ซือหม่าหลิงอวิ๋นมั่นใจในเสน่ห์ของตนเองอย่างยิ่ง คุณหนูที่มาจากบ้านนอกอย่างเมืองอวิ๋นเฉิงจะต้องไม่เคยเห็นบุรุษที่สง่างามและสุภาพเรียบร้อยเช่นตนเองเป็แน่ ขอเพียงแค่แสดงความอ่อนโยนเอาอกเอาใจมากหน่อย หญิงสาวที่ไม่เคยมีความรักมาก่อนก็ย่อมไม่พ้นมือไปได้แน่
เมื่อใจเต็มไปด้วยความลำพอง รอยยิ้มก็ยิ่งอ่อนโยนเปี่ยมเสน่ห์ ดวงตาอบอุ่นอย่างไร้ขีดจำกัดที่จับจ้องมาทำให้โม่เสวี่ยถงขนลุกซู่ไปทั้งตัว ใบหน้าจำต้องทอยิ้มอ่อนโยนอย่างไม่มีทางเลือก แต่กลับยิ้มเยาะในใจ อยากเข้าไปฉีกหน้ากากจอมปลอมของเขาออกจนแทบทนไม่ไหว
ชาติที่แล้ว พอตนเองได้พบซือหม่าหลิงอวิ๋น ก็เฝ้าฝันละเมอคิดแต่อยากจะแต่งให้เขา เขาได้หัวใจของนางไปโดยไม่ต้องออกแรงอะไรเลย ชาตินี้นางได้รู้เช่นเห็นชาติ มองทะลุไปถึงจิตใจอันต่ำช้าโสมมของเขา แล้วจะแต่งให้เขาอีกได้อย่างไร ดังนั้นเขาจึงพยายามจับตนเองซ้ำแล้วซ้ำอีก หากครานี้สามารถปล่อยข่าวลือออกไปได้ จึงจะดีที่สุดกระมัง
ข่าวลือ? ก็ต้องดูว่าพวกเขามีความสามารถจะกุมันขึ้นได้หรือไม่
รถม้ากว้างขวาง ซือหม่าหลิงอวิ๋นรอให้โม่เสวี่ยถงกับโม่เสวี่ยฉงขึ้นรถไปเรียบร้อยแล้วจึงค่อยก้าวเข้าไป เมื่อเข้ามาถึงในตัวรถก็พบว่า โม่เสวี่ยฉงนั่งอยู่ตำแหน่งในสุด โม่เสวี่ยถงนั่งถัดออกมาด้านนอก ซือหม่าหลิงอวิ๋นเข้ามาถึง ที่นั่งด้านนอกเต็มหมดแล้ว จึงต้องเข้าไปนั่งด้านใน ซึ่งอยู่ใกล้กับโม่เสวี่ยฉง กลิ่นหอมจรุงเข้มข้นแผ่กำจายออกมาจากกายนาง กลิ่นหอมประเภทนี้เมื่อผสมผสานกลับความร้อนที่ออกมาจากร่างกายสามารถทำให้คนรู้สึกร้อนวูบวาบหัวใจเต้นแรง
“ตอนผ่านทางมา ซื่อจื่อเห็นพี่หญิงใหญ่บ้างหรือไม่เ้าคะ” โม่เสวี่ยถงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย พิงผนังรถด้านในแล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
ที่หน้าต่างแขวนด้วยม่านโปร่งบางเบา แสงสว่างจากภายนอกลอดผ่านเข้ามา ใบหน้าด้านข้างฉาบฉายด้วยแสงสีทองระยิบระยับเปล่งประกายในความมืด ทำให้ใบหน้าของนางยิ่งงดงามเหนือสามัญ ดูลึกลับมีเสน่ห์ประหนึ่งเทพเซียน แม้ว่ารูปร่างจะยังไม่เติบโตเต็มที่ แต่รอยยิ้มที่เจิดจรัสบนใบหน้ากลับทำให้คนตะลึงลาน
ซือหม่าหลิงอวิ๋นหันศีรษะไป มิได้เห็นนางเต็มใบหน้า แต่กลับเห็นซีกหน้าด้านข้างที่มีรอยยิ้มอ่อนโยนฉาบฉาย หัวใจพลันกระตุกเต้นไม่เป็จังหวะ ดวงตาร้อนผ่าวอย่างน่าประหลาด ั์ตาฉายแววลึกล้ำ รู้สึกรุ่มร้อนขึ้นอีกหลายส่วน หายใจหอบแรง ทันใดนั้นกลิ่นหอมฉุนจากกายของโม่เสวี่ยฉงที่อยู่ด้านข้างก็ลอยมาปะจมูก ทำให้รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา รีบหันศีรษะกลับไปอีกด้าน จึงค่อยสงบอารมณ์ลงได้
