ลู่เจียงเป่ยหันกลับไปมองเกาเจวี๋ย ก่อนเอ่ยตอบน้ำเสียงหนักแน่น “เมื่อวานข้ากลับเมืองหลวงอิ้งเทียนไปหาสายข่าวที่ให้ข้อมูลนี้ที่หอเยวี่ยเก๋อด้วยตัวเอง จึงแน่ใจว่าข้อมูลเป็จริงแน่นอน เกาเจวี๋ย เ้าจำตอนอยู่ในวัดได้หรือไม่ ลูกน้องที่พวกเราส่งไปสืบข่าวกลับมารายงานว่า หลัวชวนสยงมารดาของเหอตังกุยเป็บุตรสาวโดยชอบธรรมของตระกูลหลัว เหอฟู่บิดาของนางเป็เพียงบุตรชายตระกูลตกอับในเมืองหยางโจว ปีนี้เพิ่งจะได้รับตำแหน่งใหม่เป็ผู้บัญชาการกองกำลังรักษาเมืองหลวงระดับแปด ตอนนั้นทุกคนต่างคิดว่าเป็เื่เหลือเชื่อ ทั้งยังเดากันต่าง ๆ นานาว่า ‘ทั้งสองหนีตามกันไปแล้วกลับมาแต่งงานทีหลัง’ ‘ฝ่ายชายชิงสุกก่อนห่ามแล้วค่อยนำสินสอดไปให้ฝ่ายหญิง’ ‘สตรีมีหน้าตาอัปลักษณ์หรือเป็โรคร้ายที่ไม่สามารถบอกผู้ใดได้’ สิ่งเหล่านี้ทำให้เสี่ยวต้วนโมโหจนอยากจะตีคน”
เกาเจวี๋ยค่อย ๆ คลายมือที่กำคอเสื้อของลู่เจียงเป่ย เมื่อคิดได้ว่ามันไม่มีสาระ ตนจึงไม่อยากร่วมสนทนาหัวข้อน่าเบื่อนี้ พลันะโไปนอนบนหลังคาทว่าหูยังจับประเด็นสนทนาของทุกคนโดยไม่รู้ตัว
ลู่เจียงเป่ยจัดระเบียบรอยยับบนปกเสื้อพลางเอ่ย “ตอนนั้นทุกคนต่างเดาผิด หลัวชวนสยงมารดาของเหอตังกุยแต่งงานกับเหอฟู่เมื่อสามปีก่อน ดังนั้นเหอฟู่จึงเป็พ่อเลี้ยงที่มีสกุลเดียวกัน ตามที่สายข่าวรายงาน บิดาของเหอตังกุยไม่ใช่คนอื่นคนไกล แต่เป็เหอจิ้งเซียนแห่งจวนตระกูลเหอในเมืองหลวง และเขาก็คือลุงแท้ ๆ ของหลิงเมี่ยวชุนที่เ้ารักสุดใจ”
เกาเจวี๋ยเงียบไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย “แต่ข้าได้ยินว่าตระกูลเหอเชี่ยวชาญเื่ยา จึงไม่มีทางไปมาหาสู่กับสองตระกูล เพราะร้านยาซานชิงถังของตระกูลเหอ และร้านเริ่นชู่ถังของตระกูลกวนล้วนเป็ยาธรรมดา มียาหลายชนิดเขียนเป็หนังสือแพร่หลายในกลุ่มคนทั่วไป แต่ยาของนักปรุงยาตระกูลหลัวกลับมีสูตรมากมายที่พัฒนาด้วยตัวเองและยังไม่ได้เผยแพร่ ประสิทธิภาพในการรักษายอดเยี่ยมไม่มีที่ใดเปรียบ อีกตระกูลแทบเทียบไม่ติด ห้าปีก่อนร้านซานชิงถังและร้านเริ่นชู่ถังสนใจซื้อสูตรยาชนิดหนึ่งจากร้านเย่าซือถัง ลงทุนไปขอถึงหน้าประตูแต่กลับถูกปฏิเสธ นับแต่นั้นมาตระกูลเหอและอีกสองตระกูลก็เป็ดั่งน้ำกับไฟ ไม่อาจกันได้ แล้วตระกูลเหอกับตระกูลหลัวจะเกี่ยวดองกันได้อย่างไร?”
