ฮูหยินจิ่งอันป๋อยิ้มและตบหลังมือของเมี่ยวเจินเบาๆ “เ้าเป็ผู้เดียวที่ข้าวางใจให้ดูแลเื่ต่าง ๆ เมี่ยวเจินปีนี้เ้าก็อายุสิบเจ็ดแล้ว ได้วางแผนสิ่งใดไว้ในอนาคตแล้วหรือไม่? เพราะเ้าคงอยู่ข้างกายข้าตลอดไปมิได้”
ได้ยินฮูหยินจิ่งอันป๋อว่าดังนั้นเมี่ยวเจินก็ตัวแข็งทื่อ นางกัดริมฝีปากและกล่าว “ฮูหยินเมี่ยวเจินขอรับใช้ท่านตลอดไป”
“อย่าพูดเช่นนั้น! เ้าเป็สตรีสักวันย่อมต้องแต่งออกจะมารับใช้ข้าไปตลอดชีวิตได้อย่างไร? หากเ้าจะทำเช่นนั้นจริงมารดาเ้าจะไม่เสียใจหรือ?”
เมี่ยวเจินเป็บุตรีของแม่นมฮูหยินจิ่งอันป๋อยามอายุได้สิบปี มารดาได้ส่งนางมารับใช้ฮูหยินจิ่งอันป๋อแต่เมื่อหลายปีก่อนมารดาของนางได้จากไปด้วยอาการเจ็บป่วยก่อนเสียยังได้ฝากฝังให้ฮูหยินจิ่งอันป๋อช่วยดูแลสั่งสอนบุตรสาวของตน
เมี่ยวเจินนั้นเฉลียวฉลาดรอบคอบฮูหยินจิ่งอันป๋อจึงชื่นชอบนางมากเป็พิเศษ
ดวงตาของเมี่ยวเจินปริ่มน้ำในทันทีนางเงยหน้าขึ้นมองฮูหยินอย่างเขินอายพลางกระซิบงึมงำ “ฮูหยินเมี่ยวเจินไม่มีคำร้องขอใด นอกจากขอเพียงแต่งกับผู้ใดในจวนนี้ก็ได้เ้าค่ะและยังได้อยู่ดูแลฮูหยินหลังแต่งงานก็เพียงพอแล้ว”
ฮูหยินจิ่งอันป๋อมองเด็กสาวที่นางเฝ้าดูจนเติบใหญ่ในความคิด ตัวเลือกที่เหมาะสมก็ปรากฏขึ้นทีละคนทว่าท้ายที่สุดแล้วนางก็ต้องสลัดภาพเ่าั้ออกไปเนื่องจากตัวเลือกหนึ่งที่นางสนใจคือลูกชายคนที่สองของผู้ดูแลหลักเรือนนอกที่น่าจะเหมาะสมกับนางมากที่สุดเด็กคนนั้นเฉลียวฉลาดใช้ได้ แต่ช่างน่าเสียดายที่เพิ่งแต่งภรรยาไปเมื่อปีที่แล้วหากเมี่ยวเจินได้ตบแต่งเป็ภรรยาของผู้ดูแลเรือนใดเรือนหนึ่งก็ย่อมเป็เื่ดีทีเดียว
ขณะฮูหยินกำลังเหม่อลอยกับความคิดเ่าั้หมัวมัวคนหนึ่งก็แจ้งว่าซื่อจื่อมาถึงแล้ว เมื่อสิ้นเสียงแจ้งข่าวจิ่งอันซื่อจื่อก็ก้าวเข้ามาในห้อง
“ท่านแม่ ่นี้สุขภาพท่านเป็อย่างไรบ้าง?”
