เล่มที่ 4 บทที่ 94
ด้วยท่าทีของเฉินเทียนหยูทำให้มู่หรงฉิงทำอะไรไม่ถูก ขณะเฉินเทียนหยูกำลังส่งเสียงร้องโวยวายจะไปนอนกับมู่หรงฉิง จ้าวจื่อซินก็ยืนอยู่ด้านหลังราวกับผี “คุณชายรอง เ้า้าผลไม้หรือไม่?”
“ผลไม้หรือ?” เฉินเทียนหยูที่ยังคงร้องโวยวายเอาแต่ใจ ตอบรับคำพูดของจ้าวจื่อซินและลุกขึ้นยืนทันที “ให้ข้า”
“อยู่ในห้องด้านข้างทางทิศตะวันตก คุณชายรองไปหามันด้วยตัวเอง หาได้เท่าไรก็กินได้เท่านั้น” วางดาบลงบนโต๊ะ น้ำเสียงของจ้าวจื่อซินเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม
ที่ผ่านมา จ้าวจื่อซินมักจะควบคุมปริมาณผลไม้อยู่เสมอ และทุกครั้งที่เฉินเทียนหยูอยากกินมากขึ้น จ้าวจื่อซินก็จะให้เขาในสัดส่วนที่เพียงพอ เมื่อได้ฟังจ้าวจื่อซินพูดเช่นนั้น เขาจะยังคงง่วงได้อย่างไร? เขาวิ่งออกไปด้วยดวงตาเป็ประกาย
“เตียงนั้นเพิ่งปูเสร็จ หลังจากคุณชายรองกินหมดแล้ว ก็นอนสักพักเถอะ” จ้าวจื่อซินพูด เฉินเทียนหยูตอบหลังจากวิ่งไปไกลแล้ว “ได้เลย”
คำพูดสองสามประโยคของจ้าวจื่อซินก็สามารถส่งเฉินเทียนหยูออกไปแล้ว มู่หรงฉิงชื่นชมเขาจริงๆ เนื่องจากยามที่เฉินเทียนหยูตอแยคนขึ้นมา นางถึงกับอับจนหมดหนทางจริงๆ
“ข่าวคราวที่เ้า้าได้แล้ว เ้าจะฟังตอนนี้หรือจะฟังหลังจากนี้สักพัก?” เขาวางข้อศอกลงบนโต๊ะ วางคางไว้บนมือที่ประสานกัน แล้วมองนาง “เ้าคาดเดาไม่ผิด ฮูหยินหลิงคนนั้นมีชีวิตที่ไม่ราบรื่นสบายจริงๆ ด้วย”
“เร็วมากเช่นนี้เชียวหรือ?” นางรู้ว่าเขามีวิธีในการสืบเสาะข้อมูล แต่ไม่คิดว่าจะเร็วถึงเพียงนี้ แค่คืนเดียวกลับได้ข่าวคราวแล้ว
“เ้านายให้ความสำคัญกับจ้าวจื่อซิน ถ้าจ้าวจื่อซินไม่ทำอย่างสุดความสามารถ แล้วจะทำให้เ้านายพอใจได้อย่างไร” คำพูดหยอกล้อปราศจากความเ็า ดวงตาที่เคยเ็าในอดีต เวลานี้กลับเหมือนระลอกคลื่นของน้ำพุในฤดูใบไม้ผลิ
ทว่าสมองของมู่หรงฉิงมีแต่เื่ที่เกี่ยวกับฮูหยินหลิง นางจึงไม่ได้สนใจถึงการเปลี่ยนแปลงของจ้าวจื่อซิน นางรีบพูดว่า “เ้าบอกข้าที ว่านางมีความเกี่ยวข้องกับหลิงชิงป๋อหรือไม่?”
