นายท่านหวังเชื้อเชิญหลิงมู่เอ๋อร์สองพี่น้องเข้ามาคุยรายละเอียดในบ้านเนื่องจากยังมีเื่ของการรักษาขาของบ่าวชราด้วย นายท่านหวังจึงมีท่าทางที่ดีต่อพวกนางเป็อย่างยิ่ง ในมือของเขามีร้านค้าอยู่สองแห่ง หนึ่งแห่งเดิมทีเป็ร้านขายผ้า พื้นที่ใช้สอยภายในนั้นมีขนาดใหญ่นัก ราคาขาย้าห้าพันตำลึงเงิน อีกหนึ่งแห่งเป็ร้านขายข้าวสาร ภายในร้านข้าวสารยังมีข้าวสารอยู่เป็จำนวนมาก นายท่านหวังไม่อาจขนข้าวสารจำนวนมากขนาดนั้นไปได้ จึงคิดจะขายออกไปในราคาต่ำ แต่ว่าหลิงมู่เอ๋อร์ยินยอมที่จะรับซื้อไว้ทั้งหมด นายท่านหวังก็จะได้ไม่ต้องวุ่นวายแล้ว
ข้าวสารและแป้งภายในร้านรวมกับร้านค้าทั้งหมดเป็เงินเจ็ดพันตำลึงเงิน ดังนั้นรวมทั้งสองร้านค้าเข้าด้วยกันก็จะขายอยู่ที่หนึ่งหมื่นสองพันตำลึงเงิน อีกทั้งพื้นที่ใช้สอยของจวนพวกเขายังกว้างขวางยิ่งนัก สามารถรองรับคนได้หนึ่งร้อยกว่าคน เดิมทีนายท่านหวังก็เป็เถ้าแก่การค้าขนาดใหญ่มาก่อน ข้ารับใช้ในมือก็มีเจ็ดสิบถึงแปดสิบคน จวนหลังนี้ทั้งยังมีความใหม่อยู่แปดส่วน ดังนั้นราคาจึงไม่ถูก นายท่านหวังเป็คนกล้าได้กล้าเสีย ทั้งยังถูกชะตากับหลิงมู่เอ๋อร์จึงตัดจำนวนเศษออกไป สุดท้ายก็ขายร้านค้าสองแห่งและจวนหลังนี้ในราคาสองหมื่นตำลึงเงิน
ทั้งสองคนล้วนเป็คนตรงไปตรงมา นายท่านหวังรีบพาพวกเขาไปโอนกรรมสิทธิ์ทันที ผ่านไปไม่นาน หลิงมู่เอ๋อร์ก็มีร้านค้าของตนเองในเมืองหลวงแล้ว
หลังจากออกมาจากตระกูลหวัง หลิงจื่อเซวียนยังมีความรู้สึกเหมือนอยู่ในความฝันอยู่เลย คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะมีบ้านในเมืองหลวงจริงๆ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือเงินหลายหมื่นตำลึงที่พอกล่าวว่าจะนำออกมาก็นำออกมาใช้ได้อย่างง่ายดาย
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นท่าทางของหลิงจื่อเซวียนก็อดที่จะหลุดขำออกมาไม่ได้ นางยิ้มบางๆ พลางกล่าวว่า “พี่ชาย ท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือเ้าคะ?ถึงกับใเช่นนี้เลยหรือ?”