เฮ่อฉางฉีผู้สืบทอดตระกูลจิ่งอันมีรูปร่างบึกบึนสมกับเป็ผู้ฝึกยุทธ์ซ้ำยังดูละม้ายคล้ายจิ่งอันป๋อยิ่ง แม้ปีนี้ยังอายุไม่ถึงสามสิบทว่าร่างกายที่สูงใหญ่ ผิวสีคล้ำ และหนวดเคราบนใบหน้าทำให้เขาดูแก่ขึ้นมากทีเดียว
เขากับเฮ่อฉางตี้เป็พี่น้องที่คลานตามกันมาทั้งยังมีส่วนสูงที่เท่ากัน แต่เมื่อคนทั้งสองมายืนอยู่เคียงกันกลับไม่มีใครทราบว่าคนทั้งคู่นั้นเป็พี่น้องกัน
ฮูหยินจิ่งอันป๋อมิได้คาดว่าต้าหลางจะเข้ามาอย่างกะทันหันเช่นนี้นางจึงกลอกตาด้วยความเอือมระอาให้เ้าลูกชายคนโต “เ้าอายุตั้งเท่าไรแล้ว? เหตุใดจึงทำตัวราวกับไม่รู้เื่มารยาทเลยเล่า?”
เฮ่อฉางฉีมิได้ใส่ใจกับคำบ่นของมารดานักเนื่องจากเขามิใช่คนที่ใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อย ๆ มาแต่ไหนแต่ไร ในวัยเด็กเขามักจะใช้เวลาอยู่กับบิดาเพื่อฝึกฝนวรยุทธ์จึงมิได้ใส่ใจเื่กฎเกณฑ์ชายหญิงของเรือนในมากนักนอกจากนั้นที่นี่ยังเป็เพียงห้องของมารดาของตนอีกด้วย
เฮ่อฉางฉีก้มหน้าลงสังเกตเห็นของว่างที่ยังเหลืออยู่บนโต๊ะข้างเตียง จึงยิ้มแล้วกล่าว “ท่านแม่ของว่างที่น้องสะใภ้สามทำมาให้ถูกปากท่านหรือไม่?”
ฮูหยินจิ่งอันป๋อตบมือลงบนเตียงเบาๆ เพื่อเรียกให้บุตรชายมานั่งลงที่ข้างเตียง
ั้แ่คุณชายใหญ่ก้าวเข้ามาในห้องเมี่ยวเจินก็รีบคารวะทักทายทันทีก่อนจะก้มหัวลงต่ำและถอยไปยืนอยู่ข้างฮูหยินจิ่งอันป๋อด้วยความเคารพนบนอบตามธรรมเนียมปฏิบัติในขณะนั้นฮูหยินจิ่งอันป๋อก็ได้ทันสังเกตใบหน้าแดงก่ำของเมี่ยวเจินก่อนจะหันไปมองบุตรคนโตของตนที่กำลังยืนหลังตรงสองมือไพล่หลังฉีกยิ้มกว้างบนใบหน้า
“รสชาติถูกปากข้ายิ่งนัก!แม่ไม่เคยทานของว่างที่ดูสวยงามประณีตเช่นนี้มาก่อน!”
เมื่อทำจิงปาเจี้ยนเสร็จแล้วฉู่เหลียนก็ได้สั่งให้บ่าวนำส่งของไปให้แต่ละเรือนในจวนส่วนครอบครัวของต้าหลางมีบุตรีสองคนนางจึงได้จัดเตรียมให้เยอะกว่าเรือนอื่นเพียงเล็กน้อยตามจำนวนสมาชิกที่มากกว่าเฮ่อฉางฉีนั้นได้ลองทานไปสองชิ้นและเห็นว่าอร่อยนัก
“ไม่คาดว่าน้องสะใภ้จะมีสูตรลับมากมายถึงเพียงนี้ ท่านแม่ข้าแน่ใจว่าท่านยังไม่ทราบเื่นี้แน่ ตอนงานวันเกิดที่จวนติ้งหยวนโหวทุกคนต่างแย่งชิงซิ่วท้อถาดเล็ก ๆ กันทั้งนั้น!”
อ๋า?
ฮูหยินจิ่งอันป๋อถึงนิ่งอึ้งด้วยความสงสัยใคร่รู้เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
สุภาพบุรุษทั้งหลายต่างแย่งชิงซิ่วท้อน่ะหรือ?