“ถ้าข้าบอกว่าพวกเขาเป็พี่น้องกัน เ้าจะเชื่อหรือไม่?” ตอนได้ยินข่าว แม้กระทั่งเขาเองยังตกตะลึงอยู่ชั่วครู่หนึ่ง แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่า หลังจากเขาพูดออกมา มู่หรงฉิงกลับเหมือนจะรู้ล่วงหน้าเป็เวลานานแล้ว นางไม่มีร่องรอยของความประหลาดใจแต่อย่างใด
เมื่อคืนมู่หรงฉิงคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างฮูหยินหลิงและหลิงชิงป๋อเป็เวลานานสองนาน ขณะพิจารณาจากจดหมายของท่านแม่ ฮูหยินหลิงและหลิงชิงป๋อจะต้องมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้น ท่านแม่จะไม่บอกว่ารู้สึกผิดต่อครอบครัวหลิง
อย่างไรก็ดีแม้นางจะรู้ว่าฮูหยินหลิงมีส่วนเกี่ยวข้องกับหลิงชิงป๋อ ถึงกระนั้นนางไม่ได้คิดว่าทั้งคู่จะเป็พี่น้องกัน แม้นางจะแปลกใจกับข้อมูลนั้น แต่เพราะนางเตรียมพร้อมมาก่อนแล้ว นางถึงได้สงบสุขุมเช่นเดิม
“ยังมีอะไรอีกหรือ?” เนื่องจากฮูหยินหลิงและหลิงชิงป๋อเป็พี่น้องกัน แล้วทำไมฮูหยินหลิงถึงได้กลายเป็น้องสาวของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันได้ล่ะ?
“ถ้าเ้าไม่ถามข้า เกรงว่าคงจะไม่มีใครบนแผ่นดินจะรับรู้เื่ดังกล่าว นอกจากคนที่เกี่ยวข้องในเวลานั้น” จ้าวจื่อซินรู้สึกภาคภูมิเล็กน้อย ก่อนที่จะกล่าวต่อว่า “ตามแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ คนที่ฮูหยินหลิงแต่งงานนั้น เป็แม่ทัพใหญ่พิทักษ์แผ่นดินผู้มีอายุมากกว่าสิบปีซึ่งเป็พี่ชายต่างมารดาโดยมารดาของเขามีตำแหน่งเป็อนุ”
จ้าวจื่อซินจงใจหยุดจังหวะชั่วคราวและไม่พูดอะไรอีก แน่นอนว่าคราวนี้มู่หรงฉิงตกตะลึงแล้ว
แต่งงานกับพี่ชายของตัวเองหรือ? ถึงแม้ว่าจะเป็พี่น้องร่วมบิดาแต่คนละแม่ ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนความจริงที่ว่าเป็สายเืที่ใกล้ชิดกันได้ เป็ธรรมดาที่ลูกพี่ลูกน้องจะแต่งงานกันั้แ่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน แต่ไม่เคยได้ยินเื่การแต่งงานกับพี่ชายแท้ๆ มาก่อนเลย
“ได้ยินมาว่าเพื่อคนใดคนหนึ่ง และคนนั้นเป็ผู้หญิงคนหนึ่งเสียด้วย ใน่เวลานั้น หลังจากฮ่องเต้ได้อำนาจในการครองบัลลังก์ไม่นาน ฮ่องเต้ก็ได้มีการชำระล้างขุนนางครั้งใหญ่ และแม่ทัพใหญ่พิทักษ์แผ่นดินคนนั้นเป็ผู้ภักดีต่อฮ่องเต้องค์ก่อน จึงกลายเป็หนามในสายตาของฮ่องเต้ แม่ทัพใหญ่พิทักษ์แผ่นดินมียศศักดิ์สูงส่งและมีบารมีในราชสำนัก ขณะเดียวกันเขายังชนะใจประชาชนอีกด้วย หากกำจัดออกไปโดยตรง เกรงว่าจะเป็เื่ยากที่จะทำให้ประชาชนเห็นด้วย ดังนั้นฮ่องเต้จึงคิดถึงกลหญิงงาม”
