หลัวเลี่ยมีความสุขมากจนพูดไม่ออกที่สามารถเลื่อนระดับพลังวิชามหาสรรพฟ้าดินเป็ระดับสำริดได้
ตอนที่ใช้พลังวิชามหาสรรพฟ้าดินระดับโลหะนั้น จะสามารถเพิ่มพลังภายในให้แข็งแกร่งขึ้นจากปกติสามเท่า แต่เมื่อเลื่อนระดับพลังเข้าสู่ระดับสำริดแล้ว จะบวกเพิ่มจากระดับโลหะไปอีกสองเท่า กล่าวคือ เมื่อใช้พลังมหาสรรพฟ้าดินในระดับสำริดนั้นจะช่วยเพิ่มพลังภายในให้แข็งแกร่งขึ้นจากปกติถึงหกเท่า
“แข็งแกร่งมากขึ้นถึงหกเท่า!”
“ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าตอนที่เทพทั้งหลายอยู่ในระดับผู้ฝึกตนเช่นข้า พวกเขาจะมีความสามารถขนาดนี้หรือเปล่า?”
หลัวเลี่ยยังคงมีความพลุ่งพล่านอยู่ในส่วนลึกของจิตใจที่เกิดต่อเนื่องมาจากการเข้าถึงอารมณ์ด้านลบเมื่อไม่นานมานี้
อารมณ์เกิดจากความมั่นคงทางจิตใจ
และตอนนี้เขากำลังอยู่ในระหว่างการปรับอารมณ์ให้กลับมาปกติ
“ฮ่าๆ เ้าเป็ผู้ฝึกวรยุทธ์ระดับผู้ฝึกตนที่สำเร็จระดับสำริดของเคล็ดวิชามหาสรรพฟ้าดิน เื่นี้ควรค่าแก่การเฉลิมฉลองอย่างยิ่ง” แพนด้าน้อยปั้นขึ้นมาหาเขาที่ตรงกลางดวงอาทิตย์ มันเลียนแบบรูปร่างของมนุษย์ โดยเอาสองอุ้งเท้าหน้ามาประกบกัน ท่าทางคล้ายกับมนุษย์กำลังกุมมือสองข้างอยู่ด้านหน้าตนเอง
หลัวเลี่ยยิ้มและพูดว่า “ในเมื่อเ้า้าแสดงความยินดีกับข้า เช่นนั้นเ้าจะให้อะไรเป็ของขวัญกับข้าล่ะ”
แพนด้าน้อยปั้นตบอุ้งเท้าลงบนหน้าอกของตัวเอง “ข้าจะใช้พลังจากแก่นแท้ของต้นกำเนิดพลังมหาสรรพฟ้าดินที่เหลืออยู่เปลี่ยนการเข้าไปในภพจิตัของเ้า ข้าจะลบล้างไอัที่อยู่ในตราหยกเชื่อมิญญา ทำให้เมื่อเ้าออกมาจากภพจิตัแล้วแม้แต่เทพก็ไม่อาจตามหาเ้าต่อได้”
“ดีๆ เ้าช่างเป็หมีแพนด้าที่มีความสามารถมากจริงๆ” หลัวเลี่ยมีความสุขมาก
แม้เขาจะไม่รู้ว่าทำไมหลิวหงเหยียนจึงปกปิดตัวตน ‘มีัอยู่ในเป้า’ ของเขา จนถึงขั้นที่สามารถลบความทรงจำของตัวเองได้ทุกเมื่อ แต่เขาก็รู้ว่าหลิวหงเหยียนต้องมีเหตุผลที่ทำเช่นนั้นแน่
ดังนั้นเขาจึงควรป้องกันความเสี่ยงในการถูกตามล่าทั้งหมดที่อาจเกิดขึ้นเช่นกัน
แพนด้าน้อยปั้นพูดอย่างภาคภูมิใจ “เ้าดูด้วยว่าข้าเป็ใคร ข้าเป็ถึงเ้าแห่งสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์”
“เอาละ เ้าหยุดโอ้อวดแล้วรีบลงมือเถอะ” หลัวเลี่ยเร่งเร้า
