บทที่ 4 พลิกกระดานด้วยด้ายแดงเส้นเดียว
"มันคือ เงิน ที่จะใช้หนี้พวกท่านอย่างไรเล่า"
คำประกาศของหลี่ซือซือไม่ได้ดังราวฟ้าฟาด แต่มันเงียบสงบและเยือกเย็นราวกับน้ำในบ่อลึก ทว่าสำหรับสวีฝูแล้ว มันกลับเสียงดังเสียยิ่งกว่าเสียงอสนีบาตฟาดลงกลางกบาล
"เงินรึ!?" สวีฝูะเิหัวเราะออกมาดังลั่น เขากับลูกน้องมองหน้ากันราวกับได้ฟังเื่ตลกที่สุดในปฐี "เ้าเด็กเมื่อวานซืน! เ้าคิดว่าผ้าฝ้ายย้อมสีแดงแค่ผืนเดียวจะมีปัญญาใช้หนี้ห้าสิบตำลึงทองของพวกข้ารึ! ฝันกลางวันอยู่หรืออย่างไร!"
เสียงโหวกเหวกโวยวายหน้าโรงย้อมสกุลหลี่เริ่มดึงดูดความสนใจของชาวบ้านในละแวกนั้น บรรดาเพื่อนบ้านที่ปกติไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ต่างพากันแง้มประตู แอบมองลอดหน้าต่าง บ้างก็ทำทีเป็ออกมาตากผ้าเพื่อจะได้ฟังเื่ราวให้ถนัดหู
"นั่นมันคนของตระกูลสวีมิใช่รึ?" ป้าหลิวร้านขายเต้าหู้กระซิบกับสามี "ดูท่าทางจะมาทวงหนี้อีกแล้ว น่าสงสารตระกูลหลี่เสียจริง"
‘แต่ก่อนโรงย้อมนี้คึกคักจะตายไป ข้ายังเคยเอาผ้าไปให้ย้อมอยู่บ่อยๆ สีสวยติดทนนานไม่เหมือนใคร แต่พอเถ้าแก่หลี่คนพ่อเอาแต่เมาหยำเป ลูกชายก็ซื่อเป็แมวนอนหวด มีหวังโรงย้อมของบรรพบุรุษได้เปลี่ยนมือคราวนี้เป็แน่’ ป้าหลิวรำพึงออกมาด้วยความเสียดาย
อาแปะจางเ้าของร้านบะหมี่ฝั่งตรงข้ามส่ายหน้าอย่างระอา "เฮ้อ ัตกน้ำถูกกุ้งหยาม เสือสิ้นลายถูกสุนัขรังแก ของจริงแท้ดูสิ ส่งลูกสาวตัวเล็กๆ ออกมารับหน้าแทน น่าสมเพชนัก"
ท่ามกลางสายตาที่อยากรู้อยากเห็นและเสียงซุบซิบนินทา หลี่ซือซือกลับไม่แสดงอาการหวาดหวั่นหรืออับอายเลยแม้แต่น้อย นางยังคงยืนสงบนิ่ง เผชิญหน้ากับสวีฝูด้วยรอยยิ้มที่อ่านไม่ออก
"ท่านพ่อบ้านสวี ท่านยังไม่ได้ดูผ้าให้ดีเสียด้วยซ้ำ เหตุใดจึงรีบด่วนสรุปเช่นนั้นเล่า?" นางเอ่ยอย่างใจเย็น "หรือว่า ตระกูลสวีที่ยิ่งใหญ่ ตัดสินคุณค่าของสิ่งของด้วยปาก มากกว่าด้วยสายตา?"
คำพูดนี้แทงใจดำสวีฝูอย่างจัง! มันเป็การกล่าวหาว่าเขาไม่มีสายตาถึง ไม่มีความเป็มืออาชีพ!
"หน็อยแน่ะ! ปากดีนักนะนางเด็กนี่!" สวีฝูกัดฟันกรอด เขาเป็ถึงพ่อบ้านใหญ่ของโรงย้อมอันดับหนึ่ง จะมายอมเสียหน้าให้เด็กสาวที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมได้อย่างไร!