หรือซิ่วท้อนั้น...ฉู่เหลียนจะเป็ผู้ทำกัน?
แท้จริงแล้วฉู่เหลียนได้เล่าเื่ราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในจวนติ้งหยวนโหวให้ฮูหยินจิ่งอันป๋อฟังแล้วครั้นกลับมาถึงจวน
ยามที่ซิ่วท้อถูกส่งไปยังเรือนนอกย่อมเป็ครั้งสุดท้ายที่ฉู่เหลียนได้เห็นเมื่อผู้รับเป็แเื่เพศชายที่ถูกจัดให้เฉลิมฉลองคนละส่วนของจวนนางจึงไม่รู้เื่ราวที่เกิดขึ้นต่อหลังจากนั้นกระทั่งเหล่าไท่จวินเองก็ยังเพียงได้รับฝากของรางวัลให้มอบแก่ฉู่เหลียนเท่านั้นโดยไม่ทราบข้อมูลอื่นหรือเื่ราวใดที่เกิดขึ้น
ฮูหยินจิ่งอันป๋อมิได้คาดว่าจะมีเื่เช่นนั้นเกิดขึ้นที่งานเลี้ยงฝั่งบุรุษ
เฮ่อฉางฉีตั้งใจมาเพื่อให้มารดาอารมณ์ดีโดยเฉพาะแน่นอน เขาจึง
บรรยายเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้นางฟังโดยละเอียดและเมื่อสิ่งเ่าั้เป็เหมือนเื่ตลกที่เกี่ยวพันถึงคนในครอบครัวเขาจึงเล่าอย่างมีอรรถรสราวกับข้อเท็จจริงนี้เป็นิทานเื่หนึ่ง
ครั้นวันงานอายุยืนที่ฝั่งบุรุษงานเลี้ยงมิได้ยืดยาวนักฝูงชนต่างวุ่นวายกับการยกแก้วเหล้าฉลองให้แก่ท่านโหวผู้เฒ่ากระทั่งยามที่สาวใช้ยกถาดซิ่วท้ออันงดงามสมจริงพวกนั้นเข้ามาพร้อมทั้งกล่าวว่าหวงฮูหยิน ผู้เป็ภริยาติ้งหยวนซื่อจื่อส่งมาให้
ดวงตาของบุรุษทุกรายต่างจับจ้องของที่อยู่บนถาดนั้นท่านโหวผู้เฒ่าที่นั่งใกล้กับซิ่วท้อที่สุด แม้สายตาจะฝ้าฟางไปแต่ต่อมรับกลิ่นยังคงรับรู้ถึงความหอมหวานได้อย่างชัดเจน
ติ้งหยวนโหวผู้เฒ่าลองหยิบขึ้นดมครั้งหนึ่งและเห็นว่าซิ่วท้อนั้นไม่เพียงแต่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายผลลูกท้อแต่ยังมีกลิ่นราวกับลูกท้อสดใหม่อีกด้วย ช่างเป็ของหวานที่น่าสนใจนักหลังจากนั้นจึงได้ลองชิมคำหนึ่ง และเอ่ยปากชื่นชมทันทีแม้เพิ่งจะทานเข้าไปแค่เพียงคำเดียว!