กล่าวจบจ้าวจื่อซินได้เว้นจังหวะการสนทนาอีกหนโดยวิตกกังวลว่า คำพูดต่อไปนี้จะเป็ต้นเหตุให้นางเสียใจหลังจากได้ฟังหรือไม่? กลัวว่านางจะเสียใจ ถึงกระนั้นมันกลับไม่อาจปิดบังได้ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ข่าวคราวนี้ก็มีความสำคัญกับนางเป็อย่างมาก เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงพูดต่อ
“หลังจากฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์เป็เวลานานกว่าหนึ่งเดือน ก็ปรากฏว่า พบน้องสาวของฮ่องเต้ที่หายไปอย่างลึกลับถึงสองคน หลังจากพบองค์หญิงทั้งสองคน และได้รับสถาปนายศศักดิ์ คนหนึ่งคือฮูหยินชั้นที่หนึ่งคนปัจจุบัน และอีกคนหนึ่งหลังจากถูกสถาปนายศศักดิ์เป็เวลาสองสามวัน นางก็หายตัวไปไม่พบร่องรอย ทว่าเอกสารที่คนของข้าพบก็คือฮูหยินชั้นที่หนึ่ง เดิมเป็บุตรสาวของขุนนางในเมืองชิงโจว และพี่ชายของนาง เป็ที่ปรึกษาคนสำคัญของการแย่งชิงบัลลังก์ของฮ่องเต้ ส่วนองค์หญิงอีกคนหนึ่งที่ได้รับการสถาปนายศศักดิ์เพียงสองสามวันก็หายตัวไปคนนั้น คือ ซูชิงหย่า ลูกสาวคนสุดท้องของตระกูลซู และเหตุผลที่ฮูหยินหลิงแต่งงานกับแม่ทัพใหญ่พิทักษ์แผ่นดินในขณะนั้น น่าจะเกี่ยวข้องกับสตรีตระกูลซูซึ่งเป็แม่ของเ้า”
ครั้นเอ่ยคำว่า ‘ซูชิงหย่า’ สามคำ จ้าวจื่อซินได้เห็นความตื่นตระหนกบนใบหน้าของนางซึ่งฉายชัดมากกว่าความใ มันทำให้จ้าวจื่อซินไม่ค่อยมีความสุข
ในตอนแรกคิดว่า ข่าวคราวนี้ถูกเก็บเงียบไว้อย่างมิดชิดและมันก็น่าจะสดใหม่มากพอ แต่ทำไมหลังจากนางฟัง นางถึงดูไม่อยากรู้แม้แต่น้อย?
ท่าทีของมู่หรงฉิงทำให้จ้าวจื่อซินฉงนและผิดหวัง ...ผิดหวังเนื่องจากข่าวคราวนี้แลกกับการสูญเสียคนกล้าตายระดับหนึ่งหลายคน แต่นางกลับไม่มีท่าทางแปลกใจ สิ่งที่เขาฉงนคือปฏิกิริยาของนางกลับเป็ความตื่นตระหนกไม่ใช่ความแปลกใจ ตื่นตระหนกเหมือนกับว่านางคำนวณผิดและถูกคนเปิดเผยอย่างไรอย่างนั้น
“มู่หรงฉิง เ้ารู้เื่เ่าั้ทั้งหมดหรือ?” ถ้านางใจเย็นมากกว่านี้อีกเล็กน้อย เขาจะคิดว่าข้อมูลที่เขาหามาได้อยู่ในการคาดการณ์ของนางแล้วเท่านั้น
