ่งตบเท้าเข้าสกุลโม่ ซือหม่าหลิงอวิ๋นก็เร่งฝีเท้ากลับมาถึงเมืองหลวงอย่างเร่งด่วน ด้วยความรีบร้อนโดยทิ้งอวิ๋นอี้ชิวไว้ด้านหลัง
ซือหม่าหลิงอวิ๋นควบม้าเร็วเข้าเมือง เมื่อมาถึงหน้าประตูจวนก็รีบพลิกกายลงจากหลังอาชา บ่าวชายที่ออกมารออยู่ที่นั่นรับแส้มาจากผู้เป็นายแล้วจูงม้าไปให้อาหารอีกด้านหนึ่ง
ซือหม่าหลิงอวิ๋นมิได้กลับไปเปลี่ยนอาภรณ์ แต่ตรงไปที่เรือนฮูหยินเจิ้นกั๋วโหวอย่างเร่งร้อน สาวใช้ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเห็นซือหม่าหลิงอวิ๋นกลับมาก็วิ่งแจ้นเข้าไปรายงาน หญิงรับใช้าุโอีกสองคนรอซือหม่าหลิงอวิ๋นเข้ามาถึงก็ช่วยถอดเสื้อคลุมสีแดงสดให้เขา สาวใช้เลิกม่านขึ้นกล่าวรายงานต่อสตรีร่างผอมอายุประมาณสี่สิบปีผู้หนึ่ง “เรียนฮูหยิน ซื่อจื่อกลับมาแล้วเ้าค่ะ”
ฮูหยินเจิ้นกั๋วโหวสวมเสื้ออ่าว[1] ตัวยาวสีแดงเข้ม กระโปรงพับแปดจีบสีน้ำเงิน บนศีรษะปักปิ่นทองลายหงสาคาบไข่มุก สีหน้าอาบอิ่มไปด้วยความรู้สึกยินดี มองไปที่ประตูอย่างรอคอย เมื่อเห็นบุตรชายผู้องอาจสง่างามของตนเองก้าวเข้ามาก็คลี่ยิ้มกว้างจนตาหยีเป็เส้นตรง บุตรชายคือความภาคภูมิใจสูงสุดของนาง แม้ภายหน้าจะต้องจากโลกนี้ไป นางก็ยังไปพบบรรพชนของจวนเจิ้นกั๋วโหวได้อย่างภาคภูมิใจ
สาวน้อยที่นั่งอยู่ด้วยกันอีกด้านหนึ่งสวมชุดกระโปรงสีเหลืองอ่อน หน้าตาสะสวย ดวงตาของนางเรียวยาวและหรี่แคบกว่าคนทั่วไป ยามกะพริบตาก็ยิ่งดูมีเสน่ห์ นี่คือซือหม่าเหอเยี่ยนน้องสาวของซือหม่าหลิงอวิ๋น
เมื่อซือหม่าหลิงอวิ๋นเข้ามาถึงก็คารวะฮูหยินเจิ้นกั๋วโหวผู้เป็มารดา ซือหม่าเหอเยี่ยนะโลงมาจากเตียงเตา ดึงแขนเสื้อของชายหนุ่มพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “พี่ใหญ่มาแล้ว มีของมาฝากข้าหรือเปล่า”
“มีสิ จะไม่มีได้อย่างไร แต่เพราะรีบร้อนกลับมา ของฝากของเยี่ยนเอ๋อร์ทั้งหมดก็เลยอยู่ในรถม้าของญาติผู้พี่ของเ้า รออีกสองวันนางก็กลับมาถึงแล้ว รับรองว่าเ้าต้องชอบแน่ๆ พี่ใหญ่ซื้อแพรต่วนเจียงหนานลวดลายทันสมัยที่เ้าอยากได้มากที่สุดมาให้ และยังมีเครื่องประดับแบบใหม่สำหรับเ้าและท่านแม่ด้วย” ซือหม่าหลิงอวิ๋นกล่าวด้วยรอยยิ้ม เขารักน้องสาวผู้นี้เป็อย่างยิ่ง ทุกครั้งไม่ว่าจะออกไปไหน หรือเร่งรีบปานใดก็ต้องแวะซื้อของมาให้นางเสมอ
“ทำไมถึงไปอยู่กับญาติผู้พี่ได้เล่าพี่ใหญ่ ข้าไม่สน ครั้งหน้าท่านต้องซื้อของมาให้ข้าโดยเฉพาะ ข้าไม่้าให้ของฝากของข้าไปปะปนกับญาติผู้พี่ ของข้าก็ต้องเป็ของข้าเท่านั้น ไม่อยากให้ไปๆ มาๆ ก็กลายเป็ของญาติผู้พี่ไป เกิดนางหมายตาของฝากของข้าขึ้นมาจะไปร้องไห้โวยวายกับพี่ใหญ่อีก” พอได้ยินว่าของฝากของตนเองอยู่ในมืออวิ๋นอี้ชิว ซือหม่าเหอเยี่ยนก็หน้าง้ำกล่าวอย่างไม่พอใจ