ลู่เจียงเป่ยหมุนแหวนหยกพลางวิเคราะห์ทุกอย่างที่พอจะเป็ไปได้ “หรือสิบปีก่อนทั้งสองตระกูลเคยมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่อาจเปิดเผยต่อสาธารณชนได้ จึงทำให้ตระกูลเหอขับไล่หลัวชวนสยงและลูกสาวออกจากจวน ทั้งสองตระกูลที่เคยเกี่ยวดองก็กลับกลายเป็ศัตรู หรือทั้งสองตระกูลอาจมีเื่บาดหมางกันมาตลอด ผู้าุโจึงจัดงานแต่งเพื่อแก้ไขความบาดหมางบางประการ ทว่าปัญหานั้นยากจะแก้ไข จึงกลับไปเป็ศัตรูดังเดิม ถึงอย่างไรเื่นี้ก็ผ่านมาสิบปีแล้ว คงไม่มีหลักฐานอะไรให้สืบ สายข่าวของพวกเราเข้าไปปะปนกับคนตระกูลเหอ สอบถามอยู่หลายรอบก็ไม่มีใครรู้เื่ที่ผ่านมาเลยสักคน ต่างบอกเป็เสียงเดียวกันว่าฮูหยินเหอในปัจจุบันคือภรรยาโดยชอบธรรมคนแรกของเหอจิ้งเซียน แต่เห็นได้ชัดว่าตอนเปลี่ยนตัวฮูหยินเหอคนใหม่ในปีนั้น แม้แต่บ่าวรับใช้ก็ถูกเปลี่ยนทั้งหมดเพื่อปกปิดเื่ฉาวโฉ่เช่นนี้”
เกาเจวี๋ยได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วพลางเอ่ย “นางเป็ลูกพี่ลูกน้องกับหลิงเมี่ยวชุนแล้วอย่างไร? เ้าคิดจะบอกอะไร?”
ลู่เจียงเป่ยถอนหายใจพลางมองดวงตาดำขลับของเกาเจวี๋ย ก่อนเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เกาเจวี๋ย ข้าไม่อยากเห็นเ้าทรมานตัวเองเช่นนี้อีก สามปีที่ผ่านมา เ้าตามหาสตรีใบหน้าคล้ายหลิงเมี่ยวชุนไม่หยุด แต่เมื่อเ้าโอบกอดพวกนางกลับพบว่าคนเ่าั้แตกต่างจากหลิงเมี่ยวชุนโดยสิ้นเชิง เ้ากับข้าทำงานด้วยกันมาหลายปี ข้าสรุปได้ข้อหนึ่งคือ เ้ามีทัศนคติต่อสตรีบนโลกนี้เพียงสองขั้ว ตอนหลิงเมี่ยวชุนยังมีชีวิต สตรีในสายตาเ้าถูกแบ่งเป็หลิงเมี่ยวชุนและสตรีอื่น ความรักความอ่อนโยนของเ้านั้นมีให้อดีต ขณะเดียวกันก็เพิกเฉยต่อปัจจุบัน”
เกาเจวี๋ยจมสู่ความเงียบสงัด คิดถึงเื่ราวในวัยเด็กระหว่างตนและหลิงเมี่ยวชุน เขาปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่ลู่เจียงเป่ยอธิบายนั้นไม่ใช่ความจริง ตอนนั้นโลกของตนมีเพียงเมี่ยวชุน ความรักที่เขามีต่อหลิงเมี่ยวชุนกลายเป็แรงผลักดันที่ทำให้เขาทำทุกสิ่งทุกอย่าง ในหัวใจ และสายตาของเขามองไม่เห็นสตรีอื่นเลย
ลู่เจียงเป่ยเอ่ยต่ออย่างไม่รีบร้อน “หลังการตายของหลิงเมี่ยวชุน สตรีในสายตาของเ้าก็ถูกแบ่งเป็สตรีที่ไม่เหมือนหลิงเมี่ยวชุนและสตรีที่เหมือนหลิงเมี่ยวชุน เ้ายังเป็คนแปลกหน้าที่เ็าและเืเย็นสำหรับอดีต ตกหลุมรักคนปัจจุบันเพียงชั่วขณะ ก่อนจะพาคนผู้นั้นกลับจวนแล้วพบว่าตนมองผิดไป ยิ่งมองก็ยิ่งไม่เหมือนหลิงเมี่ยวชุน สุดท้ายก็ทอดทิ้งนางเหมือนคนที่ผ่านมา”
