หลักสูตรวิชาเรียนของตระกูลจิ่งมีอยู่มากมาย แต่ที่สำคัญที่สุดก็ยังคงเป็วิชาเกี่ยวกับอาชีพดั้งเดิมของตระกูลจิ่ง นั่นก็คือ ‘วิชาแพทย์’ หรือวิชาที่เกี่ยวกับเื่เภสัชวิทยาและการรักษาโรคต่างๆ ตระกูลจิ่งลงทุนลงแรงไปอย่างมากเลยทีเดียว นอกจากจะสร้างโรงเรียนขึ้นมาเพื่อสอนเื่ทฤษฎีและความรู้แล้ว ยังมีหลักสูตรภาคปฏิบัติอีกมากมาย รวมถึงวิชาการปลูกและแยกประเภทสมุนไพร วิชาจับชีพจรตรวจโรค วิชาการฝังเข็มและการนวดจับเส้น เป็ต้น
วิชาเหล่านี้ลูกหลานตระกูลจิ่งเรียนมาั้แ่เล็ก เนื้อหานั้นก็มาจากตำราที่บรรพบุรุษตระกูลจิ่งได้เขียนรวบรวมเอาไว้ หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากมายนัก ก็จะทำการปรับปรุง แก้ไขทุกๆ ห้าปี ปัจจุบันนี้เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบเป็อย่างมาก
โรงเรียนของตระกูลจิ่งถูกสร้างอยู่ในหมู่บ้านสกุลจิ่ง ฝั่งด้านหลังมีพื้นที่ขนาดใหญ่ ไม่ดูวุ่นวายเหมือนฝั่งด้านหน้า เงียบสงบยิ่งเหมาะสมสำหรับการเรียนการสอน สิ่งที่ล้อมรอบโรงเรียนอยู่ก็คือสวนสมุนไพร ตระกูลจิ่งมีสวนสมุนไพรมากมายกว้างขว้าง ที่นี่ไม่นับว่าใหญ่ที่สุด แต่มีชนิดของสมุนไพรหลากหลายมากที่สุด นอกจากบางชนิดที่ค่อนข้างพิเศษและล้ำค่าแล้ว อย่างอื่นล้วนมีปลูกไว้ทั้งหมด เรียกได้ว่าเป็อีกหนึ่งส่วนสำคัญที่ผู้เขียนตั้งใจเขียนบรรยายเอาไว้ สมุนไพรที่นี่น้อยมากที่จะนำไปเก็บไว้ในคลังสมุนไพรของตระกูลจิ่ง ส่วนใหญ่เอาไว้สำหรับให้ลูกหลานตระกูลจิ่งใช้เรียน
อ๋าวหรานมาอยู่ตระกูลจิ่งนานขนาดนี้แล้ว ยังไม่เคยมาที่นี่ เขาจึงเดินตามจิ่งเซียงมาด้วย ต้นไม้สูงตระหง่านเสียดฟ้าเขียวชอุ่ม ทางเดินหินที่กว้างขวางและเป็เส้นตรงยาว เขาได้กลิ่นใบไม้และดินโคลนเต็มจมูก หายใจเข้าแล้วทำให้รู้สึกสบายและสดชื่น
ตอนที่อ๋าวหรานเพิ่งมาถึงโลกนี้ใหม่ๆ นั้นยังเป็ต้นฤดูร้อน ตอนนี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แต่ต้นไม้ใหญ่เหล่านี้ยังคงเป็สีเขียวมรกต กิ่งก้านและใบหนาแน่นเขียวชอุ่ม แสงอาทิตย์ลอดผ่านกิ่งไม้ใบไม้ทำให้มีแสงลอดตกกระทบลงมาบ้าง ในใบไม้หนาแน่นนั้นยังมีเสียงนกร้องลอดออกมาด้วย เป็เสียงเสนาะกังวานใส ทำให้ที่นี่ยิ่งดูเงียบสงบและสวยงาม
อ๋าวหรานรู้สึกจิตใจเบิกบานมีความสุขอย่างยิ่ง อดทอดถอนใจไม่ได้ “ได้มาเดินอยู่ตรงนี้ช่างดีเสียจริง รู้สึกเหมือนอยากจะเดินต่อไปเรื่อยๆ ไปตลอด”
จิ่งเซียงหัวเราะเยาะพูดว่า “ทำไมเ้าถึงดูเหมือนคนอายุสักเจ็ดแปดสิบเลยเล่า?”