“ข้าจะช่วยเ้า แล้วเ้าก็ต้องช่วยตามหาภาพสีให้ข้าด้วย” แพนด้าน้อยปั้นตอบ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลัวเลี่ยก็ไม่ได้พูดต่อ จากนั้นเขาก็เข้าสู่โลกภพจิตัผ่านทางตราหยกเชื่อมิญญา
การรวมแก่นแท้ของต้นกำเนิดพลังมหาสรรพฟ้าดินเข้ากับตราหยกเชื่อมิญญานั้นไม่ใช่เื่ง่าย มันเป็กระบวนการที่ใช้พลังและใช้เวลานานมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อแพนด้าน้อยปั้นยังไม่แข็งแรงดี จึงยิ่งช้าเข้าไปอีก
นั่นหมายความว่าหลัวเลี่ยจะต้องติดอยู่ในูเาลั่วเยวี่ยไปอีกระยะหนึ่ง
และตอนนี้ในูเาลั่วเยวี่ยก็ไม่มีพลังที่จะช่วยเื่การฝึกวรยุทธ์แล้ว ดังนั้นหลัวเลี่ยจึงเข้ามาอ่านหนังสือต่อที่เรือนพเนจรในภพจิตั
หลัวเลี่ยกระตือรือร้นที่จะเพิ่มพูนความรู้
เมื่อเขามาถึงเรือนพเนจรในภพจิตัแล้ว
เขาก็เห็นหลี่เมิ่งและจุ้ยหลิวกำลังรอต้อนรับเขาอยู่
หลังจากพูดคุยกันสองสามประโยค หลัวเลี่ยก็เดินตรงไปที่ห้องสมุดเพื่ออ่านหนังสือ
นอกจากพลังของเขาจะแข็งแกร่งขึ้นแล้ว ความเร็วในการอ่านหนังสือของเขาก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ตอนนี้เพียงแค่กวาดตามองเขาก็จำได้หมดแล้ว
หลัวเลี่ยอ่านหนังสือต่อไปเป็เวลาห้าวัน
จำนวนหนังสือในห้องสมุดไม่ได้ลดลงมากนัก นั่นเป็เพราะปกติแล้วหลี่เมิ่งและจุ้ยหลิวอยู่ที่นี่ตลอด เมื่อพวกนางออกไปข้างนอก พวกนางก็จะซื้อหนังสือมากมายที่ยังไม่มีเข้ามาไว้บนชั้นหนังสือ
ดังนั้นตอนนี้ความรู้ของหลัวเลี่ยไม่เพียงเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีความรู้ที่กว้างขวางครอบคลุมทุกด้านแล้ว
วันนี้เป็อีกวันที่เขากำลังอ่านหนังสืออยู่ จู่ๆ หลี่เมิ่งก็มาเคาะประตู
“มีเื่อะไร” ดวงตาของหลัวเลี่ยยังคงจดจ้องหนังสือ ในขณะที่ปากของเขาก็เอ่ยถามออกไปด้วย
“เรียนนายท่าน ฮูหยินกลับมาแล้วเ้าค่ะ” หลี่เมิ่งกล่าว
“ฮูหยิน?”
หลัวเลี่ยงุนงงเล็กน้อยขณะที่เดินออกจากห้องสมุด ก่อนถามว่า “ใครมานะ?”
หลี่เมิ่งกล่าวว่า “ฮูหยินมาเ้าค่ะ”
หลัวเลี่ยกะพริบตา ฮูหยิน? เป็นางหรือ?
คนที่เคยคุยกับหลี่เมิ่งและจุ้ยหลิว หากไม่นับเขาแล้วก็มีความเป็ไปได้เพียงคนเดียวเท่านั้น นางก็คือนายหญิงของเรือนพเนจรแห่งนี้
เมื่อหลัวเลี่ยมาถึงห้องรับรอง
เขาก็เห็นจุ้ยหลิวกำลังยืนนอบน้อมอยู่ตรงหน้าผู้หญิงคนหนึ่งที่มีหมอกปกคลุมร่างกายอยู่
หมอกนั้นเป็ของวิเศษที่มีคุณสมบัติป้องกันการมองเห็น
และบนหัวของผู้หญิงคนนั้นมีชื่ออยู่
ผีเสื้อแห่งความรัก!