“ทางที่ข้าผ่านมาไม่พบกับคุณหนูใหญ่เลย แต่มาชมดอกเหมยวันนี้ถือว่าไม่เลว ได้ยินว่าดอกเหมยที่นั่นเบ่งบานเร็วกว่าที่อื่น คุณหนูทั้งสองจะได้เด็ดสักสองสามช่อไปปักแจกันไว้ชื่นชมเพื่อความสำราญ” เขายิ้มพลางซ่อนเร้นความผิดปรกติบางอย่างของร่างกายเอาไว้ แล้วขยับตัวไปด้านนอกให้ห่างจากโม่เสวี่ยฉง
โม่เสวี่ยฉงทำทีเหมือน้าฟังคำให้ได้ยินชัดเจนขึ้น จึงขยับเข้าไปให้ใกล้กับซือหม่าหลิงอวิ๋น เอียงคอขึ้นจ้องหน้าเขาก่อนเอ่ยถาม “อีกสักครู่ซื่อจื่อช่วยข้าเลือกสักสองสามกิ่งได้หรือไม่ ข้าจะได้นำกลับไปปักใส่แจกันที่ท่านมอบให้คราที่แล้ว”
“น้องหญิงสี่เกรงใจไปแล้ว แจกันใบนั้นลูกผู้น้องของข้าเป็คนนำมายามที่เข้าเมืองหลวง ข้าเห็นว่าเป็ของสตรี จึงส่งไปให้เหล่าคุณหนูและฮูหยินแต่ละจวน จวนละหนึ่งใบ คุณหนูสี่ชอบก็ดีแล้ว” แม้ว่าใบหน้าของเขาจะเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่เบื้องลึกในดวงตากลับฉายแววไม่พึงพอใจ
โม่เสวี่ยฉงแม้จะเป็บุตรอนุ แต่ก็ไม่มีความนุ่มนวลอ่อนโยนและเปี่ยมไปด้วยความสามารถเหมือนโม่เสวี่ยิ่ ถึงแม้จะหน้าตาสะสวย แต่ก็มิได้งามล่มเมืองเหมือนกับโม่เสวี่ยถง เขาไม่มีความสนใจในตัวนางแม้แต่น้อย แต่นางก็เพียรจะเบียดกายกระแซะเข้ามาไม่เลิกรา นำเื่ที่ไม่มีราคาค่างวดอันใดมาทำให้ดูเหมือนเขากับนางมีความรู้สึกพิเศษต่อกัน กลิ่นหอมฉุนจากกายนางทำให้เขารู้สึกรังเกียจยิ่ง ทว่าใบหน้าก็ยังคงผลิยิ้มเพื่อรักษาภาพลักษณ์อันดีงาม
เขามีใจต่อโม่เสวี่ยถง แล้วจะให้นางเกิดความแคลงใจได้อย่างไร ดังนั้นจึงต้องรีบอธิบายให้กระจ่างแจ้ง
เห็นโม่เสวี่ยฉงพยายามเบียดกายเข้าไปใกล้ชายหนุ่ม โม่เสวี่ยถงก้มลงด้วยท่าทางสงบนิ่ง กลอกตารอบหนึ่งก่อนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ซื่อจื่อสนิทสนมกับพี่หญิงใหญ่อย่างยิ่ง มิใช่ว่าก่อนหน้านี้ก็เคยส่งดอกเหมยไปให้อยู่หลายคราหรอกหรือเ้าคะ”
คำพูดแบบนี้ เมื่อออกจากปากของโม่เสวี่ยถงกลับเป็การเสียมารยาทอยู่ไม่น้อย เหมือนกับคำพูดของโม่เสวี่ยฉงที่มีนิสัยปากไว ซือหม่าหลิงอวิ๋นคิดไม่ถึงว่าโม่เสวี่ยถงจะเอ่ยวาจาตรงไปตรงมาเช่นนี้ ก็ตะลึงงันพูดไม่ออก สีหน้าทะมึนลงเล็กน้อย ขณะที่กำลังคิดหาวิธีแก้ต่าง โม่เสวี่ยถงกลับหัวเราะขำตนเองด้วยท่าทางเอียงอาย
