ในอุโมงค์ที่ลึกและเงียบสงบเสียงฝีเท้าของหลินลั่วหรานแ่เบาจนแทบไม่เกิดเสียง
เพราะดาบเจาเสวี่ยจะถูกรบกวนหากอยู่ในบริเวณยอดเขาโดดเดี่ยวแห่งนี้ดังนั้นหลินลั่วหรานจึงได้แต่เตรียมเวทเอาไว้คอยระมัดระวังเื่ที่แสงจะไปกระตุ้นเหล่าค้างคาวนั้นเป็เื่ที่ใครๆ ก็รู้ เพราะแบบนั้นหลินลั่วหรานจึงไม่ได้ใช้มันในการส่องแสงสว่าง
ตอนแรกหลินลั่วหรานคิดว่ามันเป็เพียงถ้ำค้างคาวถ้ำหนึ่งแต่ยิ่งเดินเข้ามาจากปากถ้ำมากเท่าไร พื้นที่ก็ค่อยๆ ต่ำลงเรื่อยๆหลินลั่วหรานจึงได้แต่สงสัยว่าตอนที่เธอสำรวจเนินเขานั้นเผลอมองข้ามอะไรไปหรือเปล่าบางทีมันอาจจะเชื่อมต่อกับ้าของถ้ำก็ได้
แต่ในเวลานี้จะมาคิดเสียใจไปก็เปล่าประโยชน์ยิ่งเดินต่ำลงไปเท่าไร พื้นที่ในถ้ำก็เปิดกว้างออกมากขึ้นจนหลินลั่วหรานเดินได้สบายมากกว่าเดิม มีเพียงเื่หนึ่งนั่นคือถ้ำค้างคาวแห่งนี้ เธอไม่เห็นค้างคาวเลยสักตัวั้แ่เดินเข้ามาพวกมันพากันนอนพักอยู่ในรังหรือว่าออกไปทำอะไรที่นอกเหนือจากการคาดหมายกันนะ?
เมื่อดูผิดแปลกจากปกติไปหลินลั่วหรานจึงเดินไปพร้อมกับเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น
พื้นที่เปิดออกกว้างเรื่อยๆ หลินลั่วหรานฝืนยิ้มหากเป็แบบนี้ก็ชัดเจนว่าถ้ำนี้อยู่ที่เนินเขา แต่เธอกลับใช้เวลากว่าสองเท่าในการอ้อมกลับมาเพียงแต่...ทำไมถึงเงียบสงบแบบนี้ล่ะ?
ด้วยสายตาของหลินลั่วหราน อุโมงค์ที่ค่อยๆเปิดออกกว้างนั้นกลับไม่มีค้างคาวปรากฏขึ้นมาแต่กลับเป็อุโมงค์ก้นหอยที่อยู่ด้านล่างเขาในใจกลางป่า เื่ความเงียบสงบนั้นไม่ต้องพูดถึงมันทำเอาเธอรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา อุโมงค์นี้ดูมีกฎเกณฑ์บางอย่างไม่เหมือนอุโมงค์ที่เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติ
ในถ้ำเนินเขา ที่จริงแล้วมีอะไรรอเธออยู่กันแน่?
ขึ้นเขานั้นง่าย ลงเขานั้นยากยิ่งต้องคอยเตรียมพร้อมเอาไว้ เวลาที่หลินลั่วหรานใช้จึงเพิ่มเป็สองเท่าจนเธอต้องขมวดคิ้วเข้าหากัน ั้แ่ที่เธอเข้ามายังเขาสูงจนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปสามชั่วโมงแล้วแต่แม้แต่ปลายขนของค้างคาวก็มองไม่เห็น และมันไม่ใช่ลางที่ดีเลยแม้แต่น้อย
เอ๋ มีเสียงน้ำไหลด้วย!
หลินลั่วหรานตั้งใจฟังจนเมื่อมั่นใจว่าไม่ได้เข้าใจผิด ฝีเท้าของเธอก็เร่งไวขึ้น
จนเมื่อเธอเลี้ยวมาอีกสองโค้งในที่สุดก็ได้พบพื้นที่เปิดกว้าง มันเป็ถ้ำหินปูนที่ถูกซ่อนอยู่ใต้ผืนป่า มันเป็ถ้ำหินย้อยเช่นกันหินย้อยในถ้ำของเหล่าฝูงลิงนั้นงดงามราวกับภาพฝันแต่ที่นี่กลับดำมืดและหนาวเย็นจับใจ
ก่อนหน้านี้หลินลั่วหรานได้ยินเสียงน้ำดังมาจากข้างกายมันเป็แม่น้ำใต้ดินที่ไม่ได้ไหลเชี่ยวนัก
เมื่อตามสายน้ำนี้ไปก็เป็ปากถ้ำดูเหมือนว่าน่าจะเป็ทางออกไปที่ไหนสักที่ตอนนี้หลินลั่วหรานไม่มีความคิดจะไปสำรวจมันสักเท่าไรนักที่กลางถ้ำมีแท่นหินเรียบกว้างก้อนใหญ่อยู่ก้อนหนึ่ง ้ามีคนนอนอยู่สองคนไม่รู้ว่าเป็หรือตาย!
