ขอบเขตของเหนียนยวี่หรือ?
หนานกงเยวี่ยขมวดคิ้ว สีหน้าของนางยิ่งผุดความเคร่งขรึม “นางผู้หญิงชั้นต่ำนั่น ข้าให้คนจับตาดูนางทุกวัน เดิมทีคิดว่านางคงไม่มีทางพลิกผันโชคชะตาได้ ทว่า...”
นับั้แ่วันพิธีบรรลุความเป็ผู้ใหญ่ครานั้น เหนียนยวี่นางคนชั้นต่ำนั่นดูจะเริ่มควบคุมได้ยาก ถึงอย่างไรนางก็ยังคิดไม่ออกว่า เหนียนยวี่เล่นกู่ฉินได้อย่างไร ทั้งการเปลี่ยนแปลงของร่างกายนางยังก้าวะโ อย่างมากและไม่หยุดแต่เพียงเท่านี้!
และการเปลี่ยนแปลงนั่น ครั้นตอนนี้ลองนึกคิดดูอย่างละเอียด ก็ยิ่งทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวอย่างอธิบายไม่ถูก
“เปลี่ยนโชคชะตามิได้งั้นหรือ? ดูวันนี้เสียสิ นับว่าเป็การพลิกฟ้าอย่างใหญ่หลวงทีเดียว รวมถึงเื่ที่แข่งบรรเลงฉินในงานเลี้ยงฉีเฉี่ยววันนั้นอีก เ้าคิดว่าอีหลานได้รับาเ็ที่มือได้อย่างไรเล่า?” ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงอดหรี่ตาลงมิได้ ครั้นนางนึกถึงวันนั้น ดวงตานางพลันหรี่เล็กอย่างอดมิได้ “ฝีมือการเล่นกู่ฉินของเหนียนยวี่ดีกว่าอีหลาน ดีเสียจนสามารถควบคุมสถานการณ์โดยรวมได้ หากมิใช่นางที่กดดันบีบคั้น อีหลานไหนเลยจะตื่นตระหนกบรรเลงฉินจนสายขาด มือาเ็ได้เช่นนี้?”
“ท่านแม่หมายถึง ทั้งหมดนั่นเป็ฝีมือของเหนียนยวี่…” หนานกงเยวี่ยมิอาจซ่อนเร้นความใของนางได้ ดวงตาพลันลุกวาว แม้ว่านางจะแปลกใจที่เหนียนยวี่สามารถเล่นกู่ฉินได้ แต่นางไม่ได้ฉุกคิดเลยว่านางจะมีความสามารถเยี่ยงนี้ และไม่แม้แต่จะแสดงออกสีหน้าใดๆ เลยว่านางเป็คนบีบคั้นอีหลานบรรเลงจนมือเจ็บ นางหญิงสารเลวนั่น...
ครั้นนึกเื่นี้ได้ ในใจหนานกงเยวี่ยก็ยิ่งรู้สึกโกรธเกรี้ยว “ท่านแม่ นางสารเลวนั่น ข้ามิอาจปล่อยนางไปแบบนี้ได้ นางทำร้ายอีหลานจนมือาเ็ยังไม่พอ อีกทั้งยังมุ่งให้อีหลานได้รับโทษเยี่ยงนี้อีก”
หนานกงเยวี่ยกล่าวพลางเดินออกไปอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ ทุกสิ่งอยู่ในสายตาของฮูหยินผู้เฒ่าหนานกง ความโมโหกราดเกรี้ยวพลันผุดขยายมากขึ้นเรื่อยๆ
“หนานกงฉี่ หยุดนางไว้” ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงปรายตามองหนานกงฉี่ซึ่งยืนอยู่ที่หน้าประตูมิรู้ั้แ่เมื่อใด เอ่ยสั่งเขาอย่างเ็า
หนานกงฉี่ที่กำลังยืนครุ่นคิดเื่ของเหนียนยวี่ ครั้นได้ยินคำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่าหนานกง จึงได้สติกลับมารู้ตัวทันที หนานกงเยวี่ยที่กำลังจะเดินขึ้นมาตรงหน้าเขาพอดีนั้น หนานกงฉี่จึงได้โอกาสก้าวเข้าไปข้างหน้า และขวางทางหนานกงเยวี่ยไว้
“ไปให้พ้น!” หนานกงเยวี่ยสีหน้าดุดันเต็มเปี่ยม
“หนานกงเยวี่ย!”