เมื่อบุรุษผู้ใช้ชีวิตมาอย่างยาวนานผู้นี้ยังชมชอบซิ่วท้อนี้จึงกลายเป็ดั่งเครื่องรางนำโชคที่จะนำพาความโชคดีและความก้าวหน้าแก่เหล่าบุรุษวัยเยาว์หากได้ลิ้มลอง
ผู้ร่วมงานทุกคนต่างอยากรู้อยากลองั้แ่เห็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอกของซิ่วท้อนั้นแต่ก็ไม่มีใครคาดว่าเจิ้งซื่อจื่อจะยืนขึ้นกล่าวอวยพรท่านโหวชราก่อนจะขอซิ่วท้อมาทานอย่างไม่ละอาย
ติ้งหยวนโหวผู้เฒ่าหัวเราะสามครั้งอย่างสนุกสนานมีคนหนุ่มหาญกล้าเอ่ยร้องขอซิ่วท้อในงานวันเกิดเช่นนี้ย่อมเป็ไปไม่ได้ที่จะกล่าวปฏิเสธ
เจิ้งซื่อจื่อมิได้ร่ำไรให้มากพิธีรีบรุดเข้ามาคว้าเอาซิ่วท้อขึ้นมาสองลูกในคราเดียวเมื่อกัดเข้าไปลูกหนึ่งแล้ว ดวงตาก็เปล่งประกายเจิดจ้า
จากนั้นจิ่นอ๋องผู้เงียบ สุขุมก็เอ่ยขอซิ่วท้อจากติ้งหยวนโหวเช่นกันและคว้าเอาซิ่วท้อไปถึงสามลูกในคราวเดียวพฤติกรรมเช่นนี้มิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าเจิ้งซื่อจื่อแม้แต่น้อย
เจิ้งซื่อจื่อนั้นเป็บุคคลที่ขึ้นชื่อเื่ความเลือกกินหากชอบหรือไม่ชอบสิ่งใดสีหน้าย่อมบ่งบอกชัดในตอนนั้นการกระทำของทั้งเขาและจิ่นอ๋องเปรียบเสมือนเป็การเปิดทางแก่คนอื่นที่เหลือฝูงชนขี้สงสัยต่างก็ลงมือคว้าเอาซิ่วท้อไปจนเกลี้ยงถาดภายในเวลาไม่ถึงอึดใจ…
ในขณะนั้นมีเพียงขุนนางผู้ทรงอำนาจสองคนที่ยังคงนิ่งอึ้งและพูดไม่ออกเมื่อเห็นภาพเบื้องหน้าเหตุใดขุนนางเหล่านี้ถึงกลายเป็พวกขี้ตะกละไปเสียได้?
เฮ้!นั่นมิใช่ขุนนางคุมประพฤติที่มักจะชอบการกล่าวโทษผู้อื่นเพื่อความสนุกเปลี่ยนความเห็นทางการเมืองของตนให้กลายเป็การเทศนาสั่งสอนผู้อื่นหรอกหรือ? ใครจะรู้ว่าเ้ากลายเป็คนที่ยอมทำได้ทุกอย่างเพื่ออาหารไปเสียแล้ว!ช่างหน้าไม่อายเสียจริง! ขอให้เ้าสำลักซิ่วท้อเสียเถอะ!
ทว่าเมื่อศึกแย่งชิงซิ่วท้อจบลงขุนนางสูงศักดิ์ทั้งสองที่ไม่อาจละทิ้งศักดิ์ศรีของตนเพื่อยื้อแย่งซิ่วท้อมานั้นต่างชักสีหน้าไม่สบอารมณ์
เฮ่อฉางฉีเล่าเื่ราวออกรสออกชาติเสียจนฮูหยินจิ่งอันป๋ออดยิ้มกว้างๆ มิได้
นางเผลอยิ้มออกมาขณะแสร้งทำเป็จ้องมองบุตรชาย“เล่าเื่เช่นนี้แค่ในจวนของเราก็พอ! อย่าได้ไปพูดต่อข้างนอกเชียวไม่เช่นนั้นจะเป็การนำปัญหามาสู่ตัวได้หากเ้าบังอาจล่วงเกินขุนนางชั้นสูงเ่าั้ พวกเราคงรับมือไม่ไหวแน่!”