“ข้าพูดผิดไปใช่หรือไม่เ้าคะซื่อจื่อ เอ... หรือว่าคราที่พี่หญิงใหญ่ตกม้า ซื่อจื่อจะไม่ได้เป็คนช่วยไว้ หากข้ากล่าวไม่ถูกต้องก็โปรดอย่าถือสาเลย ครั้งต่อไปข้าจะไม่เอ่ยถึงอีกแล้วเ้าค่ะ” ด้วยน้ำเสียงไพเราะอ่อนหวาน ยิ่งในตอนท้ายยังแสดงเจตนายอมรับผิด ทำให้คนนึกถึงเื่ที่นางถามอย่างไร้มารยาทเมื่อครู่ ผนวกกับเื่นี้เข้าไปอีกเื่ ก็พอจะรู้ได้ว่ามีเื่แบบนี้เกิดขึ้นจริงๆ หากซือหม่าหลิงอวิ๋นยังหยิบเื่นี้มากล่าวอีก ก็เท่ากับว่าจิตใจคับแคบ
ยิ่งไปกว่านั้นบุรุษที่ไหนจะเอาเื่เอาราวกับสาวน้อยคนหนึ่งที่กล่าวคำขออภัยอย่างบริสุทธิ์ไร้เดียงสากันเล่า
“บ้านข้ากับสกุลโม่มีมิตรภาพที่ดีต่อกันมายาวนาน ข้ากับคุณหนูใหญ่ย่อมสนิทสนมกันมากกว่าบ้านอื่น นอกจากนี้ก็ยังเป็เพื่อนสนิทกับคุณชายใหญ่ด้วย เห็นคุณหนูใหญ่ได้รับาเ็จึงส่งนางกลับบ้าน จริงสิ... คุณหนูสามก็เพิ่งมาถึงเมืองหลวง ไม่ทราบว่าได้ไปเที่ยวเล่นในเมืองมาบ้างหรือยัง หากคุณหนูสามอยากไปเที่ยวชมเมือง ให้คนมาตามข้าก็ได้ ข้าจะพาคุณหนูสามไปเที่ยวในที่สนุกๆ อย่างแน่นอน”
แม้จะกล่าวโทษโม่เสวี่ยถงไม่ได้ แต่ก็จำเป็ต้องอธิบาย สีหน้าของซือหม่าหลิงอวิ๋นยังคงอาบด้วยรอยยิ้มอบอุ่น สายตาทอดมองมาทางโม่เสวี่ยถง แล้วเสชวนคุยไปเื่อื่น
แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาล้วนอยู่ในสายตาของโม่เสวี่ยฉง
“ซื่อจื่อกับพี่หญิงใหญ่ของข้าสนิทกันมากจริงๆ นั่นแหละ ครั้งก่อนได้ยินว่าซื่อจื่อยังไปที่เรือนฝูฉิงของพี่หญิงตั้งสองสามครั้ง นำกำไลข้อมือไปให้พี่หญิงหลายชิ้น ข้ายังได้ตุ้มหูคู่หนึ่งมาจากนางเลย สวยงามยิ่ง สายตาของซื่อจื่อนับว่าไม่เลวจริงๆ ครั้งหน้าหากนำเครื่องประดับมาให้พี่หญิงใหญ่อีก ไม่ทราบว่าจะช่วยหามาให้ฉงเอ๋อร์สักสองสามชิ้นได้หรือไม่”
หากกล่าวว่าคำพูดของโม่เสวี่ยถงเมื่อครู่เป็การละลาบละล้วงเสียมารยาท คำพูดนี้ของโม่เสวี่ยฉงก็เป็การตีแสกหน้าโดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่ซือหม่าหลิงอวิ๋นพยายามจะเบี่ยงเบนประเด็นไปคุยเื่อื่น แต่นางก็เพียรใช้สีหน้าน่ารักไร้เดียงสา คล้ายไม่รู้สักนิดว่าคำพูดของตนเองเป็หลักฐานบ่งชี้ว่าซือหม่าหลิงอวิ๋นกับโม่เสวี่ยิ่มีสัมพันธ์ส่วนตัวกันจริง และยังมีหลักฐานที่พิสูจน์ได้อีกด้วย
เื่นี้หากแพร่งพรายออกไป อีกทั้งยังมีโม่เสวี่ยฉงเป็พยานรู้เห็น ชื่อเสียงของทั้งสองคนคงถูกทำลายย่อยยับ
