ทั้งสองเดินออกจากห้างสรรพสินค้า เตรียมไปขึ้นรถที่สถานีขนส่งเพื่อกลับบ้าน ทันใดนั้นสวี่ฮุ่ยก็เห็นกู่ซิ่ว
เธอยืนอยู่ใต้รูปปั้นทองสัมฤทธิ์เทพธิดาเจ็ดองค์ซึ่งเป็สัญลักษณ์ของเมือง กำลังมองไปรอบ ๆ เหมือนกำลังรอใครอยู่
สวี่ฮุ่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย วันนี้เป็วันทำงาน ทำไมกู่ซิ่วถึงไม่ไปทำงานแล้วมาที่เมืองได้ เธอกำลังรอใครอยู่?
สวี่ฮุ่ยเพิ่งคิดได้เช่นนั้น ก็เห็นผู้ชายวัยกลางคนหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งรีบเดินเข้าไปหากู่ซิ่ว
เขายื่นเงินก้อนหนึ่งให้กู่ซิ่วด้วยใบหน้าบึ้งตึง พูดอะไรบางอย่างแล้วเดินจากไป
กู่ซิ่วเก็บเงินก้อนนั้นใส่กระเป๋า จากนั้นก็เดินไปที่ธนาคารลู่หงฉีที่อยู่ไม่ไกลออกไป
อาจารย์ใหญ่โจวที่อยู่ข้าง ๆ เห็นสวี่ฮุ่ยหยุดเดินกะทันหันแล้วจ้องเขม็งไปที่ที่หนึ่ง
เขาก็หยุดตาม มองตามสายตาสวี่ฮุ่ยไปและเห็นเหตุการณ์ที่ผู้ชายคนนั้นให้เงินกู่ซิ่ว
อาจารย์ใหญ่โจวอายุเข้าเลขห้าแล้ว ผ่านประสบการณ์ชีวิตมามากมาย
ผู้ชายที่ให้เงินกู่ซิ่วไม่ใช่สามีเธอ ความสัมพันธ์ของทั้งสองประจักษ์ชัดโดยไม่ต้องบอก
เขาเป็อาจารย์ใหญ่ เป็ปัญญาชนที่คอยอบรมสั่งสอนศิษย์ มีความรู้ความเข้าใจ มองออกแต่ไม่พูด
เมื่อสวี่ฮุ่ยบอกว่าเธอมีธุระ ขอให้เขารออยู่ตรงนี้ครึ่งชั่วโมง อาจารย์ใหญ่โจวก็พยักหน้ารับราวกับไม่รู้อะไร
สวี่ฮุ่ยแอบเดินตามกู่ซิ่วไปห่าง ๆ แล้วเข้าไปในธนาคารลู่หงฉี
ถึงแม้จะเปิดให้บริการหลายช่อง แต่ละช่องก็ยังมีคนต่อแถวเยอะมาก
สวี่ฮุ่ยหลบอยู่ข้าง ๆ แถวที่อยู่ติดกับกู่ซิ่ว คอยเฝ้าดูเธออย่างระวัง
ถ้ากู่ซิ่วหันมามองทางเธอ สวี่ฮุ่ยก็แค่ย่อตัวลง มีแถวบังอยู่ข้างหน้า กู่ซิ่วไม่มีทางเห็นเธอแน่
ไม่นานก็ถึงคิวของกู่ซิ่ว
พนักงานถามว่าจะฝากหรือถอนเงิน
กู่ซิ่ว “ฝากค่ะ”
พนักงาน “ฝากเท่าไหร่คะ”
กู่ซิ่วชูนิ้วหนึ่งนิ้ว “หนึ่งพันหยวนค่ะ”
สวี่ฮุ่ยมองเห็นกู่ซิ่วฝากเงินเสร็จจนเดินออกไป เธอจึงค่อยเดินกลับไปหาอาจารย์ใหญ่โจว
อาจารย์ใหญ่โจวยังแสร้งทำเป็ไม่รู้เื่ พาสวี่ฮุ่ยขึ้นรถโดยสารกลับตัวอำเภอ
สวี่ฮุ่ยถือเสื้อผ้า รองเท้า และถุงเท้าที่อาจารย์ใหญ่โจวซื้อให้กลับมาที่ตำบลเถาฮวา
นึกถึงแม่ของเสี่ยวเหลียนที่ให้เธอยืมชุดใหม่ของเสี่ยวเหลียน เธอต้องตอบแทนน้ำใจนี้
ดังนั้นจึงไปที่สหกรณ์ตำบล ซื้อน้ำตาลทรายแดงหนึ่งชั่งกับยางรัดผมดอกไม้ที่กำลังฮิตในตอนนี้ เตรียมเอาไปให้เสี่ยวเหลียน