เกาเจวี๋ยขมวดคิ้วแน่น อยากเอ่ยโต้แย้งทว่ากลับพูดอะไรไม่ออก ลู่เจียงเป่ยพูดไม่ผิด หลังจากสูญเสียเมี่ยวชุน หลายครั้งที่เดินข้างถนนแต่ในหัวเต็มไปด้วยความทรงจำของพวกเขาทั้งสอง สายตาพลันมองหาแผ่นหลังของนางอย่างอดไม่ได้ บางคนก็มีแผ่นหลังเหมือนนาง บางคนก็มีเส้นผมเหมือนนาง บางคนก็มีใบหน้าเหมือนนาง บางคนก็มีจมูกและปากเหมือนนาง บางคนก็มีน้ำเสียงเหมือนนาง ทว่าเขากลับหาคนที่เหมือนนางทั้งหมดไม่ได้สักคน จึงถือโอกาสนำพวกนางเ่าั้กลับไปยังเรือนข้างหลัง จัดเวลาอยู่กับพวกนางทุกคนทั้งวันคืนเพื่อให้ทุกสิ่งปะติดปะต่อกันช้า ๆ ด้วยตัวของเขาเอง
ต่อมาตนอุ้มลูกชายและลูกสาวของอนุกลับจวนตระกูลเกา ขณะนั้นหลิงเมี่ยวฉีไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ครึ่งเดือนให้หลังนางก็แอบติดตามเขา ก่อนจะพบเรือนข้างหลังนั้น วันต่อมานางก็ไปควักดวงตาของอนุสองคนในบรรดาอนุทั้งแปด ช่างบังเอิญที่ดวงตาคู่นั้นเหมือนหลิงเมี่ยวชุนที่สุด เมื่อสูญเสียดวงตาของเมี่ยวชุนไป พวกนางก็กลายเป็คนแปลกหน้า เมื่อไม่มีเงาของเมี่ยวชุน เขาจึงให้คนส่งพวกนางออกไปเสีย ลู่เจียงเป่ยบอกว่าตนนั้นเป็คน ''เ็าและเืเย็น'' ช่างสมเหตุสมผลนัก
ลู่เจียงเป่ยลังเลครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “เกาเจวี๋ย ข้าไม่เคยเห็นรูปร่างหน้าตาของหลิงเมี่ยวชุน แต่เมื่อข้าได้ยินว่าเหอตังกุยคือลูกพี่ลูกน้องของหลิงเมี่ยวชุน อีกทั้งได้ยินสิ่งที่เสี่ยวเลี่ยววิเคราะห์ท่าทีที่เ้ามีต่อเหอตังกุย ข้าจึงเดาว่าอาจเป็เพราะหน้าตาของพวกนางละม้ายคล้ายคลึงกัน เพราะความเป็ลูกพี่ลูกน้อง มีคนบอกไว้ว่า “สตรีมักมีหน้าตาเหมือนป้าของพวกนาง…”
“พอได้แล้ว ข้าไม่อยากพูดถึงเื่นี้อีก อย่างไรก็คงไม่ได้พบสตรีคนนั้นอีกแล้ว” เกาเจวี๋ยถามเสียงดุ “พวกเ้าว่างงานจนมีเวลายุ่งเื่ของคนอื่นเพียงนี้ คงค้นพบตัวตนของประมุขหออู่อิงแล้วกระมัง? เ้าสนใจว่าคนอื่นจะมีหน้าตาเหมือนป้าหรือเหมือนยาย หรือเ้ามีเจตนาส่วนตัวแอบแฝง?”
ลู่เจียงเป่ยพูดไม่ออกชั่วขณะ นานกว่าจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังอีกครั้ง “หอฉางเยี่ยของพวกเรา เป็หน่วยข่าวกรองที่ฮ่องเต้มีราชโองการลับให้ก่อตั้ง เมื่อหออู่อิงกล้ามุ่งเป้าที่พวกเรา ทั้งยังประพฤติตนน่าเกรงขามตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่าอำนาจของประมุขหออู่อิงและอำนาจของฮ่องเต้นั้นทัดเทียมกัน ยากจะจินตนาการได้ว่ากองกำลังทหารใดจะมีมากพอต่อต้านกับราชสำนัก ดังนั้นพวกเราจะพุ่งเป้าไปที่ขุนนางระดับสูง แต่นายทหารก็ยังมีความเป็ไปได้สูงกว่าขุนนางทั่วไป”
“ฮึ พูดไร้สาระก็เท่ากับไม่พูด พวกเ้าไม่มีเบาะแสแม้แต่นิดเดียว ประสิทธิภาพการทำงานของหอฉางเยี่ยทำให้ข้าผิดหวังยิ่งนัก ที่แท้ก็เอาเวลามาตรวจสอบว่าคนอื่นมีรูปร่างหน้าตาเหมือนป้านี่เอง” เมื่อเกาเจวี๋ยเอ่ยจบก็สะบัดชายเสื้อเดินจากไป
ลู่เจียงเป่ยรีบจับไหล่ซ้ายของเขาไว้พลางเอ่ยถาม “นี่ เ้าจะไปไหน?”