ยิ่งในเวลาที่ซือหม่าหลิงอวิ๋นกำลังพยายามทำให้โม่เสวี่ยถงเกิดความรู้สึกดีกับตนเอง คำพูดของโม่เสวี่ยฉงเมื่อครู่นี้ถือเป็การเปิดเผยว่าซือหม่าหลิงอวิ๋นกับโม่เสวี่ยิ่แอบมีความรู้สึกส่วนตัวกันจริงๆ ใบหน้าของซือหม่าหลิงอวิ๋นพลันแดงก่ำ สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็เย็นเยียบ
“คุณหนูสี่กล่าวอะไรเช่นนั้น แม้ว่าข้าจะไม่รู้ความเพียงใด ก็ไม่อาจส่งของขวัญไปให้คุณหนูใหญ่โดยตรงได้ ครั้งนั้นเป็เพราะมารดาของข้าชมชอบคุณหนูใหญ่ จึงกำชับให้ข้าส่งกำไลไปให้นาง มิใช่ว่าข้ากับคุณหนูใหญ่มีความสัมพันธ์อันใดต่อกัน คุณหนูสี่เข้าใจผิดไปแล้ว”
คำพูดของเขาในเวลานี้เปลี่ยนจากความอับอายกลายเป็โทสะ ยิ่งมีกลิ่นหอมจากกายของโม่เสวี่ยฉงลอยมาเป็ระยะก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกรังเกียจ หัวใจเริ่มกรุ่นโกรธ คำพูดจึงไม่ได้น่าฟังเท่าใดนัก
“ขออภัยเ้าค่ะ ซื่อจื่อ ฉงเอ๋อร์ไม่มีเจตนาเช่นนั้น อาจเป็เพราะพี่ใหญ่เข้าใจผิดไปแล้ว ฉงเอ๋อร์ก็เลยพลอยเข้าใจผิดตามไปด้วย ฉงเอ๋อร์ก็คิดว่าบุรุษที่มีคุณธรรมดีงามเช่นซื่อจื่อจะกระทำเื่เช่นนั้นได้อย่างไร วันนี้ก็แค่ลองถามดู แท้จริงแล้วพี่หญิงใหญ่ก็เข้าใจผิดไปจริงๆ” โม่เสวี่ยฉงรีบกล่าวขอโทษอย่างรวดเร็ว ทำเหมือนว่าคำพูดร้ายกาจเมื่อครู่มิใช่นางเป็คนพูด ยิ้มอ่อนหวานปัดความผิดไปที่โม่เสวี่ยิ่ทั้งหมด
คิดเองเออเอง ตัดสินใจโดยพลการ ช่างสำคัญตนเองสูงยิ่ง...
โม่เสวี่ยถงซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังของนางแอบเบ้ปากอย่างลับๆ ดูๆ ไป โม่เสวี่ยฉงก็มิใช่หุ่นฟางสมองกลวง น้องสี่ของตนผู้นี้มิอาจดูแคลนได้จริงๆ แต่แบบนี้ก็ดี เหมาะสมที่จะใช้เป็หมากเอาไว้ต่อสู้กับคนใจอำมหิตอย่างโม่เสวี่ยิ่ เดิมทียังวิตกอยู่ว่าโม่เสวี่ยฉงอ่อนแอเกินไป ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของโม่เสวี่ยิ่ คิดไม่ถึงว่าโม่เสวี่ยฉงจะทำให้นางรู้สึกทึ่งได้ถึงเพียงนี้
แม้ว่าซือหม่าหลิงอวิ๋นจะไม่ชอบโม่เสวี่ยฉง แต่เมื่อเห็นนางยอมกล่าวขอโทษ แววตาคล้ายตัดพ้อ คล้ายฉอเลาะอยู่ในทีที่มองมา กระตุ้นให้เขานึกถึงศักดิ์ศรีของลูกผู้ชาย แม้ว่าจะโมโหโกรธาเพียงใดก็ไม่อาจระบายโทสะออกไปได้ ยามนี้เมื่อเห็นใบหน้าของนางดูงดงามอ่อนหวาน ความรักฉายชัดในแววตา ชั่วขณะนั้นก็รู้สึกว่าโม่เสวี่ยฉงมิได้ดูน่ารังเกียจถึงเพียงนั้นอีก กลิ่นหอมจากกายนางก็ไม่ถึงกับฉุนจนรับไม่ได้
ปฏิกิริยาเมื่อโม่เสวี่ยฉงเข้ามาใกล้ ก็มิได้มีท่าทางต่อต้านเหมือนเช่นตอนแรก รู้สึกว่าร่างกายของตนเองรุ่มร้อนขึ้นเล็กน้อย กลิ่นหอมจรุงและเรือนร่างที่อ่อนนุ่มของโม่เสวี่ยฉงยามที่กระแซะเข้ามาใกล้ ทำให้หัวใจรู้สึกหวิวไหว