“พวกเ้าออกไปก่อน” เมื่อเห็นหลัวเลี่ยเดินเข้ามา ผีเสื้อแห่งความรักก็โบกมือไล่สองสาว
หลี่เมิ่งและจุ้ยหลิวค่อยๆ โค้งตัวเคารพนาง ก่อนที่ทั้งสองจะเดินจากไป
ตอนนี้ในห้องรับรองเหลือเพียงหลัวเลี่ยที่ชื่อ ‘มีัอยู่ในเป้า’ และผีเสื้อแห่งความรักเท่านั้น
ผีเสื้อแห่งความรักที่แม้ว่าจะอยู่ในหมอก แต่คนมองก็ยังมองเห็นเรือนร่างที่น่าหลงใหลของนางได้รางๆ นางจับมือของหลัวเลี่ยขึ้นมา
“เ้า...” หลัวเลี่ยพูด
ผีเสื้อแห่งความรักทำเหมือนไม่ได้ยิน นางคล้ายพูดกับตัวเองว่า “ที่นี่มีสิ่งมหัศจรรย์มากมาย ข้าจะพาเ้าไปดูแล้วกันนะ”
หลังจากที่หลัวเลี่ยคิดเกี่ยวกับเื่นี้อยู่พักหนึ่ง เขาก็เข้าใจว่าที่นางใช้นามแฝงว่าผีเสื้อแห่งความรัก และปกปิดตัวตนด้วยหมอก อาจเพราะนางกำลังทำเพื่อเขาอยู่
“เอาสิ”
ทั้งสองจับมือกัน และเดินออกจากเรือนพเนจร
พื้นที่ในย่านการค้าของภพจิตันั้นได้รวบรวมความเจริญรุ่งเรืองของดินแดนเหยียนหวงไว้ทั้งหมด พวกเขาสามารถพบเห็นปรมาจารย์ระดับสูงได้อย่างง่ายดาย และบางครั้งอาจได้พบกับผู้ที่มีพลังวรยุทธ์ในระดับกายทองคำด้วยซ้ำ
นอกจากนี้หากโชคดีก็อาจจะมีโอกาสพบกับจักรพรรดิโบราณ
พวกเขาทั้งสองเดินเคียงข้างกัน และหัวเราะไปด้วยกันอย่างมีความสุข เขาได้ลิ้มรสของรสชาติแห่งความสุขที่เกิดจากการอยู่กับผีเสื้อแห่งความรัก และผีเสื้อแห่งความรักในตอนนี้ก็ถือได้ว่าได้ละทิ้งตัวตนในโลกแห่งความจริง และปลดปล่อยตัวตนที่แท้จริงของตัวเองออกมาอย่างเป็ธรรมชาติ
เนื่องจากหลัวเลี่ยในฐานะ ‘มีัอยู่ในเป้า’ นั้นโดดเด่นเกินไป พวกเขาจึงได้รับความสนใจจากคนรอบข้างอยู่เสมอ
ดังนั้นพวกเขาจึงหลีกหนีจากความวุ่นวายมาถึงเกาะกลางทะเลแห่งหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
รอบกายของพวกเขาล้อมรอบด้วยทะเล สายลม และเสียงคลื่น
ทั้งสองนั่งอยู่บนเกาะ หันหน้ารับลมทะเล และใช้น้ำทะเลล้างเท้า ดูราวกับเป็เทพเ้าคู่หนึ่งที่ลงมาเล่นน้ำยังโลกมนุษย์
เวลาผ่านไปไม่รู้นานเท่าไร ทันใดนั้นก็มีเสียงกระดิ่งดังขึ้น
ในตอนแรกพวกเขาทั้งสองไม่ได้สนใจเสียงนั้น แต่เมื่อเสียงกระดิ่งนั้นดังขึ้นเป็ครั้งที่เจ็ด และยังมีทีท่าว่าจะดังต่อไปอีก พวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นยืน หันมองไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ในที่สุดเสียงกระดิ่งครั้งที่เก้าก็ดังขึ้น
“ดูเหมือนว่าจะมีเื่ครึกครื้นเกิดขึ้น”
“พวกเราไปดูกันเถอะ”
พวกเขาเข้าใจกันในทันที จากนั้นก็สวมรองเท้า เดินออกจากเกาะโดยตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ชายหนุ่มและหญิงสาวจำนวนมากจากทั่วสารทิศต่างมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียว สถานที่นั้นเป็เอกลักษณ์ของภพจิตั...นั่นก็คือประตูแห่งโลกเื้ั!
