พอมองตามเงาด้านหลังของชายหนุ่มทั้งสองนั้น จุนห่าวก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไรนักว่า “ไอ้หนุ่มนั่น น่ารังเกียจยิ่งนัก ปากเสียขนาดนี้ ทำไมถึงยังมีชีวิตมาจนถึงตอนนี้ได้นะ น่าสงสัยจริง ๆ”
เมื่อหานรุ่ยได้ยินจุนห่าวบ่น จึงกล่าวกับเขาว่า “อาจเป็เพราะเื้ัของเขาคงจะมีูเาสูงอยู่ เ้าไม่รู้หรือ คนเราใช้หลังพิงที่ต้นไม้ใหญ่ เพื่ออาศัยความร่มเย็น ต่อให้เขาจะปากไม่ดีก็ตาม แต่ก็ยังต้องอาศัยูเาเอาไว้คอยหลบอยู่ข้างหลัง นี่คงเป็สาเหตุที่เขายังมีชีวิตอยู่ได้จนถึงบัดนี้แหละ” หากไม่มีหานรุ่ยเอาไว้พึ่งพิง เขาก็คงจะไม่หยิ่งยโสได้ถึงเพียงนี้หรอก คนที่ทำเื่หยิ่งผยองได้ ถ้าไม่ใช่เพราะอำนาจของตนเอง ก็คงเป็เพราะมีอำนาจคนอื่นคอยหนุนหลังอยู่
“ก็จริงของเ้า ว่าแต่เสี่ยวรุ่ย เ้าว่า ข้าเหมือนคนบ้านนอกไหม?” จุนห่าวมองไปทางหานรุ่ย เขาพูดอย่างน้อยใจ
“ไม่เหมือนสักหน่อย พวกเขามีตาหามีแววไม่ สายตาของเขาช่างไม่รู้จักหยกฝังทองคำเอาเสียเลย ครั้งนี้ข้าทำให้เ้าเดือดร้อน เ้าต้องมาใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย เพื่อซื้อหญ้าเพียงต้นเดียวให้ข้า ข้าเดาว่า คงมีหลายคนพูดลับหลังว่า เ้าซื่อบื้อแน่ ๆ” หานรุ่ยพูดกับจุนห่าว เขาคิดในใจ ป่านนี้ข่าวคงแพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองแล้วว่า ที่ตลาดจื้อโหยว มีเ้าบื้อหนึ่งคน ใช้เงิน 2,000 ตำลึงเงิน เพื่อซื้อวัชพืช
“เหอะ แม้เ้าจะทำให้ข้าเดือดร้อน แต่ข้าก็มีความสุข เงินข้ามีเยอะแยะ จะใช้ซื้ออะไร ก็ใช้ไปเถอะ คนที่พูดลับหลังว่า ข้าซื่อบื้อ จะต้องเป็คนที่อิจฉาข้าแน่” จุนห่าวพูดอย่างภาคภูมิใจ
หานรุ่ยขมวดคิ้ว พลางพูดด้วยความกังวลเล็กน้อยว่า “ตั๋วเงินของเรามีไม่มากแล้ว ประหยัดไว้ดีกว่า ข้าก็แอบรู้สึกว่า เ้าโง่เง่าอยู่เหมือนกัน ที่จ่ายไป 2,000 ตำลึงเงิน เพื่อซื้อหญ้าหนึ่งต้น อันที่จริงเ้าจ่ายแค่ 20 ตำลึงเงิน เขาก็ขายแล้ว ในสายตาของผู้อื่น หญ้าต้นนี้มันช่างไร้ค่า” แท้จริงแล้ว ราคาในใจของหานรุ่ย คือ 20 ตำลึงเงินเท่านั้น เขาแอบคิดในใจว่า จุนห่าวคงจะคิดออกมาได้อย่างเหมาะสม แต่เขาไม่คิดเลยว่า จุนห่าวจะซื้อหญ้าต้นนี้ในราคาตั้ง 2,000 ตำลึงเงิน
“ข้าเห็นเ้าครุ่นคิดอยู่นาน และดูเ้าอยากจะซื้อจริง ๆ นี่ ข้ารู้ได้ว่า เ้าต้องมองออกว่า สิ่งนี้ไม่ธรรมดาแน่ ๆ เลยคิดว่า เ้าคงอยากให้ข้าซื้อมันในราคา 2,000 ตำลึงเงิน ข้าคงคิดผิดไปสินะ ข้าเองก็งงอยู่เหมือนกันว่า หญ้าเพียงต้นเดียวจะมีค่าอะไรขนาดนั้น ก็ไม่แปลกใจหรอก ที่คนอื่นจะมองข้าด้วยสายตาที่ดูเหมือนข้าเป็คนโง่ โดนคนหลอกได้ง่าย แบบที่เ้าคิดน่ะ” จุนห่าวเอ่ยขึ้น หลังจากฟังคำที่หานรุ่ยกล่าว