“เมื่อปีก่อนครอบครัวของพวกเรายังกลัดกลุ้มกับเงินเพียงไม่กี่อีแปะอยู่เลย ตอนนี้เ้าใช้เงินหลายหมื่นตำลึงซื้อบ้านและร้านค้า ข้าจะไม่ใได้หรือ?” หลิงจื่อเซวียนส่ายหน้าพลางพูดว่า “ถ้าท่านพ่อกับท่านแม่เห็นเงินที่เ้าควักออกมาก็คงรู้สึกตกตะลึงเช่นกัน ถึงการค้าของเหลาอาหารพวกเราจะดีเพียงใด ก็ไม่ได้หาเงินได้มากมายถึงเพียงนี้ เงินพวกนี้เป็เ้าที่หามาได้จากการตรวจโรคให้ผู้อื่นกระมัง? จากที่ข้ารู้ เ้าไม่ได้เก็บค่ารักษาคนไข้ เก็บเพียงแค่ค่ายาหนึ่งส่วนเท่านั้น เ้าไม่ได้หาเงินมาจากการรักษาโรคให้กับคนจน”
“แต่ข้าก็ตรวจโรคให้คนรวยนะเ้าคะ!ข้าไม่ได้ใจบุญกุศลต่อคนร่ำรวยขนาดนั้นหรอกนะเ้าคะ” หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มบางๆ “วางใจเถิด ข้ารู้ขอบเขตเ้าค่ะ”
“มู่เอ๋อร์ พี่ชายรู้สึกละอายใจนัก เ้าใช้ความสามารถของตนเองแบกรับภาระของครอบครัวเราไว้” หลิงจื่อเซวียนกล่าว “ตอนนี้ภาระทุกอย่างในครอบครัวล้วนอยู่ที่เ้า พี่ชายกลับทำอันใดไม่ได้”
“ผู้ใดกล่าวกันล่ะเ้าคะ? ข้าชอบออกไปข้างนอกบ่อยๆ เื่เล็กใหญ่ในบ้านล้วนต้องพึ่งพาท่านแล้ว แต่ว่าพี่ชาย ตอนนี้ถึงเมืองหลวงแล้ว ข้าก็ไม่อยากให้ท่านวิ่งเต้นหาเลี้ยงที่บ้านอีกต่อไปแล้ว ข้าคิดว่าท่านควรจะทำในสิ่งที่ท่านชอบ ท่านเคยคิดถึงอนาคตของตนเองบ้างหรือไม่เ้าคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์มองไปที่หลิงจื่อเซวียนแล้วกล่าวถาม
“อนาคตของข้า?” หลิงจื่อเซวียนมองออกไปข้างหน้าอย่างเหม่อลอย “ข้า… จะมีอนาคตอันใดได้อีก?”
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นท่าทางของเขาก็รู้ว่าเขาไม่เคยคิดถึงเื่นี้มาก่อน ที่จริงแล้วหลิงจื่อเซวียนเฉลียวฉลาดมาก สิ่งที่นางสอนเขา เขามักจะเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว เพียงแต่น่าเสียดายที่อายุของเขาก็ไม่น้อยแล้ว ตอนนี้เลย่วัยของการเรียนหนังสือมาแล้ว ด้วยอายุของเขาในตอนนี้ไปเข้าเรียนที่สำนักศึกษาจะต้องถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะแน่
หรือว่าหลิงจื่อเซวียนจะต้องเป็พ่อค้าไปตลอดชีวิตหรือ?เหตุใดนางถึงรู้สึกว่าแบบนี้มันช่างดูโหดร้ายเกินไปสำหรับเขา?เห็นได้ชัดว่าเขามีพร์ที่ดีถึงขนาดนั้น
“ตอนนี้ยังไม่ต้องรีบด่วนตัดสินใจ ท่านสามารถค่อยๆ ใคร่ครวญได้เ้าค่ะ อีกอย่าง พวกเราเพิ่งจะมาถึงเมืองหลวง ยังมีเื่อีกมากมายที่ต้องจัดการ ่นี้ต้องพึ่งความช่วยเหลือจากพี่แล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์ดึงหลิงจื่อเซวียนมาหยุดอยู่ที่หน้าร้านค้าแผงลอยเล็กๆ ร้านหนึ่ง “เถ้าแก่ เจวี้ยนฮวา [1] นี้ขายอย่างไรเ้าคะ…”
“เถ้าแก่ เจวี้ยนฮวาพวกนี้ข้าเอาทั้งหมด” เสียงดังกังวานอันนุ่มนวลหนึ่งเสียงดังมาจากด้านข้าง
หลิงมู่เอ๋อร์ชะงัก หันกลับไปมองหญิงสาวที่อยู่ด้านข้าง หญิงสาวนางนั้นสวมใส่ชุดสีแดงทั้งตัว ใบหน้างดงามน่าทะนุถนอม บนใบหน้าเต็มไปด้วยความหยิ่งทะนง นางปรายตามองหลิงมู่เอ๋อร์ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเ็าว่า “มองอันใด?สิ่งของพวกนี้เป็ของคุณหนูเช่นข้า”
หลิงจื่อเซวียนขมวดคิ้ว พลางมองที่หญิงสาวนางนั้นอย่างไม่พอใจ “แม่นาง ทุกเื่ย่อมมีลำดับมาก่อนมาหลังสิ!”
