16
“ไม่เหมือนพอร์ตคนที่กูเคยเห็นหน้าเลยแฮะ”
“...”
“ทำไมมันถึงเอาแต่มองมึงด้วยสายตาแบบนั้นวะ” อรที่นั่งดูพัตเตอร์ถ่ายงานอยู่ที่หน้าฉากด้วยกันกระซิบถามเจแปนเบา ๆ
“ก็ปกติดีนะ” เจแปนตอบกลับไป ขณะที่เขาก็คอยมองหน้าจอโน้ตบุ๊กสลับกับมองพัตเตอร์ที่หน้าฉากเป็ระยะ เมื่อตอนนี้มันถึงคราวที่พัตเตอร์จะต้องทำงานให้เจแปนแล้ว โดยเขาก็ได้ให้เพื่อนที่เป็ช่างภาพมืออาชีพช่วยมาถ่ายรูปให้กับพัตเตอร์ เพราะเพื่อนของเจแปนจะรู้ดีว่าควรถ่ายประมาณไหน ถึงจะสามารถเอารูปมาขึ้นปกนิตยสารได้
“สายตาแบบนี้คือสายตาปกติเหรอวะ สงสัยอาจเพราะกูไม่ได้เจอกับแฟนมึงพักใหญ่มั้ง”
“...”
“แต่ครั้งล่าสุดที่เจอกัน มันก็เป็่ที่เราถ่ายรายการไม่ใช่เหรอ มันก็ไม่ได้นานเท่าไรนี่” อรยังคงตั้งคำถามต่อด้วยความข้องใจ ซึ่งความสงสัยของเธอก็ทำให้เจแปนต้องเลื่อนสายตาไปมองอย่างนึกรำคาญ
เพราะเขาไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงมาข้องใจกับเื่นี้นัก
“แล้วมึงจะมาคาใจอะไรเนี่ย ขี้สงสัยจัง” เจแปนพูดออกไปตามที่ใจนึก ก่อนที่เขาจะว่าต่อเมื่อ้าไล่อรให้ออกไปจากบริเวณหน้างาน เนื่องจากมันจะทำให้เจแปนและพัตเตอร์ต่างเสียสมาธิกันทั้งคู่
“แล้วตอนนี้มึงเตรียมงานของตัวเองเสร็จแล้วเหรอ เพราะมึงถ่ายต่อจากกูนี่” เขาถามเพื่อน
“ก็เพราะเตรียมเสร็จแล้วนี่แหละ เลยเดินมาดูงานมึงที่หน้าฉาก”
“แต่ว่ามึงกำลังทำให้กูไม่มีสมาธินะ” คราวนี้เจแปนตัดสินใจบอกเพื่อนอย่างตรงไปตรงมา
“โอเค ๆ งั้นกูไม่กวนแล้วก็ได้” อรเอ่ยและพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นมึงถ่ายของตัวเองเสร็จตอนไหน ก็เดินไปเรียกกูที่ห้องแต่งตัวแล้วกันนะ”
“อือ” เจแปนขานรับกลับไปเพียงสั้น ๆ ซึ่งหลังจากเพื่อนเดินจากไปแล้ว เขาก็มีการถอนหายใจใส่อีกฝ่ายไปหนึ่งหน ก่อนจะหันกลับมาให้ความสนใจกับพัตเตอร์อีกครั้ง
โดยจังหวะที่เจแปนเลื่อนใบหน้าหันกลับไปมองอีกฝ่าย สายตาของเขาก็สบกับพัตเตอร์ด้วยความบังเอิญพอดี นั่นจึงทำให้เจแปนต้องถลึงตาใส่พัตเตอร์ไปหนึ่งหน คล้ายกับ้าบอกให้อีกฝ่ายตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองไป
นอกจากสายตาที่พัตเตอร์ใช้มองเจแปนแล้ว มันก็ไม่มีใครระแคะระคายในตัวของพัตเตอร์อีกเลย เนื่องจากอีกฝ่ายเหมือนพอร์ตทุกกระเบียดนิ้วจริง ๆ
หลังจากการถ่ายงานของพัตเตอร์เสร็จสิ้นไปแล้ว เจแปนก็รับหน้าที่ช่วยอีกฝ่ายล้างเครื่องสำอางต่อ ซึ่งภายในห้องแต่งตัวสำหรับผู้ชาย มันก็มีแค่เจแปนกับพัตเตอร์เท่านั้นที่อยู่ด้วยกันเพียงลำพัง
“งานวันนี้ เราทำได้ดีหรือเปล่า?” พัตเตอร์ถามขึ้น ระหว่างที่อีกฝ่ายกำลังนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกันแล้วปล่อยให้เจแปนบรรจงใช้สำลีเช็ดหน้าให้
“ก็ไม่ได้แย่อะไร” เจแปนตอบกลับเพียงสั้น ๆ
“แค่นั้นเองเหรอ”
“...”