เขาตัดสินใจเดินตรงเข้าไปหาผ้าผืนนั้น หมายจะจ้องจับผิดและเหยียบย่ำมันให้จมดิน แต่ยิ่งเข้าใกล้ หัวใจของเขาก็ยิ่งเต้นผิดจังหวะ
แสงแดดยามเย็นที่ส่องลอดแนวหลังคาลงมากระทบผืนผ้า ทำให้สีแดงนั้นยิ่งขับประกายเจิดจรัส มันเป็สีแดงที่มีความลุ่มลึกหลายชั้น เมื่อมองในที่ร่มจะเห็นเป็สีแดงเข้มดุจโลหิต แต่พอกระทบแสงกลับเปล่งประกายราวกับมีเปลวไฟสีทองระริกอยู่ภายใต้เนื้อผ้า
"นี่ นี่มัน..." สวีฝูอ้าปากค้าง ลืมคำพูดดูถูกเหยียดหยามที่เตรียมไว้ไปจนหมดสิ้น เขายื่นมือที่สั่นเทาออกไปหมายจะัั
"ช้าก่อนเ้าค่ะ"
เสียงของซือซือดังขึ้นขัดจังหวะ นางก้าวเข้ามาขวางไว้ด้วยท่าทีสุภาพแต่แฝงไว้ด้วยความเด็ดขาด "ของมีค่า จะให้จับต้องกันง่ายๆ ได้อย่างไร"
"เ้า!" สวีฝูชักมือกลับอย่างหัวเสีย "ข้าแค่จะตรวจสอบดูเท่านั้น!"
"ไม่จำเป็ต้องใช้มือหรอกเ้าค่ะ" ซือซือกล่าวพลางชี้นิ้วไปยังลานหน้าบ้าน ที่บัดนี้หลี่เจิ้งและหลี่เหวินได้ตั้งโต๊ะน้ำชาเสร็จเรียบร้อยแล้ว "เชิญท่านพ่อบ้านนั่งพักให้สบายใจก่อนดีกว่า"
หลี่เจิ้งในชุดผ้าไหมตัวเก่งที่สุดในบ้าน แม้จะดูเก่าไปบ้างแต่ก็สะอาดสะอ้าน ผมเผ้าถูกหวีจัดทรงเรียบร้อย เขาโค้งคำนับเล็กน้อยตามมารยาท "เชิญท่านพ่อบ้านสวี"
สวีฝูมองภาพตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ ทุกอย่างมันผิดแผนไปหมด เขาควรจะได้เห็นภาพคนสกุลหลี่ร้องไห้คุกเข่าอ้อนวอน แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็การจัดฉากต้อนรับที่ดูสงบนิ่งจนน่าขนลุก
เ้าพวกนี้มันเล่นละครอะไรกันแน่? หรือว่าพวกมันไปได้เงินจากที่ไหนมาจริงๆ? ไม่สิ เป็ไปไม่ได้! ไม่มีใครในเมืองนี้กล้าให้พวกมันยืมเงินอีกแล้ว! หรือว่าผ้านั่น ผ้านั่นมันมีอะไรพิเศษจริงๆ? สวีฝูพยายามคิดหาเหตุผลประกอบกับภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้า
ด้วยความอยากรู้ที่ท่วมท้นยิ่งกว่าความโกรธ ในที่สุดสวีฝูก็ยอมเดินไปนั่งที่โต๊ะแต่โดยดี แต่เขาก็ยังไม่วายสั่งลูกน้องให้ยืนคุมเชิงอยู่รอบๆ
หลี่เหวินรินชาให้แขกด้วยท่วงท่าที่มั่นคง เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่แสดงความประหม่าออกมาทางสีหน้า
"เอาล่ะ! เลิกเล่นละครกันได้แล้ว!" สวีฝูจิบชาไปหนึ่งอึกก่อนจะกระแทกถ้วยลงบนโต๊ะ "ว่ามา! ไอ้ผ้าแดงผืนนั้นมันมีดีอะไร เ้าถึงกล้าบอกว่ามันจะใช้หนี้ห้าสิบตำลึงทองได้!"
ซือซือยิ้มบางๆ "ท่านพ่อบ้านสวี ท่านคิดว่าผ้าไหมสีพิเศษของหอผ้าตระกูลสวีที่ท่านภาคภูมิใจนักหนา พับหนึ่งขายได้ราคาสูงสุดเท่าใดรึ?"
"ยี่สิบตำลึงเงิน!" สวีฝูตอบอย่างภาคภูมิใจ "เป็ผ้า แดงชาดหงสา ที่มีเพียงพวกเราเท่านั้นที่ย้อมได้!"
