หลังจากที่เ้าสาวถูกส่งเข้าห้องไปแล้ว งานเลี้ยงรื่นเริงก็เริ่มขึ้น
หว่านฉือมีไทเฮาคอยหนุนหลัง แม้ครอบครัวของนางจะอยู่ไกลโพ้น แต่พิธีก็ถูกจัดขึ้นอย่างอู้ฟู่
ขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายคน เพราะเห็นแก่หน้าไทเฮา ไม่กล้าที่จะขัดความประสงค์ จึงพากันมาร่วมแสดงความยินดี
ทั้งจวนองค์ชายเจ็ดแออัดไปด้วยผู้คนไปๆ มาๆ จนเดินเหินไม่สะดวก ไม่ว่าที่ใดก็เต็มไปด้วยผู้คน
หรงซิวเป็คนที่ยุ่งที่สุด หลังจากจบพิธี เขาก็ถูกคนเรียกไปยกเหล้าเคารพ
ไปคนเดียวไม่พอ เขายังดึงอวิ๋นอี้ให้ไปด้วยอีก
อวิ๋นอี้ไม่ดื่มเหล้า จึงทำได้เพียงยืนอยู่ข้างเขา ยิ้มแห้งให้ทุกคนตามมารยาท
แน่นอนว่ารอยยิ้มนั้นมิได้มาจากก้นบึ้งหัวใจ ไม่ใช่งานอภิเษกของนางสักหน่อย นางทักทายทุกคนด้วยรอยยิ้มจอมปลอม ในตอนแรกก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม แต่เมื่อได้เห็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่แต่ละคนปั้นหน้ายิ้ม นางก็เข้าใจ
ทุกคนล้วนจอมปลอม เช่นนั้นก็มิมีสิ่งที่เรียกว่าเคารพหรือไม่เคารพกันแล้ว
ก่อนหน้านี้อวิ๋นอี้ไม่รู้ว่าหรงซิวดื่มเหล้าได้เท่าใด แต่เมื่อเห็นเขาดื่มไปรัวๆ แต่สีหน้ายังไม่เปลี่ยน จึงรู้สึกใไม่น้อย
เหล้าของต้าอวี่ ถึงแม้จะไม่เข้มข้น แต่การดื่มไปกว่าหลายสิบจอกนั้น ก็ย่อมต้องมีความเข้มข้นอยู่บ้าง
เหตุใดหรงซิวถึงดูสบายๆ ราวกับดื่มชาเสียเช่นนั้น?
สายตาของนางจับจ้องที่เขาอีกครา พอดีกับที่เขาหยิบจอกมาดื่มอีกครั้ง อึกเดียวหมดจอก ลูกกระเดือกที่สวยงามอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์นั้น ขยับขึ้นลงแล้วหยุดลงที่เดิม
เย้ายวนและมีเสน่ห์
กรามของเขายังคงสวยงาม เพรียวบางและมีรูปร่างที่ดี ทุกการขยับเขยื้อนล้วนพอดิบพอดี ราวกับถูกจัดวางไว้อย่างประณีตและแกะสลักอย่างตั้งใจ เขาเป็ลูกรักพระเ้าโดยแท้
อวิ๋นอี้หลงใหลจนเกือบลืมไปแล้วว่าตนเองอยู่ที่ใด มีความร้อนชื้นที่ปลายจมูกของนาง ผสมกับกลิ่นแอลกอฮอล์ที่กลมกล่อม นางรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ จึงรีบเรียกสติกลับมาทันใด
จูบหนึ่งัับนหน้าผากของนาง
เกิดกระไรขึ้นกัน?
เงาที่อยู่ข้างหน้านาง ถูกนางผลักออกไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง ผู้คนรอบๆ นางกลับส่งเสียงหัวเราะออกมา อวิ๋นอี้หน้าแดงถอยออกสองก้าว แล้วก็เห็นหรงซิวที่กุมหน้าอกของเขาไว้
ดวงตาของเขาเป็ประกาย และดูเหมือนว่ามีห้วงจักรวาลกว้างใหญ่อยู่ในนั้น ในตอนนั้นเองเขามุ่ยปากแล้วทำสีหน้าน้อยใจใส่นาง “อวิ๋นเออร์ เ้าดุจัง!”
ดุบ้ากระไรเล่า!
อวิ๋นอี้จ้องเขาด้วยใบหน้าบึ้งตึง เขาจูบนางต่อหน้าผู้คนมากมาย นางไม่ต้องรักษาภาพพจน์หรือ!
นางเช็ดหน้าอย่างแรง เอาจอกเหล้าในมือยัดให้เขา หันตัวออกแล้ววิ่งออกไป
“นางอายน่ะ” หรงซิวพูดต่อหน้าเสียงหัวเราะของขุนนางชั้นสูง อธิบายให้พวกเขาฟังอย่างจริงจัง “อวิ๋นเออร์ของข้าขี้อายน่ะ นางอายแล้วก็ให้นางไปพักก่อน เราว่ากันต่อเถิด”
องค์ชายเจ็ดเป็คนมีชื่อเสียงขององค์ฮ่องเต้ เป็คนสำคัญในราชวัง หากเขาพูด จะมีผู้ใดกล้าเห็นต่างได้อย่างไรกัน?