“ขอรับท่านแม่ ข้าทราบแล้ว เพียงแค่อยากเห็นท่านหัวเราะเท่านั้น”
“เอาล่ะ ๆ แม่เข้าใจแล้ว เ้ายังมีสิ่งที่ต้องไปทำไม่ใช่หรือ? รีบไปได้แล้ว อย่าได้เสียเวลากับแม่เลย”
เฮ่อฉางฉีเห็นว่าได้เวลาแล้วจึงลุกขึ้นเพื่อเดินออกไปแต่เดินไปได้เพียงสองก้าว ฮูหยินจิ่งอันป๋อก็สั่งจากด้านหลัง“วันนี้กลับมาทานอาหารเย็นให้ไวขึ้นสักหน่อยเถิด”
แม้แต่ละเรือนในจวนจิ่งอันจะไม่ค่อยได้ทานอาหารร่วมกันนักทว่าทุกกลางเดือนและปลายเดือนก็มักจะมาร่วมรับประทานอาหารกันที่เรือนชิ่งสี่เพื่อเสริมสร้างสัมพันธ์ในครอบครัว
“ขอรับ ข้าเข้าใจแล้ว ข้าไม่สายแน่นอน”
ฮูหยินจิ่งอันป๋อเห็นเมี่ยวเจินยังคงมองตามหลังบุตรชายคนโตอย่างใจลอยแม้เ้าตัวจะหายลับไปแล้ว
นางลอบถอนใจ
ห้าปีก่อนเมี่ยวเจินเกิดพลัดตกบ่อน้ำในจวนเฮ่อฉางฉีที่ผ่านมาพอดีจึงเร่งเข้าไปช่วยนางไว้หลังจากนั้นเด็กสาวผู้นี้ก็แอบหลงรักชายผู้หาญกล้าผู้นั้นมาโดยตลอด
โชคไม่ดีนักที่ตระกูลเฮ่อยังมีกฎห้ามรับอนุ
ทว่าต้าหลางเองก็แต่งกับโจวซื่อมาได้หลายปีแล้วทั้งคู่ยังไม่มีบุตรชายแม้แต่คนเดียวและยังไม่มีวี่แววว่าจะให้กำเนิดบุตรอีกเลยเนื่องจากโจวซื่อมีอาการเจ็บป่วยแทรกซ้อนหลังจากคลอดหลินเอ๋อร์ซึ่งปีนี้หลินเอ๋อร์ก็มีอายุได้สี่ขวบแล้ว
ต้าหลางเองก็ใกล้ถึง่อายุที่สามารถรับอนุได้แล้วหากยังไม่มีบุตรชายทันใดนั้นฮูหยินจิ่งอันป๋อก็ตัดสินใจได้ในทันที
นางดึงมือเมี่ยวเจินยิ้มให้แล้วถาม “เมี่ยวเจิน เ้าคิดว่าซื่อจื่อ บุตรชายข้าเป็อย่างไร?”
“เอ๋?” เมี่ยวเจินมิคาดว่าฮูหยินจิ่งอันป๋อจะถามขึ้นกะทันหันใบหน้านางพลันแดงก่ำและมีทีท่าคล้ายจิติญญาที่ล่องลอยอยู่ถูกดึงกลับสู่โลกอย่างกะทันหัน
นางรีบหันกลับมามองฮูหยินจิ่งอันทว่ากลับมิสามารถอ่านสีหน้าได้แม้แต่น้อยความแดงบนใบหน้าแปรเปลี่ยนกลายเป็ซีดขาวและทรุดลงคุกเข่ากับพื้นโดยแรง “บ่าวเป็เพียงบ่าวต่ำต้อยมิกล้าคิดสิ่งใดกับซื่อจื่อเ้าค่ะ”
เมื่อเอ่ยจบนางก็จรดศีรษะลงบนที่วางเท้าข้างเตียง ตัวสั่นสะท้านราวใบไม้ต้องลมนางมิกล้ากล่าวสิ่งใดเพิ่มเติม
ในฐานะบ่าวรับใช้คนสนิทของฮูหยินจิ่งอันป๋อนางย่อมรู้กฎของจวนเป็อย่างดีบุรุษในตระกูลสามารถมีอนุได้ก็ต่อเมื่อมีอายุถึงสามสิบ และยังไม่มีบุตรชายแต่ด้วยความที่นางเป็เพียงบ่าวรับใช้ สถานะเช่นนั้นทำให้นางจำต้องสละความปรารถนาต่อจิ่งอันซื่อจื่อลงเสียและคงเหลือไว้เพียงความเพ้อฝันยามอยู่ลำพังเท่านั้นทว่ายามนี้นางเผลอใจล่องลอยไปกับความฝันที่เบื้องหน้าจึงทำให้ฮูหยินจิ่งอันตรวจพบความปรารถนาที่นางมีต่อคุณชายใหญ่ได้
ฮูหยินจิ่งอันป๋อชะงักไปก่อนจะรู้ตัวว่าสาวใช้คนสนิทของนางกำลังเข้าใจผิดไปเสียแล้วคงคิดว่านางโกรธที่เด็กเมี่ยวเจินผู้นี้กล้าหลงรักบุตรชายของตนกระมัง
ฮูหยินจิ่งอันป๋อถอนหายใจนางยื่นมือไปดึงเมี่ยวเจินให้ลุกขึ้นและจ้องมอง “เด็กโง่ข้าจะคิดเช่นนั้นได้อย่างไร? เอาล่ะ ข้าจะไม่กล่าวโทษเ้าบอกข้ามาตามตรงเถิด เ้าคิดเช่นไรกับต้าหลาง?”