ฉับพลันนั้นมีเสียงะโดังแหลมออกมาจากฮูหยินผู้เฒ่าหนานกง หัวใจของหนานกงเยวี่ยพลันสั่นสะท้าน ตามมาด้วยเสียงไม้เท้าเคาะกระทบพื้นจากการก้าวเดินของนางที่กำลังตรงมาทางนี้
“เ้าลืมคำพูดที่ข้าพูดกับเ้าไปแล้วหรืออย่างไร” ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงเดินไปยืนด้านข้างหนานกงเยวี่ย เสียงของนางไม่ดังนัก ทว่ากลับเจือการต่อว่าในคำพูดนั้นอย่างมิปิดบังใดๆ ความน่าเกรงขามและความโกรธเกรี้ยวแผ่ซ่านออกมาจากตัวนาง เพียงชั่วพริบตาก็ทำให้หนานกงเยวี่ยได้สติขึ้นมาไม่น้อย
“ท่านแม่ ข้า…” หนานกงเยวี่ยสบสายตาฮูหยินผู้เฒ่าหนานกง พยายามคิดจะอธิบาย ทว่ากลับไร้ข้อแก้ตัวใดๆ “เยวี่ยเอ๋อร์ผิดไปแล้ว”
“ข้ารู้ว่าเ้ารักอีหลาน ปกติเ้าเป็คนใจเย็น นิ่งสงบ ทว่าเมื่อเป็เื่ที่เกี่ยวข้องกับลูกชายลูกสาว ‘เหนียนเฉิง’ และ ‘อีหลาน’ สองคนนี้แล้ว เ้ามักจะสับสนเป็กังวลจนสูญเสียสตินึกคิด ภายภาคหน้า หากอีหลานได้แต่งเข้าไปในราชวงศ์ขึ้นมาจริงๆ มิรู้ว่าต้องพบเื่อะไรอีกบ้าง เ้าผู้เป็มารดาควรจะใจเย็นกับทุกเื่ ถึงจะสามารถคอยวางแผนสนับสนุนนางอยู่เื้ัได้ หากเ้าเป็เช่นนี้คงน่าผิดหวังเสียจริง” ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงปรายตามองนางอย่างเ็า “ในเมื่อเื่วันนี้เกี่ยวข้องกับเหนียนยวี่ เ้าก็ไม่สามารถไปหาเื่นางเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเื่ที่นางเป็บุตรีบุญธรรมขององค์หญิงใหญ่ชิงเหอเลย นางมีองค์หญิงใหญ่ชิงเหอคอยหนุนหลัง เพียงเพราะเื่สวนร้อยสัตว์ นางก็ดึงฮองเฮาอวี่เหวินมาร่วมด้วย ยิ่งเื่นี้เ้าก็ยิ่งไม่สามารถถามหาเื่การลงโทษเหนียนยวี่ได้เลย”
หนานกงเยวี่ยที่ได้ยินดังนั้น จึงค่อยๆ กลับมาได้สตินึกคิดได้อีกครั้ง แม้นางอยากจะสับเหนียนยวี่เป็หมื่นๆ ชิ้นก็ตาม ทว่านางก็ต้องยอมรับว่ามารดานางพูดถูกต้องทุกอย่าง
หนานกงเยวี่ยสูดหายใจลึก พลางกัดฟันแน่น “นางสารเลวชั้นต่ำนั่น นึกไม่ถึงว่าจะสามารถหาคนหนุนหลังที่แข็งแกร่งให้ตัวเองได้ถึงขนาดนี้”
“แข็งแกร่ง คนหนุนหลังนางผู้นั้นช่างแข็งแกร่งมากจริงๆ” ในดวงตาของผู้ผ่านโลกมามากมายของฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงพลันปกคลุมด้วยหมอกหนาสายหนึ่ง องค์หญิงใหญ่ชิงเหอมิใช่แค่องค์หญิงธรรมดาทั่วไป "ดังนั้นเมื่อต้องรับมือกับเหนียนยวี่ เราจึงต้องระมัดระวังและหลีกเลี่ยงความหุนหันพลันแล่นให้ดีขึ้นกว่านี้ ห้ามเผยจุดอ่อนเด็ดขาด"