"ยี่สิบตำลึงเงิน อืม..." ซือซือทำท่าครุ่นคิด "แต่หนี้ของเราคือห้าสิบตำลึงทอง ซึ่งก็เท่ากับ ห้าร้อยตำลึงเงิน"
"ใช่แล้ว!" สวีฝูแสยะยิ้ม "ต่อให้เ้ามีผ้าแดงชาดหงสาสักยี่สิบห้าพับก็ยังไม่พอจ่ายหนี้ข้า! แล้วผ้าฝ้ายกระจอกๆ ของเ้าแค่ผืนเดียวจะมีค่าอะไร!"
ชาวบ้านที่แอบฟังอยู่ต่างพากันพยักหน้าเห็นด้วย ตัวเลขนั้นมันห่างไกลกันเกินไปจริงๆ ตระกูลหลี่ไม่รอดแน่แล้ว
"ถ้าเช่นนั้น เรามาพนันกันดีหรือไม่?"
คำพูดของซือซือทำให้ทุกคนในที่นั้นต้องหันไปมองเป็ตาเดียว
"พนัน?" สวีฝูเลิกคิ้ว
"ใช่เ้าค่ะ" ซือซือเดินไปหยิบผ้า "ชาดแรกอรุณ" ผืนนั้นขึ้นมาถือไว้อย่างทะนุถนอม "ข้าจะนำผ้าผืนนี้ไปประมูลที่โรงประมูลจินเป่าในอีกสามวันข้างหน้า"
โรงประมูลจินเป่า! ชื่อนี้ทำให้ชาวบ้านถึงกับฮือฮา มันเป็โรงประมูลที่ใหญ่และน่าเชื่อถือที่สุดในเมืองซูเหอ สินค้าทุกชิ้นที่เข้าไปต้องมีคุณภาพสูงและมีราคา!
"ถ้าผ้าผืนนี้ประมูลได้ราคาสูงกว่าหนี้สินห้าสิบตำลึงทอง" นางกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่ดังฟังชัด "หนี้ทั้งหมดถือเป็อันสิ้นสุด แต่ถ้าประมูลได้ราคาต่ำกว่านั้น พวกเราสกุลหลี่ จะยอมมอบโฉนดโรงย้อมผืนนี้ให้ท่านแต่โดยดี โดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น ท่านกล้าพนันกับข้าหรือไม่?"
ข้อเสนอที่บ้าบิ่นและทุ่มสุดตัวนี้ทำให้ทุกคนตกอยู่ในความเงียบงัน!
หลี่เจิ้งกับหลี่เหวินหน้าซีดเผือดเป็ไก่ต้ม พวกเขามองหน้าลูกสาว/น้องสาวอย่างไม่เชื่อสายตา นี่มันไม่ใช่การพนันธรรมดา แต่มันคือการเอาอนาคตและมรดกของทั้งตระกูลไปแขวนไว้บนเส้นด้าย!
‘ซือซือ! เ้าบ้าไปแล้วรึ! ผ้าผืนนี้แม้จะงดงามเพียงใด แต่มันจะเป็ไปได้อย่างไรที่จะมีราคาสูงถึงห้าร้อยตำลึงเงิน! นั่นมันราคาของเครื่องประดับล้ำค่า! เ้า... เ้ากำลังจะทำบ้านของเราพังพินาศนะ!’หลี่เจิ้งคิดและสีหน้าของเขาก็เครียดลงทันที
สวีฝูจ้องหน้าหลี่ซือซือเขม็ง เขากำลังใช้ความคิดอย่างหนัก ข้อเสนอนี้มันดูดีเกินไปจนน่าสงสัย ถ้าเขารับคำ เขาก็แค่รออีกสามวันก็ได้โฉนดมาครองอย่างง่ายดาย แต่ถ้าเขาปฏิเสธ มันก็จะดูเหมือนว่าเขาไม่กล้า ไม่มั่นใจในสายตาของตัวเอง และที่สำคัญที่สุดคือ... เขากลัว!
เขากลัวว่าผ้าผืนนั้นอาจจะมีค่ามากกว่าที่เขาคิดจริงๆ!