“ซื่อจื่อ ป่าเหมยที่พวกเรากำลังจะไป ต้องผ่านป่าเหมยในจวนของจิ้นอ๋องหรือไม่ ได้ยินว่าทิศใต้ด้านหลังของป่าเหมยผืนนั้นคือจวนจิ้นอ๋อง มีคนเล่าขานกันว่าเมื่อสามสิบปีก่อน จวนจิ้นอ๋องงดงามเป็หนึ่ง ด้านในเดินสามก้าวก็จะเห็นทิวทัศน์แบบหนึ่ง ทุกห้าก้าวก็จะเห็นหอสูงหลังหนึ่ง งดงามไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าวังหลวง ไม่ทราบว่าซื่อจื่อเคยเข้าไปในจวนจิ้นอ๋องหรือไม่” แววตาของโม่เสวี่ยฉงเต็มไปด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง คำถามที่หวานหูเยี่ยงนี้ยิ่งทำให้เขารู้สึกดี
โดยเฉพาะในสถานการณ์แบบนี้ ไม่รู้ว่าซือหม่าหลิงอวิ๋นจงใจหรือไม่ มือของเขาแหวกผ่านชายกระโปรงด้านหนึ่งของนางราวกับกำลังเลิกผ้าม่าน ดูใกล้ชิดอบอุ่นยิ่ง โม่เสวี่ยฉงหน้าแดงระเรื่อ ลูบไล้ไปบนชายกระโปรงของตนเองด้วยท่าทางเอียงอาย ใบหน้าแดงระเรื่อยิ่งทำให้ดูงดงามแช่มช้อยกว่าปรกติมากนัก
ดวงตาของซือหม่าหลิงอวิ๋นจับอยู่ที่ใบหน้าของโม่เสวี่ยฉง ลมหายใจรุ่มร้อนขึ้น ขณะที่กำลังจะเอ่ยปาก รถม้าพลันหยุดกะทันหัน โม่เสวี่ยฉงที่นั่งอยู่ข้างเขาจับยึดสิ่งใดไว้ไม่ทันจึงพุ่งถลาเข้าสู่อ้อมอกของซือหม่าหลิงอวิ๋นโดยตรง
ทั้งสองต่างตะลึงงัน ตระกองกอดซึ่งกันและกันด้วยสัญชาตญาณไร้ปฏิกิริยาตอบสนองไปชั่วขณะ ซือหม่าหลิงอวิ๋นรู้สึกเพียงว่าใบหน้าที่อยู่เบื้องหน้าสายตาของตนเองช่างเย้ายวนมีเสน่ห์เหลือเกิน ทำให้เขาไม่อยากปล่อยมือ อยากสบตาอยู่เช่นนี้มีเพียงกันและกันเท่านั้น
“ซื่อจื่อ ถึงป่าเหมยแล้วขอรับ” เสียงคนบังคับรถกล่าวรายงานมาจากด้านนอก
โม่เยี่ยลากสาวใช้ของโม่เสวี่ยฉงะโลงจากรถก่อน
“ถึงป่าเหมยแล้ว งั้นข้าลงไปก่อนนะ” โม่เสวี่ยถงร้องบอกเสียงเบา ก่อนยกกระโปรงขึ้นเล็กน้อย เลิกม่านรถออกไป โม่เยี่ยรอรับนางอยู่นานแล้ว และค่อยๆ ประคองให้ลงจากรถ ม่านรถปิดลงไปเช่นเดิม บดบังภาพของสองคนด้านในที่กำลังกอดกันกลม
เมื่อก้าวลงมาจากรถ สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าก็คือดอกเหมยที่งดงามละลานตา ชูกิ่งก้านระหงอวดประชันความงาม หิมะสีขาวเกาะพราวอยู่นดอกเหมยสีชมพู งามสล้างไปทั้งผืนป่า เมื่อมองแวบแรกเห็นแต่สีขาวๆ แดงๆ เป็พุ่มกระจายไปทั่ว ดอกเหมยถูกหิมะขาวกระจ่างปกคลุมไปเสียสามส่วน แต่หิมะกลับพ่ายต่อกลิ่นหอมจรุง ทว่าเมื่อทั้งสองอย่างมาจับคู่กันกลายเป็ความกลมกลืน เสมือนหญิงสาวที่มีความงามเป็เลิศ
สมแล้วที่เป็ป่าเหมยที่ขึ้นชื่อที่สุดในจวนจิ้นอ๋อง