หญิงสาวเบะปากด้วยท่าทางหยิ่งผยอง “ในสายตาของคุณหนูเช่นข้า สิ่งของในใต้หล้านี้มีเพียงแค่ข้าประสงค์และข้าไม่ประสงค์เท่านั้น มาก่อนมาหลังอันใด?นั่นเป็กฎเกณฑ์ของพวกสามัญชนชั้นต่ำเช่นพวกเ้า ั้แ่ต้นคุณหนูเช่นข้าไม่เคยต้องปฏิบัติตามกฎเหล่านี้”
หลิงจื่อเซวียนถูกคำพูดของหญิงสาวทำให้มีโทสะแล้ว เขายังคิดที่จะโต้เถียงนางด้วยเหตุผล แต่หลิงมู่เอ๋อร์จับแขนของเขาเอาไว้ “พี่ชาย สิ่งของเหล่านี้ข้าก็ไม่ได้ชอบ ไปกันเถิดเ้าค่ะ!”
“พี่ชาย?เขาเป็พี่ชายของเ้าหรือ?” หญิงสาวมองไปที่หลิงมู่เอ๋อร์อย่างใ แล้วมองไปที่หลิงจื่อเซวียนที่อยู่ด้านข้างอีกครั้ง
หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกว่าหญิงสาวนางนี้ถามแปลกๆ หลิงจื่อเซวียนเป็พี่ชายของนางแล้วมีอันใดน่าใขนาดนั้นเชียวหรือ?นางไม่ได้สนใจหญิงสาวนางนั้นอีก รีบดึงหลิงจื่อเซวียนเดินจากไปจากที่นั่น
หลิงจื่อเซวียนรู้สึกไม่สบายใจเป็อย่างยิ่ง ท่าทางที่หยิ่งผยองของหญิงสาวนางนั้นเหมือนกับหนามหนึ่งแท่ง ทำให้ในใจของเขาเป็ทุกข์ โดยเฉพาะยามที่เห็นคนที่น่าภูมิใจอย่างหลิงมู่เอ๋อร์ต้องมายอมถอยให้กับหญิงสาวที่ไร้เหตุผลนางนั้น เขาก็รู้สึกว่าตนเองช่างไร้ประโยชน์ ในฐานะพี่ชายแต่ไม่อาจปกป้องน้องสาวของตนเองจากการถูกรังแกได้ ในใจเขารู้สึกเป็ทุกข์อย่างถึงที่สุด
“พี่ชาย ยังโกรธอยู่อีกหรือเ้าคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์ดึงแขนเสื้อของหลิงจื่อเซวียน “เมืองหลวงมีผู้สูงศักดิ์อยู่มากมาย หญิงสาวนางนั้นมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็คนในตระกูลขุนนาง พวกเราเพิ่งมาถึงได้ไม่นาน ไม่จำเป็จะต้องไปมีเื่กับคุณหนูใหญ่นางหนึ่งที่ไม่รู้จักความยากลำบากของโลกมนุษย์เลยเ้าค่ะ อีกอย่าง… ข้าก็ไม่ได้เสียเปรียบอันใด”
หลิงมู่เอ๋อร์จับที่พวงแก้ม แล้วยกยิ้มด้วยรอยยิ้มแปลกประหลาดออกมา “ข้าจะทำให้แม่นางท่านนั้นได้รู้ซึ้งในเหตุผลข้อหนึ่ง ว่าบนโลกนี้สิ่งที่ไม่ควรมีปัญหาด้วยนอกจากผู้สูงศักดิ์แล้วก็ยังมีหมอเ้าค่ะ”
หลิงจื่อเซวียนรู้ความสามารถของหลิงมู่เอ๋อร์ดี เมื่อได้ยินความหมายของนางแล้วก็รู้ว่านางจะทำสิ่งใด แต่ว่าเขาในฐานะพี่ชายกลับไม่อาจปกป้องน้องสาวได้เลย ถึงอย่างไรก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
หรือว่าจะต้องเป็ขุนนางใหญ่เท่านั้นถึงจะปกป้องน้องสาวได้?ถ้าเขาสามารถเป็ขุนนางได้ นั่งอยู่ในตำแหน่งเหนือคนนับหมื่นแต่ต่ำกว่าฮ่องเต้เพียงองค์เดียว เช่นนั้นก็จะไม่มีผู้ใดมารังแกน้องสาวได้แล้ว?