เกาเจวี๋ยถามกลับ “เ้าคิดว่าข้าจะไปไหน? ข้าบอกแล้วว่าต่อไปคงไม่ได้พบสตรีผู้นั้นอีก แม้จะบังเอิญพบก็จะหันหลังเดินจากไป เ้าไม่พอใจหรือ”
ลู่เจียงเป่ยตบบ่าปลอบใจเขาเบา ๆ “เอาล่ะ การสนทนาครั้งนี้ของพวกเราถือว่าจบไป เื่ของคุณหนูและเสี่ยวต้วนจะสำเร็จหรือไม่ ก็เป็เื่ระหว่างพวกเขาทั้งสอง ต่อไปไม่ว่าใครก็ห้ามเอ่ยถึงนางอีก ดีหรือไม่?” เมื่อััได้ว่าลมปราณเย็นของเกาเจวี๋ยหายไปบ้างแล้ว ลู่เจียงเป่ยจึงอธิบายด้วยเสียงอ่อนโยน “เกาเจวี๋ย เดือนนี้เ้ามีวันหยุดยาวสิบสองวันไม่ใช่หรือ? ที่ข้าถามว่าเ้าจะไปไหน ก็เพราะว่าจวนจิ่นอีเว่ยมีการบุกโจมตีเมื่อไม่นานมานี้ ข้าจึงอยากให้เ้ารายงานสถานที่พักผ่อนของเ้า ข้าจะได้ติดต่อเ้าได้ในเวลาจำเป็”
เกาเจวี๋ยทิ้งประโยคหนึ่งไว้โดยไม่คิดอะไร “ถามเ้าแมวป่าสิ ฝากบอกเขาด้วยว่าราคาตอนนี้อยู่ที่สิบห้าไห หากขาดไปแม้แต่ไหเดียว ข้าจะเด็ดหัวสตรีผู้นั้นมาทำเป็เก้าอี้นั่งทันที” กล่าวจบก็ะโขึ้นบนกำแพงเรือนแล้วหายไป ทิ้งให้ลู่เจียงเป่ยยืนงงงวยอยู่ตรงนั้น
ยามสาม ตรอกิเยวี่ย ถนนใหญ่เสี่ยวตงและถนนใหญ่หงเพ่ย ณ เมืองหยางโจว
หยางมามาเคาะประตูจวนหลัวตงด้วยความเหน็ดเหนื่อย ขณะคิดจะรายงานเื่ที่นางได้พบเห็นในวัดสุ่ยซังให้เหล่าไท่ไท่ฟังที่เรือนฝูโซ่ว โคมไฟสีเขียวในจวนก็พลันเปลี่ยนเป็สีขาว ในใจของนางอดสั่นสะท้านไม่ได้ ก่อนเอ่ยถามเด็กรับใช้ที่เปิดประตูเรือน “เกิดเื่อันใดขึ้น ในจวนของพวกเราไม่มีเื่ร้ายแรงใช่หรือไม่? เหล่าไท่ไท่สบายดีใช่หรือไม่?”