“ตามเวลาที่เ้าพูด คืนนี้เฉินเทียนหยูจะต้องคลุ้มคลั่งอย่างแน่นอน ใช่หรือไม่?” ไม่ได้ตอบคำถามของเขา มือของมู่หรงฉิงวางไว้บนตักของตนเองสั่นเทาเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับเห็นได้ชัด “ช่วยข้าเรียกท่านอาจารย์มาให้ด้วย ถ้าทำได้ ก่อนที่เฉินเทียนหยูจะคลุ้มคลั่ง นำอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทไปที่บ้านของเ้า”
รอต่อไปไม่ได้แล้ว ถ้ายังรออีกต่อไป นางรู้สึกโดยสัญชาตญาณว่า ถ้าเกิดถูกแม่รองเฉินแย่งโอกาสไปเสียก่อน นางจะต้องพ่ายแพ้อย่างราบคาบและจะไม่มีวันได้ฟื้นตัวขึ้นมาอีก
อนุหนิง้าฆ่านาง แม่รองเฉินอยากเก็บนางไว้ เวลาอันจำกัดนี้ทั้งสองคนจะรักษาชีวิตของนางไว้ต้องเพื่อแผนการสมรู้ร่วมคิดครั้งใหญ่ เนื่องด้วยนางคือหนึ่งในตัวหมาก ทั้งอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาท ทั้งฮูหยินหลิงต่างก็รวมอยู่ในการสมรู้ร่วมคิดในคราวนี้ด้วย ส่วนผู้เดินหมากคนสุดท้ายจะต้องเป็คนที่มีตำแหน่งสูงซึ่งนางไม่สามารถเข้าไปเกี่ยวข้องได้
คำตอบของมู่หรงฉิงไม่ใช่สิ่งที่ถาม และทำให้จ้าวจื่อซินอดไม่ได้ที่จะยิ้ม เขาเอ่ยคำว่า “ตอบ” โดยที่ไม่ได้ถามนางด้วยซ้ำว่านางจะทำอะไร
มู่หรงฉิงจึงพูดถึงรายละเอียดของการจัดแจงบางอย่างกับจ้าวจื่อซิน จากนั้นจ้าวจื่อซินก็ไม่ได้ชักช้าแต่อย่างใด เพราะท้ายที่สุดแล้ว เวลามีจำกัด เขาจึงหยิบดาบออกจากห้อง หลังจากจ้าวจื่อซินเดินไปเป็เวลานาน เป้ยหนิงถึงได้เดินโซเซเข้ามา เมื่อสายลมพัดก็หอบกลิ่นหอมของสุราโชยมาด้วย
“อืม สุราชั้นดี ข้าไม่คาดคิดเลยว่าจะไม่พบชา แต่กลับพบสุราดีๆ จำนวนมาก” ด้วยการกล่าวชมอย่างคลุมเครือ เป้ยหนิงเดินโซเซเข้ามาในห้องพร้อมกับถือขวดสุรา ั์ตาพร่ามัวหาสถานที่ที่มู่หรงฉิงนั่งอยู่ ครั้นรับรองได้ว่าอยู่ที่ใด นางจึงถือขวดสุรา ใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มสดใสเข้ามา “ศิษย์น้องที่แสนดี มา มา มาดื่มเป็เพื่อนศิษย์พี่หญิงกันเถอะ เดินทางมาถึงเมืองหลวง ข้ายังไม่ได้ดื่มสุราแม้กระทั่งจิบหนึ่งเลย วันนี้ข้าต้องดื่มให้เต็มที่ให้ได้”
หลังจากเรอ เป้ยหนิงก็ข้อเท้าพลิก มู่หรงฉิงเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะล้มอย่างรุนแรงจึงรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อประคอง “ดื่มสุราได้อย่างไรหรือ? ข้ายังมีสิ่งสำคัญที่จะพูดกับเ้าอยู่”