“อะไรกัน เรานึกว่าเราจะได้รับคำชมจากแปนเสียอีก” อีกฝ่ายพูดต่อด้วยเสียงเศร้าสร้อย แต่เจแปนรู้ดีว่าพัตเตอร์ก็แค่แสร้งทำไปอย่างนั้น ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เกิดความรู้สึกผิดอะไร แถมยังมีอาการหมั่นไส้ให้กับจริตจะก้านของพัตเตอร์ด้วยซ้ำ
“อะไรที่ปลอม มันดูออกนะ” เจแปนว่าพร้อมสบตากับพัตเตอร์ด้วยสายตานิ่ง ๆ และคำพูดของเขาก็ทำให้คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามกันถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ
“ดูออกเลยเหรอว่าปลอม” อีกฝ่ายถามกลับมาและก็ได้ความเงียบตอบกลับไปเท่านั้น เพราะเจแปนไม่อยากสร้างบทสนทนากับพัตเตอร์มากนัก หากมันไม่มีความจำเป็
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
“ใคร” เจแปนะโถามคนหน้าห้อง เมื่อจู่ ๆ ก็มีคนเดินมาเคาะประตู
“กูเอง บัว” คนหน้าห้องะโตอบกลับมาแล้วถามต่อ “ตอนนี้ทำอะไรกันอยู่อ่ะ กูเดินเข้าไปคุยได้ไหม”
“เข้ามาเลย ประตูไม่ได้ล็อก” สิ้นเสียงของเจแปน เพื่อนของเขาก็ผลักประตูเข้ามาอย่างไม่รีรอ โดยเธอก็มองหน้าเจแปนกับพัตเตอร์สลับกันไปมาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพูดธุระ
“เสร็จจากที่นี่แล้ว สองคนนี้จะไปไหนกันต่อเหรอ”
“ว่าจะกลับเลยน่ะ มีอะไรหรือเปล่า” เจแปนเอ่ย
“พอดีพวกเพื่อน ๆ เรานัดกันว่าจะไปกินหมูกระทะด้วยกันน่ะ ก็เลยให้กูเดินมาชวน” บัวว่าแล้วพอเจแปนได้ยินอย่างนั้น เขาก็นิ่งไปเพื่อคิดอยู่พักหนึ่ง เนื่องจากเจแปนอยากจะไปกินหมูกระทะกับเพื่อน แต่ว่าเขาก็ไม่อยากเอาพัตเตอร์ไปด้วย
อย่างที่เจแปนเคยว่าหากเป็ไปได้... เขาก็อยากให้พัตเตอร์มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนของเขาน้อยที่สุดเท่าที่จะสามารถเป็ไปได้
“ว่ายังไง จะไปด้วยกันหรือเปล่า” บัวขอคำตอบ
“เราอยากไปอ่ะแปน เพราะไหน ๆ เราก็ได้เจอเพื่อนแปนแล้ว ถ้าไปกินข้าวด้วยกันอีก... เรากับเพื่อนแปนจะได้รู้จักกันมากขึ้นไง” พัตเตอร์พูดขึ้น ทำเอาเจแปนถึงกับต้องหันไปมองอีกฝ่ายตาเขม็ง
ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ว่าเจแปนกำลังคิดอะไรอยู่ ถึงได้แก้เกมด้วยการพูดแบบนี้ออกมาก่อน
“อืม เื่นี้กูเห็นด้วยกับพอร์ตนะ” บัวเห็นดีเห็นงาม ก่อนจะอธิบายเหตุผลของตัวเอง “ไหน ๆ วันนี้ก็ได้อยู่ด้วยกันมาตลอดทั้งวันแล้ว งั้นก็ไปกินข้าวด้วยกันเลยสิ เผื่ออะไร ๆ มันจะดีขึ้น”
ระหว่างที่บัวกำลังพูด เธอก็มีการมองหน้าเจแปนเล็กน้อยคล้ายกับ้าบอกใบ้บางอย่าง ซึ่งเจแปนก็รู้ดีว่าเธอกำลังหมายถึงเื่ไหนอยู่ แต่เพราะนี่ไม่ใช่คนรักของเขาจริง ๆ นี่สิ เจแปนถึงได้ไม่อยากให้อีกฝ่ายไปด้วยกัน
“งั้นตกลงตามนี้นะ กูจะได้เดินกลับไปบอกเพื่อน” บัวสรุปเสร็จสรรพ หลังจากนั้นเธอก็เดินออกจากห้องไปทันที ทิ้งให้เจแปนและพอร์ตกลับมาอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง
“คิดจะทำอะไรของนาย” นั่นเป็ประโยคแรกที่เจแปนเอ่ยถามคนตรงหน้า
“เปล่านี่ เราก็แค่อยากรู้จักสังคมของแปนให้มากขึ้นเท่านั้น”
“แล้วจะอยากรู้จักไปทำไม นี่มันอยู่เหนือข้อตกลงระหว่างเราแล้วนะ” เจแปนท้วงกลับไปอย่างไม่ยอม
“อ้าวเหรอ” พัตเตอร์ถามกลับมาทั้งหน้าซื่อ เหมือนจำไม่ได้ว่าตัวเองเคยบอกกันแบบไหน
“...”