เด็กรับใช้ป้องปากบอกหยางมามาด้วยเสียงแ่เบา “มามา ข้าได้ยินว่า... คุณชายจูในครอบครัวของนายท่านผู้เฒ่าอาการเริ่มไม่ไหวแล้วเ้าค่ะ ฮูหยินใหญ่จึงให้พ่อบ้านจัดเตรียมสิ่งของที่จำเป็ เมื่อถึงเวลาจะได้ไม่ต้องวุ่นวายเตรียมการ”
เหล่าไท่ไท่เสียใจเื่คุณชายจูมาก มื้อเย็นกินเพียงแกงปลาเล็กน้อยเท่านั้น ก่อนเอนกายลงบนตั่งในห้องปีกข้าง กานเฉ่าถามนางหลายรอบ ทว่านางก็ไม่อยากย้ายไปนอนบนเตียง
เดิมทีคิดว่าคนในตระกูลทุกคนเข้าใจเื่ยา ตอนกินข้าวก็จะมีความรู้มากกว่าคนร่ำรวยทั่วไปว่า ''อาหารคือยาบำรุง'' ทุกครั้งที่คนในบ้านปวดหัว หมอที่เชิญมาล้วนเป็หมอที่ดีที่สุดในหยางโจว ยารักษาคือยาที่ดีที่สุดในร้านซานชิงถัง คิดไม่ถึงว่ามันจะช่วยอาการป่วยได้แต่ช่วยชีวิตไม่ได้ เมื่อได้ยินข่าวตอนพลบค่ำ นางไปดูอาการคุณชายจู ท่าทางหายใจรวยรินนั้น เขาไม่มีทางรอดจากความตายแน่นอน ดวงตาของมารดาคุณชายจูบวมเป่งดุจผลเหอเถา คุณชายจูแม้แต่จะลืมตาก็ยังทำไม่ได้”
หมอหม่าและหมออู คือหมอที่ดีที่สุดของซานชิงถัง พวกเขาก็ไร้หนทางแก้เช่นเดียวกัน หากนายท่านผู้เฒ่าอยู่ที่จวนอาจลองใช้วิธีฝังเข็มได้ ทว่าหลายวันมานี้จู่ ๆ เขาก็หายตัวไป ต่อมาเด็กรับใช้ที่เฝ้าประตูหลังก็มารายงานว่า มีคนเห็นนายท่านผู้เฒ่าสวมชุดคลุมสีเทาใหม่ทว่าถูกตัดจนขาดวิ่น มีผ้าหยาบสีขาวพันรอบขา สวมรองเท้าเก่าเปื้อนโคลนซึ่งไม่รู้ว่าเหยียบจากที่ใด เขาสะพายตะกร้าหวายใบใหญ่ออกไปทางประตูตะวันออก ปกติแล้วเมื่อนายท่านผู้เฒ่าออกจากบ้านก็จะไปเป็เวลาครึ่งเดือนจึงจะกลับ อย่างนานที่สุดก็สามปีกว่า ดูเหมือนอาการป่วยของคุณชายจูคงพึ่งพาเขาไม่ได้เสียแล้ว
ปีนี้เป็ปีที่ตระกูลหลัวไม่ราบรื่นแม้แต่น้อย ต้องเผชิญเื่เลวร้ายและวิกฤติมากมาย
ทีแรกก็เป็เสี่ยวอี้ที่ถูกตีหัวแตกบริเวณด้านหลังสวนดอกไม้ อาจเป็ตอนที่นางปีนเขาแล้วตกลงมาจนถึงขั้นเสียชีวิต เมื่อได้ยินว่าเสี่ยวอี้ตาย ตนไม่รู้จริง ๆ ว่าจะติดต่อชวนสยงอย่างไร ชวนสยงแต่งงานสองครั้งแต่มีลูกสาวเพียงคนเดียว สาวน้อยผู้นี้น่าสงสารนัก ไม่ทันไรก็เจอเหตุที่ไม่คาดคิดเช่นนี้... ต่อมาเมื่อได้ยินว่าเสี่ยวอี้ฟื้นคืนชีพ ตนดีใจยิ่งนัก ขณะคิดจะจัดงานเลี้ยงเชิญญาติพี่น้องคนสนิทมาร่วมงาน ให้ญาติพี่น้องมิตรสหายมีเวลาสังสรรค์อย่างมีความสุข ทว่ากลับเกิดเื่กับคุณชายจูอีก
เหล่าไท่ไท่พลิกตัวไปมาทว่ายังคงนอนไม่หลับ พลันได้ยินเสียงกานเฉ่าเอ่ยกระซิบถามว่านางยังนอนไม่หลับอีกหรือ
เรียกนางดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้ หรือคุณชายจูไม่รอดแล้ว หัวใจของเหล่าไท่ไท่สั่นสะท้านทันที หลานชายฝาแฝดหายไปหนึ่งคนในชั่วพริบตา เมื่อไม่กี่วันก่อนนางไปดูอาการคุณชายจู เดิมทีกินยาเพียงสองเทียบอาการป่วยก็จะดีขึ้น แต่เหตุใดจู่ ๆ จึงซูบผอมเนื้อติดกระดูกจนรูปร่างไม่เหมือนมนุษย์เพียงนี้? เฮ้อ มารดาของเขาคงเสียใจไม่น้อย