ความคิดนี้แผ่ขยายอยู่ในใจของหลิงจื่อเซวียน มันเหมือนกับเมล็ดพันธุ์เมล็ดหนึ่งที่ถูกกลบฝังอยู่ในดิน แทบจะกลายเป็เมล็ดพันธุ์ที่ตายไปแล้วตามกาลเวลาที่ผันเปลี่ยนเวียนไป แต่เป็เพราะโชคชะตาที่ประจวบเหมาะจึงทำให้เกิดเป็ต้นอ่อน ดังเช่นในตอนนี้ต้นอ่อนได้พบกับสายลมก็งอกเงย และกำลังจะเติบโตกลายเป็ต้นไม้ใหญ่ สุดท้ายความคิดนั้นก็สลักลึกแน่นอยู่ใจไม่เปลี่ยนแปลงอีกตลอดไป
“มู่เอ๋อร์” หลิงจื่อเซวียนเอ่ยออกมาอย่างกะทันหัน
“หืม?” หลิงมู่เอ๋อร์กำลังสำรวจพื้นที่อยู่พอดี ถึงอย่างไรก็เพิ่งจะมาที่นี่ยังไม่คุ้นเคย ศึกษาพื้นที่ไว้สักหน่อยก็ไม่เลว
“ข้าอยากเรียนหนังสือ” หลิงจื่อเซวียนมองไปที่หลิงมู่เอ๋อร์ “่เวลาที่ผ่านมานี้ข้าได้รู้ตัวอักษรมากแล้ว ข้ารู้ว่าด้วยอายุในตอนนี้ไปเรียนก็เหมือนจะช้าไปหน่อย แต่ว่าข้าอยากสอบคัดเลือกขุนนาง อยากเป็ขุนนางใหญ่ เช่นนี้ก็จะสามารถปกป้องพวกเ้าได้แล้ว ข้าจะเรียนด้วยตนเองก่อน รอให้มีความรู้บ้างแล้วค่อยไปเรียนที่สำนักศึกษา”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ได้หัวเราะเยาะในอุดมการณ์ของหลิงจื่อเซวียน ถ้าหลิงจื่อเซวียนกล่าวเื่นี้กับคนอื่น จะต้องมีคนกล่าวว่าเขาเป็บ้าไปแล้วอย่างแน่นอน แต่คนที่อยู่ตรงหน้านี้คือหลิงมู่เอ๋อร์ นางไม่มีทางที่จะหัวเราะเยาะเขา มีแต่จะสนับสนุนเขา สำหรับนางแล้ว พวกคนแก่อายุเจ็ดถึงแปดสิบปีในยุคปัจจุบันยังเรียนรู้ตัวอักษร เรียนคอมพิวเตอร์อยู่เลย เหตุใดหลิงจื่อเซวียนถึงจะสอบคัดเลือกขุนนางไม่ได้?