“แต่ถ้าเทียบกับมูลค่าที่แท้จริงของหญ้าต้นนี้ 2,000 ตำลึงเงิน ก็ถือว่า ถูกมากแล้ว ตอนกลับถึงที่พัก ข้าจะอธิบายให้เ้าฟังโดยละเอียดเลย ที่นี่ไม่ค่อยสะดวกนักหรอก” หานรุ่ยพูดกับจุนห่าวที่ซื้อหญ้าิญญาแห่ง์ได้ในราคา 2,000 ตำลึงเงิน ถือว่าถูกมาก แม้ว่าหญ้าิญญานี้จะไร้ประโยชน์ตุ่์ ทว่าจากนี้ไปมันจะสามารถใช้ทำพันธสัญญากับสัตว์ได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่มีพลังิญญาองอาจเยี่ยงจุนห่าวแล้ว ย่อมทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรได้อีกมาก ในตอนนั้นหญ้ามรกตทัวฝานจะแปรเปลี่ยนทักษะของพวกมัน เมื่อถึงครานั้นพลังในการต่อสู้ของพวกเขาจะต้องเพิ่มพูนได้อย่างมหาศาลเป็แน่
หานรุ่ยคิดไปถึงอนาคตว่า เขาและจุนห่าวจะต้องข้ามผ่านทะเลซวีอู๋ได้แน่นอน พวกเขารู้เพียงว่า ในท้องทะเลมีสิ่งที่เป็อันตรายอยู่มากมายเหลือคณานับ ไม่เพียงแค่สภาพแวดล้อมอันเลวร้าย แต่ยังมีสัตว์ทะเลอีกจำนวนมากที่ไม่เคยปรากฏที่ไหนมาก่อน ถ้าเขาและจุนห่าวจะพาลูกทั้งสองไปด้วย เพียงแค่สองหมัดนั้น ก็คงยากที่จะเอาชนะได้ ดังนั้นหากพวกเขาผูกพันธะกับสัตว์อสูรไว้ เพื่อให้พวกมันคอยช่วยเหลือได้ พลังในการต่อสู้ก็คงจะเพิ่มพูนขึ้นอยู่ไม่น้อย หานรุ่ยไม่เคยคิดจะทิ้งจุนตงและจุนหนานให้อยู่บนแผ่นดินชางหลานกันแค่ 2 คนเลย เขาไม่อยากให้ลูก ๆ เป็เหมือนเขา ที่ต้องคอยตามหาหนทาง ข้ามน้ำข้ามทะเล เพื่อตามหาเขาและจุนห่าว ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็เช่นไร ครอบครัวของเขาต้องได้อยู่ด้วยกัน เมื่อถึงแผ่นดินใหม่ พวกเขาคงจะมีชีวิตที่แปลกใหม่และไม่คุ้นชิน พวกเขาจึง้าพลังที่แข็งแกร่ง หานรุ่ยเชื่อว่า ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ใด ก็คงจะหัวเดียวกระเทียมลีบ ไร้ซึ่งตระกูลใหญ่คอยหนุนหลัง แต่ทว่าพวกเขายังสามารถใช้สัตว์อสูรมาเติมเต็มช่องว่างนี้ได้ และสร้างตระกูลใหญ่ด้วยตนเองเสียเลย
ทั้งสองคนยังซื้อหญ้าิญญาที่ไม่เคยมีในเทศะบ่มเพาะของจุนห่าวมาอีกจำนวนหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ได้มีค่าเท่ากับหญ้ามรกตทัวฝาน ทว่าล้วนเป็หญ้าิญญาที่หายากทั้งสิ้น ทั้งสองคนอุ้มลูกทั้งสองเดินสลับกับหยุดดูสินค้าที่วางขาย ถ้าพบของที่ชอบก็ซื้อ แม้หานรุ่ยจะคิดว่า พวกเขามีตำลึงเงินเหลืออยู่ไม่มากแล้ว ทว่าของที่จุนห่าวซื้อก็ไม่ได้มีราคาแพงเท่าไรนัก ยามนี้เขายังหาเงินได้ ฉะนั้นถ้าจะใช้จ่ายนิดหน่อยก็ไม่ได้รู้สึกทุกข์ใจอะไร คำพูดติดปากของจุนห่าว คือ ‘เงินน่ะ ใช้หมดก็หาใหม่ได้ การใช้จ่ายเป็นั่นแหละ ถึงจะทำให้หาเงินเป็’