เมี่ยวเจินจ้องมองฮูหยินจิ่งอันป๋ออย่างงุนงงใช้เวลาสักพักนางจึงก้มลง ใบหน้านวลแดงก่ำลามไปถึงคอ“ซื่อ...ซื่อจื่อนั้น...สูงส่งและ...หล่อเหลาเ้าค่ะ”
“พรืด”
ฮูหยินจิ่งอันป๋อะเิหัวเราะออกมาสูงส่งและหล่อเหลาน่ะหรือ? ในฐานะมารดานางย่อมรู้ดีกว่าคนอื่นมองว่าบุตรชายนางเป็อย่างไร
หากต้าหลางที่ผิวคล้ำเข้มและดูป่าเถื่อนนั้นนับว่าสูงส่งและหล่อเหลาได้เช่นนั้นความรักย่อมทำให้คนตาบอดจริง ๆเว้นแต่หากเมี่ยวเจินใช้คำเหล่านี้บรรยายถึงซานหลาง นางย่อมเชื่อได้ในทันที
“เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว เมี่ยวเจินอย่ากังวลไป ตอนนี้ก็รับใช้ข้าต่อไปเถิด”
ได้ยินคำกล่าวของฮูหยินจิ่งอันป๋อใจของเมี่ยวเจินก็แทบจะกระดอนออกมาจากคอ
ณจวนหยาง ใต้เท้าหยางเพิ่งกลับจากการประชุมขุนนางในท้องพระโรงก็เห็นพ่อบ้านผู้หนึ่งถือกล่องอันประณีตงดงามมาด้วยความระมัดระวัง
พ่อบ้านเห็นนายท่านของตนกลับมาแล้วจึงเร่งเข้ามาทักทาย
“นั่นอะไร?” ใต้เท้าหยางพยักพเยิดไปยังกล่องในมือพ่อบ้านผู้นั้น
“เรียนนายท่าน นี่เป็ของที่คนจากจวนจิ่งอันส่งมาขอรับกล่าวว่าเป็ของตอบแทนแก่ฮูหยิน ภายในเป็อาหาร จึงเก็บไว้ได้ไม่นาน”
จวนจิ่งอัน? อาหาร? หรือจะเป็ซิ่วท้อดังเช่นในงานวันเกิดที่จวนติ้งหยวนโหว?
ขณะที่เดินทางกลับจวนในวันนี้สองสามีภรรยายังได้พูดคุยกันถึง ‘เื่สนุก ๆ ’ ที่ฉู่เหลียนทำซิ่วท้ออยู่ใต้เท้าหยางคือผู้หนึ่งที่ย่อมมิได้ละทิ้งศักดิ์ศรีตนเองไปร้องขอซิ่วท้อมาลองชิมจึงยังคงรู้สึกค้างคาในใจั้แ่วันนั้นเป็ต้นมา