“พี่ชายกล่าวผิดแล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์ส่ายหน้าพลางกล่าว “เดิมทีด้วยอายุของท่านในตอนนี้ช้าเกินไปที่จะเรียนหนังสือแล้ว ดังนั้นจะต้องรีบเรียน ข้าคิดว่าควรจะเชิญอาจารย์สักหนึ่งคนมาสอนหนังสือให้พวกท่านที่บ้าน เช่นนี้ก็จะได้สะดวกต่อน้องเล็กและยังมีญาติผู้น้องอีกด้วย เรียนก่อนสักหนึ่งปี หลังจากนั้นค่อยตัดสินใจว่าจะเข้าเรียนในสำนักศึกษาหรือไม่”
“ได้ ตกลงตามนี้” หลิงจื่อเซวียนกล่าวอย่างจริงจัง “ปีหน้าก็สามารถลงสอบได้แล้ว ถ้าเกิดว่าถึงตอนนั้นข้าสอบถงเซิงไม่ได้ เช่นนั้นก็ไม่เรียนแล้ว”
กลับถึงโรงเตี๊ยม ทุกคนได้พักผ่อนกันดีแล้ว หยางซื่อรู้ว่าสองพี่น้องได้ซื้อร้านค้าและจวนไว้เรียบร้อยแล้ว ใจหนึ่งก็ดีใจ อีกใจหนึ่งก็สงสารพวกเขา
“มู่เอ๋อร์ นายท่านหวังได้บอกหรือไม่ว่าจะสามารถย้ายเข้าไปได้เมื่อใด?” ภายในโรงเตี๊ยม หยางซื่อนั่งอยู่ข้างกายหลิงมู่เอ๋อร์ คีบอาหารให้นาง
หลิงมู่เอ๋อร์ทานอาหารที่หยางซื่อคีบให้ กล่าวอย่างคลุมเครือว่า “ยังต้องรออีกหนึ่งเดือนเ้าค่ะ!บ่าวชราในบ้านของพวกเขามีโรคไขข้ออักเสบ นายท่านหวังขอให้ข้ารักษาเขาให้หายดีก่อนค่อยออกจากเมืองหลวง ดังนั้นเมื่อสักครู่ข้าได้เช่าบ้านของคนผู้หนึ่งไว้แล้ว หนึ่งเดือนจ่ายเพียงแค่สองตำลึงเงินเท่านั้น ทุกคนอยู่ไปก่อนนะเ้าคะ”
“เช่นนั้นก็ดี โรงเตี๊ยมแพงเกินไป เมื่อคืนวานก็จ่ายไปสิบตำลึงเงินแล้ว” หยางซื่อกล่าวอย่างปวดใจ “เช่าบ้านผู้อื่นอยู่ดีกว่า!”
หลิงมู่เอ๋อร์นั่งอยู่ที่หน้าต่าง ทอดมองผู้คนด้านนอกที่สัญจรผ่านไปมา เมืองหลวงช่างคึกคักเสียจริง นางได้เห็นความรุ่งเรืองของสมัยโบราณด้วยตาของตนเอง ก็นับว่าไม่เสียเที่ยวที่มาแล้ว
“สาวน้อย หน้าตาไม่เลวนี่ มาเล่นกับข้าเถิด” บนท้องถนน ลูกผู้ดีมีเงินคนหนึ่งจับแขนของหญิงสาวหน้าตางดงามนางหนึ่งเอาไว้ แตะต้องเนื้อตัวของหญิงสาวนางนั้นตามใจชอบ
ผู้คนบนท้องถนนมองลูกผู้ดีมีเงินคนนั้นอย่างเกลียดชังและเอือมระอา แต่ไม่มีผู้ใดสักคนกล้าออกหน้าช่วยเหลือ เห็นได้ชัดว่าลูกผู้ดีมีเงินคนนั้นเป็ผู้มีหน้ามีตาในเมืองหลวง
“เสี่ยวเอ้อ” หลิงมู่เอ๋อร์โบกมือไปยังทิศทางของเสี่ยวเอ้อที่อยู่ด้านข้าง “คนผู้นั้นมีความเป็มาอย่างไร?เหตุใดทุกคนถึงได้หวาดกลัวเขาขนาดนี้?”