ประตูแห่งโลกเื้ัเป็สิ่งที่พิเศษมาก มันจะเปิดปีละสองถึงสามครั้งเท่านั้น
ตำนานกล่าวไว้ว่า ประตูแห่งโลกเื้ัมีมาก่อนภพจิตัจะถือกำเนิดขึ้นเสียอีก และทุกครั้งที่ประตูแห่งโลกเื้ัเปิดขึ้น ก็จะนำพาคนเข้าไปยังอีกโลกที่แสนประหลาด
โลกแห่งนั้นมีสิ่งที่เรียกว่าปีศาจนักรบอยู่ หากทำการสังหารปีศาจนักรบแต่ละตัว ก็จะทำให้ได้แสงบนตัวของพวกมันมา แสงนั้นสามารถช่วยสะสมพลังเพื่อใช้ในการฝึกฝนวิชายุทธ์ได้
นอกจากนี้ หากสังหารปีศาจนักรบมากพอ ก็สามารถไปรับรางวัลจากเผ่าัได้อีกด้วย
เพราะการที่มีพวกปีศาจนักรบอยู่ถือว่าเป็ภัยต่อภพจิตั
ปีศาจนักรบพวกนั้นมีทั้งที่พลังแข็งแกร่งและอ่อนแอ โดยส่วนมากแล้วพวกมันจะมีพลังอยู่ในระดับผู้ฝึกตน แต่พวกที่มีพลังแข็งแกร่งบางส่วนอาจมีพลังอยู่ในระดับแก่น์ หรือแม้แต่ระดับวังชะตาด้วยซ้ำ
ด้วยความแตกต่างดังกล่าว ภายหลังสถานที่แห่งนี้จึงกลายเป็สถานที่สำหรับให้ผู้คนได้มาฝึกใช้พลัง
ภายในประตูแห่งโลกเื้ั ทุกคนจะถูกขัดเกลาพลังให้เหลืออยู่เพียงระดับผู้ฝึกตนเท่านั้น
แม้แต่คนที่มีพลังวรยุทธ์อยู่ในระดับหยินหยาง เมื่อเข้าไปภายในแล้ว ก็จะถูกจำกัดพลังให้ลดลงมาเหลือเพียงพลังระดับที่สิบของระดับผู้ฝึกตนเท่านั้น ดังนั้นที่นี่ส่วนมากจึงมีเพียงผู้ที่มีพลังในระดับผู้ฝึกตนเท่านั้นที่จะเข้าไปลองฝีมือ
เมื่อทั้งสองมาถึงประตูแห่งโลกเื้ัแล้ว พวกเขาก็เห็นว่าผู้คนมากมายต่างก็หลั่งไหลเข้ามาราวกับสายน้ำหลาก
ผู้คนในภพจิตันั้นมีจำนวนหนึ่ง เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้ามาที่ภพจิตัตลอดเวลา แต่เมื่อประตูแห่งโลกเื้ัถูกเปิดขึ้น ผู้คนที่ไม่ได้เข้ามาในภพจิตัตอนนี้จะได้รับการแจ้งเตือน ดังนั้นจำนวนคนจากที่อยู่ในภพจิตัอยู่แล้ว และที่เพิ่งเข้ามาจึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
“ภายในประตูแห่งโลกเื้ั นอกจากการสังหารปีศาจนักรบแล้ว ยังอาจเกิดการต่อสู้ระหว่างพวกผู้ฝึกยุทธ์ได้ ดังนั้นพวกผู้ฝึกยุทธ์ที่มีพลังมากในระดับผู้ฝึกตน จึงอาจมีการรวมกลุ่มกัน ดังนั้นเ้าต้องระวังตัวด้วย” ผีเสื้อแห่งความรักเอ่ยด้วยความกังวล
หลัวเลี่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าก็หวังเป็อย่างยิ่งว่าจะได้ต่อสู้กับคนที่มีพลังมากที่สุดในระดับผู้ฝึกตนสักครั้ง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผีเสื้อแห่งความรักก็ยิ้มเบาๆ และพูดว่า “เช่นนั้นพวกเราเข้าไปข้างในกันเถอะ”
หลัวเลี่ยพยักหน้า
จากนั้นทั้งสองจึงเดินตามฝูงชนเข้าไปในประตูแห่งโลกเื้ั
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้