“บอกมาสิว่าสิ่งสำคัญอะไร? ดื่มสุราต่างหากล่ะที่เป็งานสำคัญ…” ลิ้นแข็งไม่สามารถอธิบายประโยคที่เหมาะสมได้ กระทั่งขวดสุราในมือ นางก็ไม่สามารถจับให้แน่นได้อีกต่อไป มันจึงตกลงกับพื้นพร้อมเสียง 'เพล้ง' ขวดสุราแตกออก และทันใดนั้นกลิ่นสุราก็โชยไปทั่วทุกทิศทุกทาง
“เกิดอะไรขึ้นหรือ?” มู่หรงฉิงมองเป้ยหนิงอย่างอับจนหนทาง เป้ยหนิงเมาหัวราน้ำ ปี้เอ๋อร์ผู้ซึ่งเพิ่งเสร็จงานจากข้างนอก ยกน้ำชาและกำลังจะไปส่ง เมื่อนางได้ยินเสียงบางอย่างแตกเพล้งในห้อง นางถึงได้เร่งความเร็วของฝีเท้าเพิ่มมากขึ้นทันที
เข้าไปในห้องก็เห็นสีหน้าอับจนหนทางของคุณหนูใหญ่ของตน โดยมีเป้ยหนิงซึ่งร่างสูงกว่าคุณหนูใหญ่พิงอยู่ด้วยท่าทางตัวอ่อนปวกเปียก
ปี้เอ๋อร์รีบวางถาดลงบนโต๊ะและสาวเท้าไปข้างหน้าเพื่อประคองเป้ยหนิง “อึดใจก่อนองค์หญิงหาน้ำดื่มไปทั่ว แต่บ่าวไม่คิดเลยว่าในเรือนนี้จะไม่มีแม้กระทั่งน้ำชา บ่าวจึงไปหาชา ไปต้มให้ใหม่โดยไม่ได้สังเกตว่าองค์หญิงหายไป ไม่คิดเลยว่า องค์หญิงจะพบสุราและดื่มเข้าไปจริงๆ”
ระหว่างที่กำลังพูด ปี้เอ๋อร์พลางคิดว่าองค์หญิงผู้นี้ช่างมีความสามารถจริงแท้ นางค้นหาชาเป็เวลานานและไม่พบ หลังจากสอบถามชิงยวี่ ถึงได้รู้ว่ามันอยู่ในห้องเก็บของชำ นางไม่คาดคิดเลยว่า องค์หญิงหายตัวไป หลังจากนั้นครู่หนึ่งนางกลับดื่มจนอยู่ในสภาพเช่นนี้แล้ว
“ข้ายังมีงานที่้าความช่วยเหลือจากนาง แต่นางก็เมามากเช่นนี้แล้ว โธ่” ถ้ามีเป้ยหนิงคอยให้ความช่วยเหลือคงจะได้ผลมากกว่าครึ่งหนึ่ง แต่ตอนนี้นางเมาหัวราน้ำไปแล้ว นางควรจะทำอย่างไรดี?
“หมอเทวดาเก่งมากถึงเพียงนั้น คิดว่าเขาคงจะมียาที่ไม่ทำให้เมา แม้จะดื่มสุราเป็พันจอกก็ตามกระมัง ทำไมคุณหนูใหญ่ถึงไม่อ่านตำราแพทย์ที่หมอเทวดาให้มา แล้วดูว่ามีวิธีทำให้องค์หญิงตื่นเร็วๆ หรือไม่?” หลังจากทั้งคู่ร่วมแรงนำร่างเป้ยหนิงวางลงบนเตียง ปี้เอ๋อร์จึงทำความสะอาดเศษขวดสุรา ในขณะที่มู่หรงฉิงก็นั่งลงที่โต๊ะและรินน้ำชาเพื่อดื่ม
มู่หรงฉิงรู้สึกว่าคำพูดของปี้เอ๋อร์มีเหตุผล “เ้าไปที่ห้องและไปหยิบตำราแพทย์มาให้ข้าที เ้าเรียกชิงยวี่ไปกับเ้าด้วย หลังจากที่เ้าหยิบตำราแพทย์มาแล้ว เ้าจะได้ใช้เส้นทางลับในการเดินทางกลับมาได้” พูดพลางมู่หรงฉิงคิดว่า จะต้องให้จ้าวจื่อซินเปลี่ยนเส้นทางลับนั้นให้ อย่างน้อยควรสามารถออกจากห้องได้ด้วยก็จะดี