เสี่ยวเอ้อมองไปหนึ่งที ดวงตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจพลางกล่าว “นั่นเป็บุตรชายของรองเสนาบดีกระทรวงการคลัง พี่สาวของเขาเป็ฮวงเฟย [2] ในวัง คนธรรมดาไม่กล้ามีเื่กับเขาขอรับ”
หยางซื่อ ถังซื่อ หลิงต้าจื้อ หยางต้าหนิว รวมถึงสาวใช้และผู้ติดตามอีกหลายคนที่อยู่ด้านข้างมองท่าทางของลูกผู้ดีมีเงินคนนั้นอย่างจริงจัง และตัดสินใจว่าหากเจอคนผู้นี้จะหลบให้พ้น
“แม่นางท่านนั้นน่าสงสารจริงๆ ผู้คนมากมายต่างจ้องมอง กลับไม่มีผู้ใดช่วยนางเลยหรือ?” เจี้ยงเซียงกล่าวทั้งน้ำตาว่า “พี่สาวข้า… ก็ถูกคนบีบบังคับจนนางต้องตาย”
ซางจือดึงแขนเสื้อของเจี้ยงเซียงและส่ายหน้าให้กับนาง “นี่เป็เื่ที่ช่วยมิได้ ผู้ใดจะอยากไปมีเื่กับผู้สูงศักดิ์เช่นนั้นเพียงเพราะคนไม่รู้จักคนหนึ่งกัน?”
โครม!เสียงหวดด้วยแส้ดังขึ้นบนท้องถนน ทุกคนต่างหันมองไปตามเสียง ก่อนจะเห็นเพียงหญิงสาวชุดแดงหวดแส้ใส่ลูกผู้ดีมีเงินคนนั้นอย่างไร้ความปรานี
“คางคกแซ่จาง นับวันเ้านี้ยิ่งกำเริบเสิบสานมากขึ้นเรื่อยๆ กล้าแทะโลมหญิงสาวชาวบ้านบนท้องถนน คิดว่าจวิ้นจู่อย่างข้าตายไปแล้วหรือ?” หญิงสาวในชุดแดงกล่าวออกมาอย่างโเี้
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นหญิงสาวชุดแดงนางนั้น ดวงตาก็ฉายแววประหลาดใจออกมา หญิงสาวชุดแดงนางนั้นเป็สตรีที่เพิ่งเจอกันเมื่อสักครู่ เดิมทีนึกว่านางเป็เพียงคุณหนูใหญ่ผู้ดื้อรั้นเอาใจยากเท่านั้น นึกไม่ถึงเลยว่าจะกล้าออกหน้าช่วยสามัญชนคนธรรมดาผู้หนึ่ง
“นางเป็ผู้ใดกัน?” หยางซื่อเอ่ยถามเสี่ยวเอ้อ “ช่างเป็แม่นางที่น่าเกรงขามยิ่ง”
“พวกท่านเพิ่งมาเมืองหลวงกระมัง?ถ้ามานานแล้วก็คงจะรู้จักคุณหนูใหญ่ท่านนี้ นางเป็ธิดาของจวิ้นจู่ขั้นหนึ่ง และเป็จวิ้นจู่น้อยแห่งราชวงศ์หยางขอรับ” เสี่ยวเอ้อมองไปหญิงสาวชุดแดงพลางกล่าว “นิสัยของจวิ้นจู่น้อยท่านนี้ไม่ใคร่ดีนัก อย่าได้มีเื่กับนางเป็อันขาด มิเช่นนั้นก็จะโดนหวดแส้ใส่เช่นนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ตายแต่หนังอาจจะหลุดก็เป็ได้ แต่จวิ้นจู่น้อยท่านนี้ก็ไม่ถูกกับลูกผู้ดีมีเงินในเมืองหลวงเช่นกัน ถึงแม้นางจะดื้อรั้นเอาแต่ใจ แต่ก็เห็นคนรังแกสตรีไม่ได้ ดังนั้นนางจึงเปรียบเสมือนเทพเ้าในดวงใจของหญิงสามัญชนเ่าั้ขอรับ"
เชิงอรรถ
[1] เจวี้ยนฮวา (绢花) หมายถึง ดอกไม้ผ้า เป็เครื่องประดับศีรษะของสตรีสมัยโบราณ ใช้ประดับผสมกันไปทั้งดอกไม้ทำจากผ้าและอัญมณีต่างๆ
[2] ฮวงเฟย (皇妃) หมายถึง พระชายาในองค์จักรพรรดิขั้นเฟย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้