นางไม่ชอบญาติผู้พี่ที่มักขี้แยร้องไห้ออดอ้อนผู้นี้มาแต่ไหนแต่ไร ราวกับว่าใครต่อใครต้องมาพะเน้าพะนอนางอย่างนั้น ไม่รู้ว่ามีดีตรงไหน เห็นนางร้องไห้ทีไรพี่ใหญ่ต้องหาวิธีสารพัดมาโอ้โลม บางครั้งก็มาเอาของของตนเองไปให้ แล้วจะให้ซือหม่าเหอเยี่ยนชอบใจได้อย่างไร
สตรีที่จิตใจคับแคบ วิสัยทัศน์สั้นเยี่ยงนั้น พอเห็นพี่ชายซื้อของดีๆ มาให้ตนเองทีไรก็ชอบไปร้องไห้โวยวายกับพี่ชาย ท้ายที่สุดของที่ควรเป็ของนางมักจะถูกอวิ๋นอี้ชิวแบ่งไปเสียครึ่งหนึ่ง ซือหม่าเหอเยี่ยนคิดแล้วก็โมโห ดึงแขนเสื้อซือหม่าหลิงอวิ๋นไปมาอย่างไม่พอใจ
“ได้สิๆ ต่อไปพี่ใหญ่จะเก็บของฝากของเยี่ยนเอ๋อร์แยกไว้ให้โดยเฉพาะ และจะให้คนควบม้าเร็วส่งมาให้เ้าก่อนเลยดีหรือไม่” ซือหม่าหลิงอวิ๋นตบศีรษะของนางเบาๆ อย่างรักใคร่
“เอาล่ะ โตขนาดนี้แล้วยังอยากได้ของขวัญอีก ไม่รู้จักเกรงใจกันบ้างเลย ออกไปเล่นข้างนอกก่อนเถิด แม่มีธุระจะคุยกับพี่ใหญ่ของเ้า” เห็นพี่น้องรักกันฮูหยินเจิ้นกั๋วโหวก็รู้สึกชื่นใจยิ่ง แต่กลับแสร้งดุไล่บุตรสาวออกไปทั้งรอยยิ้ม
“ข้าทราบแล้ว ท่านแม่กับพี่ชายมีธุระสำคัญต้องคุยกัน เยี่ยนเอ๋อร์อยู่ด้วยไม่ได้ ท่านแม่ไม่รักเยี่ยนเอ๋อร์ รักแต่พี่ใหญ่” ซือหม่าเหอเยี่ยนแสร้งทำปากยู่ กล่าวจบก็หัวเราะคิกคักแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ซือหม่าหลิงอวิ๋น แล้วพาสาวใช้ออกจากห้องไป
“เ้าเด็กคนนี้นี่... นับวันก็ยิ่งซุกซนเอาแต่ใจ” ฮูหยินเจิ้นกั๋วโหวหัวเราะเสียงดัง ไหนเลยจะมีสีหน้าตำหนิบุตรสาวแม้แต่น้อย ริมฝีปากกลับคลี่ยิ้มอย่างเมตตาอ่อนโยน สาวใช้คนอื่นๆ ต่างรู้งานถอยออกไปจนหมด เหลือเพียงหญิงรับใช้าุโประจำตัวของฮูหยินเพียงคนเดียวที่ยังอยู่ปรนนิบัติข้างกาย
เมื่อเห็นทุกคนออกไปกันหมดแล้ว ซือหม่าหลิงอวิ๋นก็นั่งลง รับน้ำชาจากหญิงรับใช้าุโมาดื่ม ก่อนเอ่ยถามผู้เป็มารดาด้วยสีหน้าสงสัยเป็อย่างยิ่ง “ท่านแม่ ไฉนจึงเรียกอวิ๋นเอ๋อร์กลับมาด่วนเช่นนี้เล่า เกิดเื่อันใดขึ้นหรือขอรับ”
ตอนไปมารดายังพูดกับตนเองอยู่ชัดๆ ว่าพ้นปีใหม่แล้วค่อยกลับมาก็ได้ เพราะต้องจัดการเื่บิดามารดาของญาติผู้น้องให้เรียบร้อย แต่เวลาก็เนิ่นนานมาแล้วทำให้บางเื่ก็ไม่อาจเสร็จสิ้นในวันสองวัน มารดาก็ทราบดี แต่ไฉนจึงยังให้คนตามตนเองกลับมาเร่งด่วน เื่ของญาติผู้น้องก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ต้องฝากให้พ่อบ้านช่วยจัดการส่วนที่ไม่สำคัญ แต่เพราะอวิ๋นอี้ชิวเป็ห่วงเขา จึงรีบตามกลับมาเมืองหลวงด้วย