ในจวนเต็มไปด้วยบรรยากาศรื่นเริง อวิ๋นอี้วิ่งไปจนสุดทางก็พบว่าตนเองยังคงอยู่ท่ามกลางความคึกคัก
มีแขกมาแสดงความยินดีมากมาย งานเลี้ยงถูกจัดจากเรือนด้านหน้าไปยังเรือนกลาง
นางในฐานะพระชายา นางไม่้าดึงดูดความสนใจของผู้คนมากเกินไป เมื่อเห็นว่าในเรือนเต็มไปด้วยผู้คน นางจึงคิดจะเดินอ้อมไปยังเรือนหลังเข้าไปในห้อง
ตอนที่ถอยออกมาเงียบๆ มิได้ระวังด้านหลัง ก็ชนเข้าไปในอ้อมแขนของผู้ใดบางคน
อ้อมกอดของบุรุษหนุ่มอ่อนโยนและเย็น กลิ่นหอมจางๆ พัดผ่านไป นางรู้สึกคุ้นเคยและนึกถึงบางคนในใจ นางจึงค่อยๆ หันกลับมา
“ท่านมหาเสนาบดีลู่?” เมื่อเห็นใบหน้าที่คาดไว้ อวิ๋นอี้ก็ขยับริมฝีปากและรีบออกจากอ้อมแขนอย่างรวดเร็ว กล่าวขอโทษอย่างเร่งรีบ "ขออภัย...ข้า...เมื่อครู่ข้า..."
"มิเป็ไรพ่ะย่ะค่ะ” เขาขัดนางเสียงเบา “เหตุใดท่านถึงมิได้อยู่ที่เรือนหน้าเล่าพ่ะย่ะค่ะ? ”
“เหนื่อยนิดหน่อยเ้าค่ะ” อวิ๋นอี้ยักไหล่ “ข้าจะกลับไปพักแล้ว” หลังจากหยุดพูดไปสักพัก นางก็พูดอย่างสุภาพ "ไม่คิดเลยว่าท่านมหาเสนาบดีลู่ก็มาด้วย..."
ลู่จงเฉิงเม้มปากไม่ตอบนาง
เมื่อคนสองคนอยู่กันตามลำพัง ความอึดอัดในระยะเวลาสั้นๆ ขยายออกไปอย่างไร้ขอบเขต ล้อมรอบด้วยเสียงดังวุ่นวาย ทั้งสองคนยืนตัวตรงราวกับต้นไม้ที่อยู่ตรงข้ามกัน
อวิ๋นอี้หันหน้าออกไปทางอื่น และบังเอิญเจอคนที่คุ้นเคย
ซูเมี่ยวเออร์?
อีกฝ่ายกำลังมองนางด้วยรอยยิ้มกริ่มๆ ในแววตาของนางมีความหมายลึกซึ้ง
อวิ๋นอี้ขมวดคิ้ว เดาว่านางคงจะเห็นภาพที่นางกอดกับลู่จงเฉิงเมื่อครู่ จึงอดที่จะกังวลมิได้
ปากของซูเมี่ยวเออร์ เื่ดีๆ ก็พูดให้กลายเป็ร้ายได้ หากปล่อยให้นางปล่อยข่าวลือออกไป ไม่แน่พรุ่งนี้นางกับลู่จงเฉิงก็อาจจะถูกพูดไปต่างๆ นานา “นั่น...” หลังจากตัดสินใจได้แล้ว อวิ๋นอี้ก็เอ่ยปากขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ท่านมหาเสนาบดีลู่เ้าคะ ข้าไม่รบกวนท่านแล้ว ข้าขอกลับก่อนนะเ้าคะ...”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ลู่จงเฉิงพยักหน้า พลันหลีกทางให้
นางก้มหน้าลง แล้วเดินผ่านเขาไป
อวิ๋นอี้เดินตรงไปหาซูเมี่ยวเออร์ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเดาความคิดของนางออก จึงรีบเดินไป จึงขมวดคิ้วและไล่ตามนางอย่างใกล้ชิดมากขึ้น
ซูเมี่ยวเออร์เลี้ยวซ้ายขวาเข้าเรือนหลังไป
เรือนหลังเป็ที่พักอาศัย จำนวนคนก็ลดลง นอกจากคนรับใช้ที่เดินไปมาเป็ครั้งคราแล้ว ที่นั่นก็เงียบสงบ
อวิ๋นอี้มองออก ว่าซูเมี่ยวเออร์จงใจลดความเร็วฝีเท้าลง นางจึงเร่งฝีเท้าตามไป จากนั้นก็เอ่ยปาก “มีกระไรก็พูดเถิด อย่าอ้อมค้อมอยู่เลย ข้าตามเ้ามานานเช่นนี้ข้าก็เหนื่อยเช่นกัน”
ซูเมี่ยวเออร์หันหน้ามา แล้วเอนตัวพิงเสา
ไม่รู้ว่าเป็เพราะความเข้าใจผิดของอวิ๋นอี้หรือไม่ นางรู้สึกว่านางผอมลง ใบหน้านางเล็กลงมาก
“เมี่ยวเออร์คารวะพระชายาเพคะ” นางพูดด้วยรอยยิ้ม กล้ามเนื้อบนใบหน้าแป้งทอดของนาง ดูนิ่มมาก ราวกับเพิ่งออกมาจากซึ้งร้อนๆ
อวิ๋นอี้กลืนน้ำลายอย่างมิได้ความ ราวกับว่านางหิว นางส่ายหัวเล็กน้อย แล้วยืดตัวพูด “ข้าบอกว่าอย่าอ้อมค้อม เ้า้ากระไร?”