หากไม่มีสิ่งนั้นโครงกระดูกมากมายที่กระจัดกระจายอยู่สองข้างของแท่นหินซึ่งทำให้คนได้ตื่นตระหนก...นั่นมันหัวกะโหลกชัดๆถ้าอย่างนั้นกระดูกเ่าั้ก็ไม่ได้มีแค่สัตว์แล้ว!
หลินลั่วหรานสูดลมหายใจเข้าด้วยความใถ้ำค้างคาวอะไรกัน นี่มันถ้ำปีศาจชัดๆ!
ในทางตรงข้ามกับแท่นหิน มีค้างคาวตัวเล็กๆกระจายกันห้อยหัวอยู่บริเวณหินย้อยดูเหมือนว่าพวกมันยังไม่รู้สึกถึงการมาเยือนของแขกไม่ได้รับเชิญอย่างเธอต่างพากันปิดตากรนออกมา
ด้านล่างของพวกมัน มีความสูงประมาณคนหนึ่งคนสิ่งที่ปรากฏขึ้นในสายตาของหลินลั่วหรานคือชั้นทรายประกายพันปีหนาๆ เฮอะๆถ้าพูดง่ายๆ หน่อย มันก็คืออุจจาระของค้างคาวนั่นเอง
ทรายประกายพันปีที่มากมายขนาดนี้แน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งที่ค้างคาวไม่กี่ตัวจะสะสมได้ในไม่กี่วัน แล้วแบบนั้นค้างคาวตัวอื่นที่เหลือออกไปล่าเหยื่ออย่างนั้นเหรอ?
หลินลั่วหรานกำหมัดแน่น เธอไม่แน่ใจว่าควรจะเข้าไปดูคนที่นอนอยู่บนแท่นก่อนหรือไม่หรือว่าจะรีบไปเอาทรายประกายพันปีแล้วรีบออกไปเลยก่อนดี
ค้างคาวที่ออกไปด้านนอกนั้นอาจจะกลับมาตอนไหนก็ไม่รู้ในใจของหลินลั่วหรานคิดขึ้นมา เธอหันไปมองคนที่นอนอยู่บนแท่นหินทั้งสอง ใบหน้าของเขาซีดขาวแต่กลับมีผมสีทองและสีน้ำตาลแดง ไม่ใช่คนของประเทศจีน เอ๋ แม้ว่าจะดูคุ้นตาอยู่แต่เธอเองก็ไม่ใช่คนดีอะไรมากนักที่เมื่อเห็นคนก็ต้องเข้าไปช่วยเหลือเอาไว้ดูสถานการณ์แล้วค่อยว่ากันอีกที
เธอถอนหายใจออกมา ก่อนจะตัดสินใจด้วยความรวดเร็วไปเก็บทรายประกายพันปีก่อนดีกว่า!
พวกค้างคาวนั้นตาบอดมันใช้คลื่นเสียงในการแยกแยะเหยื่อหลินลั่วหรานไม่ได้ลดความระมัดระวังลงเมื่อเห็นว่าพวกมันปิดตาสนิทแต่กลับขยับเข้าไปใกล้ด้วยความระมัดระวังเธอหยิบเอาเหยือกที่เตรียมเอาไว้เป็อย่างดี เธอใช้ดาบเจาเสวี่ยเขี่ยอุจจาระสีดำให้เปิดออกก่อนจะขุดลงไปช้าๆ
แน่นอนว่าอุจจาระของค้างคาวต้องส่งกลิ่นเหม็นออกมาแต่ว่าเมื่อค่อยๆ ขุดลงไปก็พบว่าข้างใต้นั้นอุจจาระได้เปลี่ยนกลายเป็ผลึกใสสีดำแล้ว นี่แหละคือทรายประกายพันปีที่มีฤทธิ์ยาให้ความรู้สึกของสิ่งที่มีอายุหลายร้อยปีอยู่
ความดีใจปรากฏขึ้นในสายตาของหลินลั่วหรานและเริ่มขุดต่อลงไปต่ออย่างระมัดระวัง ขุดไปกว่าครึ่งชั่วโมงก็ได้พบกับผลึกใสสีขาวมันมีขนาดเล็กละเอียดสีขาว ดูเหมือนว่าจะใหญ่กว่าผลึกน้ำตาลร้อยปีเล็กน้อยความสวยงามที่เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลากว่าพันปี นี่แหละคือทรายประกายพันปีที่เธอตามหา!