“เ้าค่ะ เยวี่ยเอ๋อร์เข้าใจแล้ว” หนานกงเยวี่ยเอ่ยอย่างเคร่งขรึม ครั้นนึกบางอย่างได้ จึงหันมองฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงอีกครั้ง ยามที่สบตาฮูหยินผู้เฒ่าหนานกง ดวงตาของนางพลันวิตกกังวลมากขึ้นกว่าเดิม “เื่อีหลาน…”
“อีหลาน...” ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงขมวดคิ้ว หันหลังกลับเข้ามาในห้อง ครู่หนึ่งร่างกายนั้นพลันหยุดชะงัก พลางถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง “สถานการณ์ในยามนี้ ทำได้เพียงแค่เฝ้ามองเท่านั้น คงต้องขึ้นอยู่กับนาง หวังว่านางจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง!”
หนานกงเยวี่ยจ้องมองแผ่นหลังของฮูหยินผู้เฒ่าหนานกง ไม่เข้าใจนักว่า คำว่า "นาง" จากปากของฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงหมายถึงผู้ใด ทว่าจากที่ฟังแล้วดูเหมือนว่าอีหลานจะพอมีความหวังอยู่บ้าง
ส่วนเหนียนยวี่...
ภาพเงาร่างของเหนียนยวี่ที่ผุดขึ้นในหัวของหนานกงเยวี่ยซ้อนทับกับภาพเงาร่างของคนผู้หนึ่งผู้ซึ่งถูกฝังลึกลงในความทรงจำของนาง ฉับพลันนั้นความเกลียดชังในดวงตาหนานกงเยวี่ยก็ยิ่งขยายใหญ่ รุนแรงขึ้นกว่าเดิม
นางเคยสาบานกับตนเองไว้ว่า นางจะเคี่ยวกรำทรมานลูกสาวของสตรีผู้นั้นไปตลอดชีวิต แม้ยามนี้เหนียนยวี่จะต่อต้าน แล้วอย่างไรเล่า?
นางยังคงไม่เปลี่ยนความตั้งใจเดิม แม้เหนียนยวี่จะมีคนหนุนหลัง ทว่าอย่าได้คิดเพ้อเจ้อเลยว่าจะฝ่ายชนะ!
เหนียนยวี่ขี่ม้าตามหลังฉู่ชิงมาตลอดทาง ั้แ่ที่ออกมาจากเมืองชุ่นเทียน ม้าของฉู่ชิงยังคงวิ่งห้อปานสายลม ก่อนหน้านี้เหนียนยวี่ยังคงเก็บอาการระวังสำรวม ทว่าหลังโดนฉู่ชิงทิ้งห่างมากพอสมควร นางจึงคิดดูอย่างละเอียดแล้ว นางเผยฝีมือมากมายให้แม่ทัพหลวงที่อยู่เบื้องหน้าตนเห็นมามากแล้ว จึงไม่กลัวที่จะให้เขาเห็นฝีมือการขี่ม้าของนางอีกต่อไป
ในเวลาเพียงครู่เดียว เหนียนยวี่ไล่ตามฉู่ชิงขึ้นมา จนม้าทั้งสองขนาบข้างกัน
ชาติก่อน นางใช้ชีวิตอยู่บนหลังม้ามาหลายปี ความใกล้ชิดระหว่างนางกับม้า มาถึงจุดที่หยั่งรากลึกลงไปในกระดูก
ชาติก่อนนั้น ม้าคือสหายร่วมรบของนาง เพื่อมีชีวิตรอด นางจึงคอยระวังตัวอยู่เสมอแม้อยู่บนหลังม้า มิเคยวางใจเลยสักครา ในเวลานี้ความเร่งรีบอย่างป่าเถื่อนได้ปลุกเร้าโลหิตในใจนางให้พลุ่งพล่าน พลางฟังเสียงสายลมพัดผ่านดังแว่วเข้ามาในหู ในใจของเหนียนยวี่ยามนี้รู้สึกสบายใจอย่างท่วมท้น
อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้คาดหวังว่าปลายทางของพวกเขาจะอยู่ที่นี่จริงๆ
บนหลังม้าพันธุ์งาม เหนียนยวี่ดึงบังเหียนขึ้นจนม้าหยุดวิ่ง จากนั้นสายตาเหลือบมองชายชุดดำบนหลังม้าที่อยู่ด้านข้าง
ค่ายเสินเช่อเป็ค่ายฝึกกองทัพแคว้นเป่ยฉีและฝึกฝนทหารรักษาพระองค์ ทุกคนล้วนมาจากที่แห่งนี้ ไม่เพียงแค่นั้น ที่นี่ยังเป็ค่ายสังกัดของเหล่าแม่ทัพระดับสูงและกองกำลังทหารรักษาแคว้นเป่ยฉี
ฉู่ชิงเป็แม่ทัพหลวง ดูแลอำนาจทางการทหารและการเมืองแคว้นเป่ยฉี บรรดาองครักษ์ทหารรักษาพระองค์เองต่างอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเขา การที่เขามาที่นี่ก็เป็เื่ปกติ ทว่าการที่เขาพานางมาด้วยนั้นมิใช่เื่ปกติสักนิด
ฉู่ชิงพานางมาทำอะไรที่นี่กันแน่?
ค่ายทหารแคว้นเป่ยฉีมีข้อบังคับว่า มิอนุญาตให้สตรีเข้ามาในค่าย!
ฉู่ชิงสบสายตาเหนียนยวี่ เขาเข้าใจคำถามของนาง ทว่าเขากลับไม่เอ่ยปากตอบสิ่งใด กลับะโลงจากหลังม้าอย่างคล่องแคล่ว ทหารที่เฝ้าประตูค่าย ครั้นเห็นฉู่ชิง พลันรีบเอ่ยทักทายเขาในทันที ฉู่ชิงเอ่ยอะไรบางอย่างกับทหารยามผู้นั้น ในไม่ช้า ทหารเฝ้ายามรีบก้าวจากไปทันที ยามที่กลับมา ในมือของเขากลับมีชุดมากมายจำนวนหนึ่ง
เป็เครื่องแบบของหมอทหารในค่าย
เหนียนยวี่ขมวดคิ้ว จ้องมองฉู่ชิงหยิบเครื่องแบบนั้นและเดินตรงมายังเบื้องหน้าม้าของนาง
“เปลี่ยนเสีย” คำพูดราบเรียบสองคำ มิใช่น้ำเสียงออกคำสั่ง ทว่าความเด็ดขาดที่ดูเหมือนติดตัวมาั้แ่เกิดนั้น ทำให้ผู้คนมิกล้าเอ่ยขัด
เหนียนยวี่สบตาฉู่ชิงครู่หนึ่ง สงสัยใคร่รู้เหลือเกินว่าเป้าหมายที่ท่านแม่ทัพหลวงผู้นี้พานางมาไกลถึงที่นี่คืออะไรกันแน่
เหนียนยวี่ลงจากม้า รับชุดจากมือเขา นางมองไปรอบข้างและเข้าไปในป่าไม่ไกลนัก ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อเดินออกมาก็ได้เปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้ว
ฉู่ชิงจ้องมองสตรีที่ก้าวเดินเข้ามาใกล้เขา...
เหนียนยวี่ยามนี้ เครื่องประดับบนผมนางก่อนหน้านี้ได้หายไปแล้ว เดิมทีนางมวยผมเช่นสตรี ทว่ายามนี้ถูกนางมวยขึ้นอย่างเรียบง่าย ผมมัดไว้ด้วยผ้าไหมอย่างแ่า เข้าคู่กับชุดสีฟ้าคราม ทำให้ผู้คนใจลอยอย่างอดไม่ได้