‘เด็กนี่มันไม่ธรรมดา สายตาของนางมันนิ่งเกินไป มันเหมือนกับคนที่ถือไพ่เหนือกว่าอยู่ในมือ หรือว่านางมีแผนอะไรซ่อนอยู่? แต่ มันก็แค่ผ้าฝ้ายผืนเดียวไม่ใช่รึ? เอาวะ! ต่อให้มันเป็ผ้าทอจากเส้นไหมทองคำ ก็ไม่มีทางมีราคาสูงขนาดนั้นได้! ข้ารับคำพนันนี้ ดีกว่าปล่อยให้พวกมันมีเวลาไปวิ่งเต้นหาเงินจากที่อื่น!’ สวีฝูคิดพยายามมองหาเหตุและผลถึงความคุ้มค่า
"ตกลง!" สวีฝูทุบโต๊ะดังปัง! "ข้ารับคำท้าของเ้า! พวกเรามาทำสัญญาเป็ลายลักษณ์อักษรกันต่อหน้าชาวบ้านทุกคนตรงนี้! ในอีกสามวันข้างหน้า ณ โรงประมูลจินเป่า! ถ้าพวกเ้าตุกติกแม้แต่นิดเดียว ข้าจะให้คนมาพังโรงย้อมของพวกเ้าทิ้งทันที!"
"ตกลงตามนั้น" ซือซือตอบรับด้วยรอยยิ้มที่เยือกเย็น
สัญญาถูกร่างขึ้นอย่างรวดเร็วโดยมีอาแปะจางร้านบะหมี่ผู้พอจะรู้หนังสืออยู่บ้างมาเป็พยาน สวีฝูและหลี่เจิ้ง (ที่ถูกลูกสาวบีบให้ลงชื่อ) ประทับลายนิ้วมือลงบนกระดาษ ท่ามกลางสายตาของชาวบ้านหลายสิบชีวิต
เมื่อได้สัญญามาอยู่ในมือ สวีฝูก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง "ฮ่าๆๆ! ข้าจะรอวันที่พวกเ้าต้องซมซานออกจากที่นี่! ไป! กลับ!"
เขาและลูกน้องเดินจากไปอย่างผู้ชนะ ทิ้งให้ตระกูลหลี่ยืนเผชิญหน้ากับชะตากรรมที่ไม่อาจคาดเดา
ทันทีที่ลับร่างของพวกตระกูลสวี หลี่เจิ้งก็ทรุดลงนั่งบนเก้าอี้อย่างหมดแรง
"จบแล้ว ทุกอย่างจบสิ้นแล้วจริงๆ" เขากล่าวเสียงแ่เบา
"ซือซือ! ทำไมเ้าถึงทำอะไรบ้าบิ่นเช่นนี้!" หลี่เหวินปรี่เข้ามาหาน้องสาว "เ้าเอาโรงย้อมของเราไปเดิมพันนะ! ถ้าเกิดพลาดขึ้นมา พวกเราจะไปอยู่ที่ไหนกัน!"
หลี่ซือซือเก็บสัญญาฉบับของตนเองไว้อย่างดี นางหันมาเผชิญหน้ากับพ่อและพี่ชายที่กำลังสิ้นหวัง
"ท่านพ่อ พี่ใหญ่" นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลง แต่แววตายังคงแน่วแน่ "พวกท่านคิดว่า ต่อให้ไม่มีการพนันนี้ วันนี้พวกเราจะรอดพ้นจากเงื้อมมือของพวกเขาได้หรือ?"
คำถามของนางทำให้ทั้งสองคนนิ่งอึ้ง
"พวกเขาเตรียมการมาเพื่อจะยึดโรงย้อมของเราอยู่แล้ว" นางกล่าวต่อ "การเจรจา การผ่อนผัน มันเป็แค่ละครฉากหนึ่ง สิ่งที่ข้าทำ ไม่ใช่การเดิมพัน แต่เป็การซื้อเวลา และสร้างโอกาสต่างหาก"
"โอกาสอะไรกัน!?"
"โอกาสที่จะพลิกกระดาน" นางคลี่ผ้า "ชาดแรกอรุณ" ออกอีกครั้ง สีแดงสดของมันส่องประกายท้าทายแสงตะวันที่กำลังจะลับขอบฟ้า "พวกท่านเห็นนี่หรือไม่? นี่ไม่ใช่แค่ผ้า แต่มันคือ อาวุธ ของพวกเรา"
นางหยุด ก่อนจะหันไปทางประตูที่ยังคงเปิดกว้างอยู่ เผยให้เห็นชาวบ้านที่ยังคงจับกลุ่มซุบซิบกันอยู่ไม่ไกล
"และคนพวกนั้น..." นางกล่าวพลางแย้มยิ้มอย่างมีเลศนัย "คือ กองทัพชุดแรกของเรา"