ท่านเทพป๋ายถูกควบคุมด้วยอะไรสักอย่างตอนนี้จึงไม่สามารถติดต่อด้วยได้ ที่นี่มีข้อห้ามมากมายเกี่ยวกับพื้นที่ลึกลับเธอยังมีเหยือกเล็กอยู่สองใบที่เหลือจากการบรรจุเหล้าลิงหมัก หลังจากกรอกลงเต็มขวดความโลภก็ยังคงมีอยู่ เธอจึงคิดขึ้นมาว่านี่มันยังไม่ถึงชั้นใต้สุดซึ่งต่างก็เป็ทรายประกายที่มีอายุมากกว่าพันปี แล้วแบบนั้นถ้าชั้นใต้ที่สุดล่ะ?
หลินลั่วหรานนำเอาเหยือกที่บรรจุเต็มแล้วใส่ไว้ที่พื้นที่ลึกลับก่อนจะขุดต่อลงไปอีกครั้ง ที่แท้ใต้ผลึกสีขาวก็เป็ผลึกสีเหลืองอ่อน ใต้จากผลึกเหลืองอ่อนลงไปอีกก็เป็ผลึกใสสีเหลืองอ่อนที่ดูใสแววจนเห็นทะลุหรือสรุปก็คือมันไม่ได้ต่างจากผลึกน้ำสักเท่าไรแล้ว!
หลินลั่วหรานรู้สึกดีใจเธอเก็บผลึกทั้งสองกลับมาเธอถอนหายใจออกมาด้วยความสบายใจว่าอย่างน้อยรอบนี้ก็คุ้มค่าที่จะมา แต่กลับไม่ได้สนใจคนสองคนที่นอนอยู่ด้านหลังเธอเลยแม้แต่น้อยดวงตาสีดำประกายแวบวาบก่อนจะหายไป
หลินลั่วหรานที่เก็บทรายมาเต็มสองเหยือกแล้วก็รู้สึกพอใจเธอจัดการทำความสะอาดดาบเจาเสวี่ยให้เรียบร้อยเป้าหมายของการเดินทางนี้อาจไม่ประสบผลสำเร็จเท่าไรนักแต่ก็ได้กำไรเกินคาดเธอคิดว่าเธอควรหาทางหนีทีไล่หรือหาสาเหตุที่ทั้งสองคนมาอยู่ที่นี่ดีนะ?
เมื่อคิดไปถึงกองกระดูกสีขาวหลินลั่วหรานก็รู้สึกขนลุกขึ้นมา
ช่างเถอะ การเป็คนดีมันไม่ง่ายนักเื่ของใครก็จัดการกันเองน่าจะดีกว่า!
เป็ความจริงที่หลินลั่วหรานเป็คนดีแต่เพียงแค่เธอมักจะคอยดูแลเพื่อนร่วมทีมของเธอมากเป็พิเศษเท่านั้นจากที่เหวินกวนจิ่งพูดมา พวกนักฝึกศาสตร์ต่างชาติพวกนี้ มาที่สถานที่ลึกลับแห่งนี้ก็ไม่ได้ดีกับนักฝึกศาสตร์จีนอย่างพวกเธอนัก การที่ตัวเองไม่เป็อะไรก็ดีแล้วแล้วทำไมยังต้องลำบากไปช่วยศัตรูด้วยล่ะ?