“เมี่ยวเออร์มิได้อยากจะทำกระไรนี่เพคะ!” นางหัวเราะอย่างชั่วร้าย ร่างโยกไปมา "เมี่ยวเออร์เพียงแค่เห็น สิ่งที่ไม่ควรจะได้เห็น"
อวิ๋นอี้พ่นลมหายใจ “แม้ว่าข้าไม่จำเป็ต้องอธิบายให้เ้าฟัง แต่ข้าไม่อยากจะได้ยินข่าวลือของข้ากับท่านมหาเสนาบดีลู่ในวันพรุ่ง”
“นั่นไม่ใช่ข่าวลือนะเพคะ เป็ความจริง” ซูเมี่ยวเออร์ตอบกลับอย่างไม่เห็นด้วย “องค์ชายอภิเษกกับสตรีใหม่ พระชายาจึงหันเข้าสู่อ้อมกอดของท่านมหาเสนาบดีลู่”
เมื่อพูดถึงเื่นี้ นางก็จับคาง “หากเมี่ยวเออร์จำไม่ผิดล่ะก็ คราก่อนฝ่าากับท่านมหาเสนาบดีลู่ก็ทะเลาะกันเพราะท่าน ข้ากับท่านล้วนรู้ว่าท่านมหาเสนาบดีลู่เป็คนใจเย็น เขาไม่โกรธผู้ใดง่ายๆ นอกจาก...”
"เ้าคิดมากไปแล้ว" อวิ๋นอี้สะบัดนิ้วของนางออก แล้วถามนางกลับว่า "เ้ารู้ไหมว่าไทเฮาไม่โปรดเ้าเพราะกระไร? ”
“เ้าไร้สาระ ไทเฮามิโปรดข้าก็ยังดีกว่าเ้าหลายเท่า” แม้ว่าเื่ที่นางจะไม่เป็ที่โปรดปรานแล้วจะจริง แต่นางก็ปฏิเสธที่จะยอมรับ
อวิ๋นอี้ไม่อยากจะมาใส่ใจความรู้สึกของนาง พูดต่อไปเองว่า “ก็เพราะว่าเ้าไม่รู้ว่าสิ่งใดควรพูดสิ่งใดมิควรอย่างไรเล่า หากเ้าจะฉลาดได้สักนิดหนึ่งของหว่านฉือ คงไม่ต้องนานเช่นนี้แต่ก็ยังมิได้เข้าจวนหรอก”
"นางแค่เพียงใช้ความเอ็นดูของไทเฮา!" ซูเมี่ยวเออร์คิดว่าตนเองสูงส่งมาก สิ่งที่นางเกลียดที่สุดคือการที่ผู้อื่นเปรียบเทียบนางกับสตรีมากความสามารถคนก่อน
การจากไปของหว่านฉือคือสิ่งที่นางมีความสุขที่สุด การกลับมาของหว่านฉือทำให้นางต้องฝันร้ายอีกครา
นางไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ภายใต้รัศมีของผู้อื่น นางจึงเกลียดหว่านฉือ!
คำพูดของอวิ๋นอี้ทำร้ายจิตใจที่อ่อนไหวที่สุดของนางอย่างเห็นได้ชัด อารมณ์ของนางะเิขึ้นอย่างควบคุมมิได้ "พระชายาจะว่าข้าอย่างไรเพคะ หากท่านฉลาดสักหน่อย ก็คงไม่ให้หว่านฉือเข้าจวนมาได้หรอก!"
“ข้าไม่อยากจะมาทะเลาะให้เปลืองน้ำลายกับเ้า” อวิ๋นอี้หรี่ตา “หากเ้ามิมีกระไรแล้ว ข้าไปล่ะ”
“พระชายาอย่าขู่กันสิเพคะ!” ซูเมี่ยวเออร์สูดหายใจลึกๆ บังคับตนเองให้สงบลง “หากท่านออกไป วันพรุ่งจะเต็มไปด้วยเื่ที่ท่านอยู่ในอ้อมกอดผู้อื่น ถึงเวลานั้นเกรงว่าท่านจะต้องอยู่บ้านพิจารณาตนเองอีกยาว ท่านอย่าขมวดคิ้วไปเลยนะเพคะ ข้ารู้ว่าท่านรำคาญข้า ข้าก็เช่นกัน แต่ในตอนนี้ ศัตรูคนเดียวกันของเราคือหว่านฉือ ข้าอยากจะร่วมมือกับพระชายา”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้