อ๋าวหรานอดรู้สึกอยากกระอักเืไม่ได้ เ้าเด็กน้อยนี่ไม่รู้จักสุนทรียภาพเอาเสียเลย
สองคนดูผ่อนคลายสบายใจ แต่การเดินกลับเดินอย่างรวดเร็ว เมื่อเดินไปจนสุดทางก็ถึงโรงเรียนของตระกูลจิ่ง หลุดจากเงาของแมกไม้ใบหญ้าที่บดบังท้องนภาออกไปก็เป็พื้นที่กว้าง เห็นเรือนหลังคามุงกระเบื้องแบบโบราณซ้อนทับกันเต็มไปหมด อิฐสีเทาอ่อน เสาเป็สีดินแดง มีเสียงหัวเราะร่าเริงสดใสลอยออกมาจากด้านใน อ๋าวหรานรู้สึกเหมือนกลับไปยังห้องเรียนสมัยมัธยม มีเสียงพูดคุยหยอกล้อของเพื่อนนักเรียนดังอยู่ข้างหู ทำให้รู้สึกหวนคิดถึงอดีต
จิ่งเซียงพูดอย่างมีความสุขว่า “ไปกันเถอะ พาเ้าไปดูโรงเรียนของพวกเราตระกูลจิ่ง”
อ๋าวหรานเดินเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาผ่านเรือนสองสามหลังไปพร้อมกับจิ่งเซียง จิ่งเซียงเดินไปแนะนำไปว่า “ด้านหน้านี้เป็ห้องเรียนของเด็กในหมู่บ้านที่อายุยังน้อย วิชาที่เรียนส่วนใหญ่เป็วิชาพื้นฐาน ถ้าหากเ้าจะเริ่มเรียน คาดว่าคงต้องเรียนร่วมกับพวกเขา หรือไม่เ้าก็เรียนเหมือนอย่างข้าไปเลย ความรู้พื้นฐานบางอย่างพอว่างแล้วค่อยมาเรียนเสริมเพิ่มเอา วันนี้ข้าจะพาเ้าไปนั่งฟังวิชาที่ข้าเรียนก่อน อาจารย์ผู้สอนวันนี้เป็พี่ชายของข้าเชียวนะ”
จิ่งฝานผู้เป็ตัวเอกในนิยาย ความอัจฉริยะแน่นอนว่าไม่ใช่การพูดเรื่อยเปื่อย แน่นอนว่าในตระกูลจิ่ง มีน้อยคนนักที่สามารถมาถึงขั้นนี้ได้ด้วยอายุเพียงเท่านี้ คนส่วนใหญ่เรียนเยอะ แต่ก็เป็เพียงแค่การถมความรู้ลงไปในสมองเท่านั้น ไม่รู้เลยว่าจะเอาความรู้ที่มีอยู่ในสมองนี้ไปพัฒนาต่อยอด หรือว่าเอาไปใช้ต่อได้อย่างไรบ้าง บางคนก็เข้าใจลึกซึ้งเพียงแค่ศาสตร์แขนงเดียวหรืออาจจะสองสามแขนง แต่จิ่งฝานนั้นกลับต่างออกไป ไม่ว่าจะเป็เภสัชวิทยาหรือการจับชีพจรตรวจโรค ไม่ว่าจะเป็การฝังเข็มหรือการจ่ายยา ไม่มีอะไรที่เขาทำไม่ได้ แม้แต่ “ตำรับหมื่นโอสถ” ของตระกูลจิ่ง ก็มีตำรับยาใหม่ๆเพิ่มเข้าไปมากมายจากการปรับปรุงตำรับยาดั้งเดิมที่มีอยู่ของเขา และเขายังแก้ไขตำรับยามากมายที่ไม่ค่อยเหมาะสมที่บรรพบุรุษรุ่นก่อนๆ ทิ้งเอาไว้อีกด้วย