แม้ชวนไป๋ครอบครัวสาขาแรกจะไม่ใช่ลูกชายที่นางให้กำเนิด แต่จวนหลัวตงก็มีแต่บุรุษรูปร่างผอม นอกจากคุณชายจี๋บุตรชายชอบธรรมของชวนผู่ครอบครัวสาขาสาม พวกเขาก็ยังมีคุณชายเฉียนบุตรชายเพียงคนเดียวของอนุในครอบครัวสาขาแรก สี่ปีก่อนครอบครัวสาขาแรกจัดงานแต่งงานขึ้น เพื่อให้คุณชายเฉียนแต่งงานกับคุณหนูหลาน บุตรสาวคนโตโดยชอบธรรมของตระกูลตง ซึ่งเป็หลานสาวของจ้าวซื่อมารดาบุญธรรมของเขา คู่บ่าวสาวที่มีพร้อมทั้งความสามารถและความงาม หนึ่งปีให้หลังก็ให้กำเนิดลูกแฝด เพิ่มชีวิตชีวาให้ตระกูลไม่น้อย ตนรักเหลนทั้งสองมากจนกลัวที่จะสูญเสียพวกเขาไป แต่ความกลัวนั้นก็เปลี่ยนไป เพราะ่ที่ผ่านมาเกิดเื่เสี่ยวอี้ นางจึงไม่ได้สนใจคนในครอบครัวสาขาแรก...
เหล่าไท่ไท่รู้สึกว่าั้แ่ตนอายุห้าสิบปี กำลังวังชาก็ลดลงกว่าเมื่อก่อนมาก มีหลายเื่ที่นางคร้านจะจัดการ เพียงหลับหูหลับตาให้มันผ่านไปเท่านั้น ตอนที่เสี่ยวอี้อยู่ในจวน นางก็แสร้งไม่เห็นสิ่งที่ฮูหยินใหญ่กระทำ ปล่อยให้เสี่ยวอี้เผชิญความไม่เป็ธรรมภายในจวนหลังนี้เรื่อย ๆ
ด้วยไม่อยากเห็นภาพภรรยาหลานชายร้องไห้ นางจึงแสร้งหลับสนิทและกรนเบา ๆ กานเฉ่าเรียกเหล่าไท่ไท่เบา ๆ อีกสองครั้ง เมื่อเห็นนางหลับลึกเช่นนี้จึงค่อย ๆ ถอยออกไป
เหล่าไท่ไท่หยุดเสียงกรนทันที พลางเงี่ยหูฟังเสียงเคลื่อนไหวภายนอก เสียงแรกที่ได้ยินคือเสียงม่านมุกที่ถูกเลิกขึ้น จากนั้นก็เป็เสียงปิดประตู เมื่อปิดประตูแล้ว เหล่าไท่ไท่ก็ได้ยินเสียงกานเฉ่าเอ่ยเสียงอู้อี้ “หยางมามา ข้าเรียกเหล่าไท่ไท่หลายครั้งแล้วทว่านางไม่ตื่น ท่านมาใหม่ในวันพรุ่งนี้เถิดเ้าค่ะ... ท่านยังไม่รู้อะไร เหล่าไท่ไท่กำลังเสียใจเื่คุณชายจู เมื่อคืนนางนอนถอนหายใจพลิกตัวไปมาอยู่หลายครั้ง พวกข้าก็ร้อนใจ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เป็เื่ยากที่นางจะหลับสนิทเช่นตอนนี้…”
เสียงหยางมามาก็ดังอู้อี้ตามมา “ข้าพบเจอเื่ในวัดสุ่ยซังมากมาย จึงเร่งรีบเดินทางทั้งคืน... หากเป็เพียงเื่คุณหนูสามคนเดียว พรุ่งนี้ค่อยเรียกเหล่าไท่ไท่ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่มันเกี่ยวกับคุณชายจู... ข้าก็ไม่รู้จะพูดกับเ้าอย่างไร ปลุกเหล่าไท่ไท่ให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน”
เหล่าไท่ไท่ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งบนตั่งตัวยาว เกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวอี้? เหตุใดหงเจียงรีบเร่งกลับมานัก? นางรีบสวมรองเท้าพัลวัน เหล่าไท่ไท่เลิกม่านเดินออกจากห้องปีกข้าง ก่อนผลักประตูเสียงดังพลางเอ่ยถาม “เกิดเื่อันใด ยังไม่รีบพูดอีก”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้