ซือหม่าหลิงอวิ๋นคิดไม่ออกว่าจะมีเื่ใดที่ท่านแม่ต้องสั่งให้เขากลับมาด่วน
“อวิ๋นเอ๋อร์ จวนโม่ส่งคนมาบอกว่าโม่เสวี่ยฉงไม่อยากแต่งมาเป็อนุภรรยา” เห็นบุตรชายมีท่าทางร้อนใจ ฮูหยินเจิ้นกั๋วโหวจึงเล่าเหตุการณ์ให้ฟังตามตรง คำบอกกล่าวนี้จวนโม่ให้คนถ่ายทอดมาอีกที นางเองก็ไม่พอใจ โม่เสวี่ยฉงเกิดเื่แบบนั้น อวิ๋นเอ๋อร์ยอมแต่งนางเข้ามาก็นับว่าไม่เลวแล้ว ไม่ว่าอย่างไรอวิ๋นเอ๋อร์ก็ช่วยชีวิตคนไว้จึงเกิดเื่ขึ้น ผู้อื่นรู้ต่างก็ชื่นชมยกย่องเขา มีอนุภรรยาเพิ่มเข้ามาหนึ่งคนจวนเจิ้นกั๋วโหวก็ใช่ว่าจะเลี้ยงดูไม่ได้
โม่เสวี่ยฉงเป็บุตรสาวของโม่ฮว่าเหวิน ฐานะย่อมแตกต่างจากอนุภรรยาทั่วไป นางแต่งเข้ามาย่อมเป็อนุที่มีฐานะเทียบเท่าภรรยา นี่ถือว่าเป็การให้เกียรติแก่โม่ฮว่าเหวินแล้ว แม้ว่าจวนเจิ้นกั๋วโหวจะไม่อาจแต่งธิดาที่เกิดจากอนุภรรยามาเป็นายหญิงของจวน แต่ก็มิอาจละเลยต่อธิดาของผู้ตรวจการพระนครได้
ฮูหยินเจิ้นกั๋วโหวกับซือหม่าหลิงอวิ๋นต่างทราบดีว่าเบื้องหน้าจวนเจิ้นกั๋วโหวยามนี้ยังดูดีอยู่ แต่ต่อไปก็ยัง้าการสนับสนุนจากโม่ฮว่าเหวิน ดังนั้นแม้จะบอกว่าเป็บ้านรอง แต่เื่นี้ก็ประกาศให้รู้ทั่วกันทั้งเมืองหลวง กระบวนการดำเนินการตามขั้นตอนสามเทียบหกพิธีการ[2] เหมือนแต่งภรรยาเอกทุกประการ เพียงแค่ชื่อเรียกที่มิใช่ฮูหยินเจิ้นกั๋วโหวซื่อจื่อเท่านั้น ซือหม่าหลิงอวิ๋นได้เข้าพบโม่ฮว่าเหวินเป็การส่วนตัว พร้อมเสนอให้โม่เสวี่ยฉงแต่งเข้ามาเป็อนุภรรยาที่มีศักดิ์ฐานะสูงส่งก่อน หลังจากที่แต่งภรรยาเอกเข้าจวนแล้วค่อยยกฐานะขึ้นมาเป็ภรรยาที่มีฐานะเทียบเท่ากัน
นี่ก็นับว่าเป็การให้เกียรติแก่โม่ฮว่าเหวินแล้ว และด้วยเหตุนี้เขาจึงได้รับเชิญให้อยู่รับประทานอาหารที่จวนโม่ และได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น แล้วไฉนเื่ที่ตกลงกันเป็อย่างดีแล้วจึงพลิกผันเช่นนี้
สีหน้าของซือหม่าหลิงอวิ๋นดำทะมึนในบัดดล
……………………………………………………………………………………….………….....
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] เสื้ออ่าว เป็เสื้อที่ใส่ในฤดูหนาว แขนเสื้อกว้างแล้วสอบเข้าตรงข้อมือ สวมด้วยวิธีป้ายสาบเสื้อด้านหน้ามาทับกันแล้วกลัดด้วยกระดุม มีทั้งแบบตัวสั้น และตัวยาว
[2] สามเทียบหกพิธีการ ใช้เรียกขั้นตอนการแต่งงานของคนจีน สามเทียบคือหนังสือสามอย่างที่ฝ่ายเ้าบ่าวต้องมอบให้ฝ่ายเ้าสาว คือ เทียบหมั้นหมาย เทียบสินสอด และเทียบส่งตัวเ้าสาว ส่วนหกพิธีการคือธรรมเนียมปฏิบัติของคู่บ่าวสาว เริ่มจาก การทาบทาม การถามชื่อ การผูกดวงสมพงษ์ การหมั้นหมาย การดูฤกษ์ การส่งตัวเ้าสาว