ครั้งแรกที่จิ่งฝานปรับแก้ตำรับยานั้นเขาเพิ่งอายุเจ็ดขวบ ถึงแม้ว่าตอนนั้นเขาจะเป็อัจฉริยะที่ตระกูลจิ่งยอมรับไปแล้ว แต่แิของเขาก็ยังคงพบกับการคัดค้านของผู้าุโหลายคนในตระกูล รวมถึงบิดาของจิ่งฝานเองก็ยังคงมีความสงสัยเคลือบแคลงอยู่ แต่จิ่งฝานกลับยืนหยัดในความคิดของตนเอง ดังนั้นหลังจากผ่านการทดสอบนับครั้งไม่ถ้วนก็สามารถพิสูจน์ได้ว่า ตำรับยาของจิ่งฝานนั้นได้ผลดีกว่า ทั้งยังมีผลค้างเคียงน้อยกว่า ทำให้คนตระกูลจิ่งตกตะลึง อายุยังน้อยเพียงเท่านี้ กลับมีความคิดแบบนี้ที่ชาญฉลาดขนาดนี้ได้ ที่สำคัญก็คือยังสามารถยืนหยัดในความคิดของตนเองอยู่ได้ นับว่าหาได้ยากยิ่ง ครั้งแรกคนส่วนใหญ่ยังคงใ สงสัย แต่หลังจากที่ผ่านไปหลายต่อหลายครั้ง คนส่วนใหญ่ก็กลายเป็ชินชาแล้ว หรืออาจจะเรียกได้ว่า พวกเขาเกิดความคิดที่ว่า เด็กน้อยคนนี้เป็อัจฉริยะ ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรก็ล้วนถูกทั้งสิ้น เช่นนี้ขึ้นมา
ของที่คนอื่นใช้เวลาเรียนสิบกว่าปีหรือหลายสิบปี เขาใช้เวลาแค่ไม่กี่ปีก็แซงหน้าคนเ่าั้ได้แล้ว เมื่อจิ่งฝานอายุครบยี่สิบปี ผู้าุโที่าุโมากที่สุดมีความรู้กว้างขวางมากที่สุดก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่า เขาไม่สามารถสอนจิ่งฝานได้อีกต่อไปแล้ว
ดังนั้นจิ่งฝานที่ไม่มีใครสอนได้อีกแล้ว ก็เริ่มมาสอนนักเรียนแทน
อ๋าวหรานใช้เวลาเดินมากับจิ่งเซียงห้าถึงหกนาทีจึงจะมาถึงสถานที่เรียนของนาง ยังไม่ทันได้เข้าไปก็ได้ยินเสียงดังออกมาจากด้านใน ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเรียน ตระกูลจิ่งกำหนดเวลาเรียนของเด็กเล็กๆ ไว้ค่อนข้างเคร่งครัด ส่วนนักเรียนที่โตแล้วก็ค่อยผ่อนคลายลงสักหน่อย เพราะเด็กที่โตแล้วนอกจากเรียนแล้วก็ยังมีภารกิจอย่างอื่นที่ต้องทำอีกมาก อีกทั้งคนที่ควรรู้ความ ก็รู้ความแล้ว คนที่ไม่รู้ความต่อให้บังคับควบคุมสักเท่าไรก็ไม่เป็ผล
ตอนที่จิ่งเซียงเข้าไป คนส่วนใหญ่เงียบเสียงลงเล็กน้อย พอเห็นว่าเป็จิ่งเซียงก็เริ่มหัวเราะพูดคุยเสียงดังขึ้นมาอีก เด็กสาวสองสามคนเองก็เริ่มส่งเสียงทักทาย
จิ่งเซียงลากอ๋าวหรานไปนั่งตรงตำแหน่งที่ค่อนข้างจะอยู่ตรงกลาง