หลินลั่วหรานตั้งใจว่าจะออกไปตามทางน้ำแต่กลับได้ยินเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นตัดกับเสียงน้ำไหลทำให้เธอต้องหยุดฝีเท้าลงอย่างช่วยไม่ได้จิตใต้สำนึกสั่งให้เธอซ่อนตัวอยู่หลังก้อนหินงอกก้อนใหญ่
“ดาน่าถ้าพวกเราไม่ทำอะไรให้มันไวๆ หน่อยไม่อย่างนั้นพวกค้างคาวดูดเืจะกลับมากันก่อนนะ” สำเนียงภาษาอังกฤษที่รวดเร็วว่องไวดังขึ้นออกมาเพียงขยับปากเสียงก็ปรากฏขึ้นในสายตาของหลินลั่วหราน
โลกนี่มันแคบจริงๆนั่นคือชาวเผ่าแวมไพร์ที่ชื่อคริสตัลและคู่หูผู้หล่อเหลาและมีท่าทางสูงส่งของเธอนั่นเอง
หลินลั่วหรานกลั้นหายใจเอาไว้อย่างระมัดระวังและค่อยๆ ผ่อนคลายตัวเองลง ร่างของเธอหายไปกับความมืดที่ปกคลุมอยู่
คริสตัลเดินตรงไปยังแท่นหินหลินลั่วหรานก็เข้าใจกระจ่างขึ้นมาในทันทีไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนทั้งสองคนนั้นถึงคุ้นตา พวกเขาคือคนที่มากับคริสตัลนั่นเอง
เมื่อตรวจสอบว่าทั้งสองยังไม่ตายใบหน้าเ็าของคริสตัลก็ปรากฏความดีใจขึ้นมาเธอและดาน่าต่างคนต่างก็จับมือของคนที่นอนอยู่เอาไว้ดูเหมือนว่าจะเป็การมอบพลังในแบบพิเศษของพวกขาก่อนที่ทั้งสองจะฟื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“คุณคริสตัล ฉันทำคุณใไปหมดแล้วฉันนี่สมควรตายจริงๆ” ทั้งสองตื่นขึ้นจากอาการสลบไสลเมื่อมองเห็นคนที่มาอย่างชัดเจน สิ่งแรกที่ตอบสนองขึ้นมาก็คือความสำนึกผิด
มองเห็นว่าท่าทางบนใบหน้าของพวกเขาดูจะเกรงกลัวจริงๆเหมือนว่าพวกเขาจะหวาดเกรงคริสตัลคนนี้มาก
ดาน่าเห็นว่าคริสตัลดูเหมือนว่าจะอารมณ์เสียขึ้นมาตรงนี้จึงต้องออกปากเตือนขึ้น “ยังไงก็ไปจากที่นี่ก่อนแล้วค่อยพูดกันเถอะ”
สีหน้าของคริสตัลไม่พอใจเมื่อเห็นแบบนั้นดาน่าก็เงียบไปเพราะไม่รู้จะพูดอะไรถ้าไม่ใช่เพราะเธอ้าค้างคาวดูดเืนี่ ทั้งสองคนคงไม่เสี่ยงเข้ามาในถ้ำนี้อย่างไรเื่ก็เกิดเื่ขึ้นเพราะคริสตัล ดังนั้นสำหรับดาน่าแล้วทั้งสองคนก็สมควรได้รับการให้อภัย
ผู้หญิงอย่างคริสตัลนี้เป็คนที่ควรค่าแก่การอยู่ด้วยจริงๆ ดาน่าคิดขึ้นในใจโดยไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมา
ในตอนที่ทั้งสี่คนกำลังจะออกไปหูของคริสตัลก็ขยับขึ้นก่อนที่สีหน้าไร้สีเืของเธอจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้น
“พวกมันกลับมาแล้ว...”
พวกมัน? หลินลั่วหรานจับตัวเองไว้แน่นถ้าหากว่าพุ่งออกไปต่อหน้าพวกคริสตัล ด้วยความเร็วของพวกเผ่าแวมไพร์ที่ “แท่นกลางทะเล” แล้วหลินลั่วหรานไม่ได้มีความมั่นใจเท่าไรนัก
พวกคริสตัลทั้งสี่คนพุ่งออกไปตามทางแม่น้ำดูเหมือนว่าจะอาศัยตอนที่พวกค้างคาวเข้ามาในถ้ำออกไปก่อนหลินลั่วหรานกลั้นใจเอาไว้แม้ว่าจะไม่รู้ว่าทำไมพวกคริสตัลถึงได้้าเจอกับพวกค้างคาวหรือว่าแค่ตั้งใจจะออกไปตามตอนที่มา
หลินลั่วหรานยังไม่รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้แย่แค่ไหนแต่คนที่คอยเฝ้าดูอยู่ที่ยอดเขาข้างๆ อย่างหลีซีเอ๋อร์ ตอนนี้กลับเบิกตาโตขึ้นในแววตาของเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัวที่ซ่อนเอาไว้ไม่มิด
ค้างคาวทั่วทั้งบริเวณของยอดเขาสูงที่ราบเรียบราวกับกระจกนั้น ทั่วท้องฟ้าและผืนดินต่างเต็มไปด้วยค้างคาว...!