เดิมทีเธอคิดจะซื้อลูกอมผลไม้สักสองสามชั่งกลับไปให้เด็ก ๆ ในบ้านพักกิน ฉลองที่เธอสอบได้คะแนนดีด้วย
แต่ตอนนี้สวี่เยว่เข้าโรงพยาบาล ถ้าเธอทำแบบนั้น คนอื่นจะมองว่าเธอไม่แยแสความเป็ความตายของน้องสาว
ถึงเธอจะไม่สนใจชีวิตของสวี่เยว่จริง ๆ ก็เถอะ แต่ให้คนอื่นมองออกคงไม่ได้ เธอเลยเลิกคิดจะซื้อลูกอมผลไม้ไป
เมื่อซื้อของเสร็จแล้ว เดินออกมาจากร้านสหกรณ์ก็เจอเข้ากับจ้าวชิงชิงที่กำลังวิ่งสวนเข้าไปในร้าน
สวี่ฮุ่ยนึกถึงชาติที่แล้ว หลังจากเธอแต่งงานกับพ่อหม้ายเฒ่าไร้มนุษยธรรมนั่น เธอมักจะถูกทุบตีจนลุกไม่ขึ้น
เป็จ้าวชิงชิงนี่แหละที่คอยเอาอาหารและน้ำมาให้เธอกิน คอยดูแลเธอจนถูกพ่อแม่สามีด่าและสามีตัวเองด่าทอทุบตี บุญคุณนี้ถึงตายสวี่ฮุ่ยก็ไม่มีวันลืม
นึกขึ้นได้ว่าไม่มีใครอยู่บ้าน เธอสามารถเลี้ยงอาหารมื้อใหญ่ให้กับจ้าวชิงชิงได้พอดี
สวี่ฮุ่ยก็โบกมือให้จ้าวชิงชิง “ไหน ๆ ก็เจอกันแล้ว ไปกินข้าวบ้านฉันกันเถอะ”
เธอย้ำเป็พิเศษว่า “ไม่มีใครอยู่บ้าน น้องสาวฉันป่วยเข้าโรงพยาบาล พ่อกับแม่ไปเฝ้าไข้ที่โรงพยาบาลกันหมด”
จ้าวชิงชิงไม่เกรงใจอีก พยักหน้าตอบตกลง แต่บอกว่าจะซื้อเกลือกลับบ้านก่อน แล้วค่อยไปบ้านเธอ
หลังสองเพื่อนซี้แยกทางกัน สวี่ฮุ่ยก็ไปซื้อไก่ย่าง ปลาตะเพียนสองสามตัว เต้าหู้และผักชีที่ตลาดแล้วจึงค่อยกลับบ้าน
กินกันแค่สองคน ไม่ต้องซื้อของเยอะ
พอเดินเข้าไปในบ้านพัก ก็เห็นเพื่อนบ้านกลุ่มหนึ่งมุงดูอะไรบางอย่าง มีเสียงผู้หญิงร้องไห้ปานจะขาดใจออกมาจากข้างใน
สวี่ฮุ่ยรีบเดินเข้าไปชะเง้อมอง ที่แท้เป็เด็กผู้ชายอายุห้าหกขวบชื่อหยางหยางในบ้านพักสำลักอาหาร
พ่อของเขากำลังตบหลังลูกชายอย่างแรง พยายามทำให้สิ่งแปลกปลอมหลุดออกมาจากหลอดลม
แต่มันไม่ได้ผล ใบหน้าอวบอ้วนของหยางหยางเริ่มม่วงคล้ำขึ้นเรื่อย ๆ
สวี่ฮุ่ยรีบวางของในมือลง เบียดตัวเข้าไปแล้วบอกว่า “ฉันเอง!”
เธอแย่งหยางหยางมาจากพ่อของเขาโดยไม่อธิบายอะไร แล้วปฐมพยาบาลแบบไฮม์ลิชทันที
ทุกคนต่างตกตะลึง ไม่มีใครเคยเห็นการปฐมพยาบาลอาหารติดคอแบบนี้มาก่อน
แม่ของหยางหยางอึ้งไปสิบกว่าวินาที ก็ร้องไห้โวยวายพุ่งเข้ามาแย่งลูก “เธอทำแบบนี้จะฆ่าหยางหยางตายนะ!”
ในเวลาเดียวกัน หยางหยางที่ถูกสวี่ฮุ่ยกระทุ้งก็ไออย่างรุนแรง
พ่อของหยางหยางกอดเอวภรรยาไว้ “คุณใจเย็น ๆ เรามาลองเสี่ยงดูก่อน!”