ปี้เอ๋อร์ตอบรับและออกไปหาชิงยวี่ หลังจากนั้นไม่นาน นางก็เดินเข้าไปพร้อมกับตำราแพทย์เล่มหนา “เส้นทางลับนี้สะดวกมาก”
ด้วยรอยยิ้มอันนุ่มนวล มือหยิบตำราแพทย์ “อย่างน้อยก็ไม่ถูกแสงแดดร้อนเผาไหม้ใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้ว นอกจากนี้ ระยะทางใกล้มากด้วย ประหยัดเวลาตั้งครึ่งหนึ่งของการเดินเชียวล่ะ” ปี้เอ๋อร์หยิบพัดและยืนอยู่ด้านหลังมู่หรงฉิง ด้วยแรงลมทำให้กลิ่นสุราโชยเข้าจมูก นางรู้สึกว่า ระหว่างหายใจเข้าและหายใจออกนั้น นางได้กลิ่นหอมที่ไม่อาจบรรยายเป็คำพูดได้ มิหนำซ้ำยังเป็กลิ่นหอมที่ทำให้คนมัวเมาก่อนที่จะดื่มมันจริงๆ เสียอีก คิดว่าสุราขวดนั้นจะต้องมีรสชาติชั้นเลิศเป็แน่
ครุ่นคิดในใจ ในขณะที่มือนั้นพลิกหน้าตำราอย่างรวดเร็ว และปรากฏว่า เป็อย่างที่คาดไว้จริงๆ หลังจากพลิกหน้าตำราเพียงสองสามหน้า ก็พบวิธีการทำ 'น้ำแกงไม่เมา'
หลังจากอ่านอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว มู่หรงฉิงก็พูดกับปี้เอ๋อร์ว่า “เตรียมสมุนไพรตามใบสั่งยานี้ ถ้าเรือนหยางเซิงมี ก็จะเป็การดีที่สุด และจะเป็การดีที่สุด ที่จะไม่ไปเอาสมุนไพรจากหมอประจำจวน”
“ที่นี่จะต้องมีอย่างแน่นอน” หลังจากอ่านอีกหน ปี้เอ๋อร์ก็พูดอย่างแน่วแน่ว่า “เวลาที่บ่าวไปหาใบชาเมื่อหลายอึดใจก่อน ห้องเก็บของเบ็ดเตล็ดรกมากจริงๆ และในนั้นก็นับว่ามีทุกอย่าง”
“เกรงว่าเขาจะใช้มันทำเป็โกดัง เขาจะหาของในนั้นก็ต่อเมื่อถึงเวลาที่เขา้าใช้ ครั้นไม่ได้ใช้งาน เขาก็ทิ้งมันโดยไม่สนใจแล้ว” จ้าวจื่อซินจะไม่ดูแลเื่เล็กน้อยกระจุกกระจิกเ่าั้อย่างแน่นอน ทางด้านชิงยวี่ก็ยุ่งอยู่กับการทำงานทั้งวี่ทั้งวัน คิดว่าพวกเขาคงจะไม่มีเวลาดูแลห้องนั้นมากนัก สำหรับคนอื่นๆ คาดว่าพวกเขาจะเข้าไปจัดระเบียบ แต่หลังจากเก็บกวาดจัดระเบียบแล้วมีความเป็ไปได้ว่าจะถูกคนทำให้รกอีกหนจึงปล่อยมันไป กระทั่งคร้านเกินกว่าจะเข้าไปดูแล
มู่หรงฉิงไม่เข้าใจเช่นเดียวกันว่า ทำไมหลังจากฟังคำพูดของปี้เอ๋อร์ นางถึงได้มีคำตอบเช่นนั้นในใจ? ในจิตสำนึกของนาง จ้าวจื่อซินดูเหมือนจะแตกต่างไปจากเมื่อก่อนซึ่งแตกต่างกันอย่างไรนั้น นางกลับไม่สามารถบอกได้ นางแค่รู้สึกว่า ใน่เวลาสองวันที่ผ่านมา จ้าวจื่อซินทำตัวแปลกๆ น้อยลงแต่กลับเริ่มสนใจเื่ความมืดมิดในจวนแห่งนี้