เมื่อกี้เขาตบหลังลูกชายนานกว่าหนึ่งนาที ลูกชายไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยสักนิด
แต่พอสวี่ฮุ่ยอุ้มลูกชายในคว่ำหน้าหัวต่ำกว่าเท้า ทุบที่สะบักสามครั้งติดต่อกัน ลูกชายก็ไอออกมา ถือเป็เื่ดี!
สวี่ฮุ่ยทุบอีกหลายครั้ง หยางหยางก็พ่นพุทราจีนเม็ดเล็ก ๆ ออกมาดัง “พรวด”จากนั้นก็ร้องไห้จ้า
คนที่มุงดูอยู่ต่างส่งเสียงเชียร์ “รอดแล้ว หยางหยางรอดแล้ว!”
แม่ของหยางหยางรับหยางหยางที่ร้องไห้ลั่นมาจากอ้อมแขนสวี่ฮุ่ย เช็ดน้ำตาพลางกล่าวขอบคุณไม่หยุด
สวี่ฮุ่ยทรุดนั่งลงกับพื้นอย่างหมดแรง โบกมือให้แม่ของหยางหยางเป็เชิงบอกว่าไม่เป็ไร
หยางหยางค่อนข้างอ้วน เมื่อกี้เธอไม่รู้ว่าตัวเองไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ถึงได้อุ้มหยางหยางข้างหนึ่งแล้วปฐมพยาบาลเขาอีกข้างหนึ่งได้
ตอนนี้เธอเลยไม่เหลือแรง รู้สึกอ่อนล้าไปทั้งตัว
ทุกคนช่วยถือของและพยุงเธอกลับบ้าน
สวี่ฮุ่ยกำลังนั่งพักอยู่บนโซฟา เสี่ยวเหลียนก็โผล่หน้ามาที่ประตู
สวี่ฮุ่ยถาม “อยากให้ฉันติวหนังสือให้เหรอ? พรุ่งนี้ค่อยมานะ วันนี้ฉันเหนื่อยมาก”
“ไม่ใช่ค่ะ” เสี่ยวเหลียนเดินเข้ามาในบ้าน จ้องมองชุดเดรสที่เธอใส่
หน้าแดงก่ำแล้วพูดว่า “ฉัน...ฉันอยากได้ชุดเดรสของฉันคืนค่ะ”
เด็กผู้หญิงให้เธอยืมชุดใหม่ที่ยังไม่เคยใส่สักครั้ง จะคอยเป็ห่วงอยากได้คืนตลอดเวลาก็ไม่แปลก
เป็เธอที่ไม่ได้เอาชุดไปคืนทันทีต่างหากที่น่าละอายใจ
สวี่ฮุ่ยรีบรวบรวมสติแล้วลุกขึ้นยืน “ฉันจะเข้าไปเปลี่ยนให้เดี๋ยวนี้”
สวี่ฮุ่ยเดินเข้าห้อง พอออกมาเธอก็คืนชุดให้เสี่ยวเหลียนและกล่าวขอโทษ “ฉันกะว่าจะซักให้เรียบร้อยก่อนคืนให้ ตอนนี้ต้องลำบากเธอซักเอง ขอโทษด้วยนะ”
แค่เสี่ยวเหลียนได้ชุดคืนมาก็โล่งใจแล้ว ไม่อย่างนั้นเธอคงกระวนกระวายใจ กลัวว่าสวี่ฮุ่ยจะทำให้ชุดเสียหาย
เสี่ยวเหลียนเอ่ยยิ้ม ๆ “ไม่เป็ไรหรอกค่ะ ฉันซักผ้าให้ทุกคนในบ้านทุกวันอยู่แล้ว ไม่ได้ลำบากอะไรถ้าจะซักเพิ่มอีกตัว” พูดจบเธอก็หยิบชุดกำลังจะกลับ
แต่สวี่ฮุ่ยเรียกเธอไว้ ให้ตรวจสอบชุดให้ดีก่อนค่อยไป เผื่อว่ามีปัญหาอะไรจะได้เคลียร์กันได้
เสี่ยวเหลียนอยากตรวจสอบชุดของตัวเองอยู่แล้ว แต่ไม่กล้าพูดตรง ๆ พอได้ยินดังนั้นเธอก็ตรวจสอบชุดอย่างละเอียดอีกครั้ง แต่ก็ไม่พบปัญหาใด ๆ
สวี่ฮุ่ยเอายางรัดผมและน้ำตาลทรายแดงที่ซื้อมาให้เธอทั้งหมด เป็การขอบคุณที่สองแม่ลูกยอมให้เธอยืมชุดในยามฉุกเฉิน
เสี่ยวเหลียนไม่กล้ารับของจากสวี่ฮุ่ย แต่สวี่ฮุ่ยยืนยันจะให้ สุดท้ายเสี่ยวเหลียนจำต้องรับไว้ด้วยความเขินอายปนยินดี