“เราลืมไปเลยแฮะว่าเราเคยพูดกับแปนว่ายังไงบ้าง งั้นเราก็ขอโทษด้วยก็แล้วกัน”
“คิดจะมาหัวหมอใส่กันหรือไง” เจแปนถาม
“เปล่าสักหน่อย เราไม่เคยเล่นแง่กับแปนเลยนะ” อีกฝ่ายส่ายหน้าปฏิเสธกลับมา ในขณะที่เจแปนก็ได้แต่กำหมัดแน่น เพื่อระงับอารมณ์ของตัวเองเท่านั้น
เวลาต่อมา เมื่อเดินทางมาถึงร้านหมูกระทะพร้อมกับเพื่อนและพัตเตอร์เรียบร้อยแล้ว เจแปนก็ต้องนั่งอยู่ข้าง ๆ พัตเตอร์อย่างไม่มีทางเลือก ซึ่งในระหว่างที่นั่งกินอาหารพร้อมกับกลุ่มเพื่อนของตัวเอง เจแปนก็มีการแสดงออกอย่างชัดเจนว่าตอนนี้เขากำลังรู้สึกแบบไหนอยู่
“เดี๋ยวเราเติมน้ำให้นะ แปนจะเอาน้ำอัดลมหรือน้ำเปล่าอีกสักแก้วดี?” พัตเตอร์ที่กำลังสวมบทบาทเป็คนรักของเจแปนกระซิบถามกัน
“เอาน้ำเปล่ามาก็พอ” เจแปนบอกกลับไปเสียงห้วน พลางถอนหายใจใส่อีกฝ่ายไปหนึ่งหน
“โอเค” พัตเตอร์พยักหน้ารับ พร้อมหยิบแก้วของเจแปนไปจัดการเติมน้ำดื่มให้ใหม่ แล้วพออีกฝ่ายเติมเครื่องดื่มให้กันเรียบร้อยแล้ว พัตเตอร์ก็แสร้งทำเป็แฟนหนุ่มที่ดีต่อหน้าเพื่อนของเขาต่อ ด้วยการหยิบเอากระดาษทิชชูมาซับเหงื่อตามกรอบหน้ากัน เพราะในร้านหมูกระทะอากาศมันค่อนข้างอบอ้าว
“่นี้ดูหวานกันจริง ๆ นะ” อรที่คอยสังเกตท่าทีของพัตเตอร์มาตลอดทั้งวันพูดขึ้น เมื่อเธอนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกันแล้วมองเห็นทุกอย่าง
“จริง ๆ เรากับแปนก็เป็แบบนี้กันมานานแล้วนะ แต่แค่คนนอกไม่ค่อยได้เห็นเท่านั้นเอง” พัตเตอร์บอกกลับไปทั้งหน้ายิ้ม
“อ้าวเหรอ” เธอแสร้งทำเสียงประหลาดใจตอบกลับไป โดยในวินาทีนั้นเจแปนก็รู้สึกเหมือนเพื่อนของเขาและพัตเตอร์กำลังทำาประสาทกันอยู่ ทำเอาเจแปนต้องรีบทำอะไรสักอย่าง ก่อนที่เหตุการณ์มันจะบานปลายไปมากกว่านี้
“ไม่เอาน่า สองคนนี้จะทะเลาะกันหรือไง” เจแปนถามทั้งสองเสียงนิ่งตามประสาเขา
“เปล่าสักหน่อย เพื่อนแปนถามแบบนั้น เราก็แค่บอกไปตามความจริงเท่านั้นเอง” พัตเตอร์หันมาพูดด้วย หลังจากนั้นความอึดอัดก็เข้าปกคลุมทั้งหมดอยู่พักหนึ่ง บัวที่ไม่อยากให้บรรยากาศมันแย่ลงกว่าเดิมจนกลายเป็ความกร่อย จึงรีบสร้างบทสนทนาต่อด้วยการชวนเพื่อนคนอื่น ๆ พูดคุยบ้าง
เจแปนไม่รู้หรอกว่าจุดประสงค์หลักที่ทำให้พัตเตอร์ตัดสินใจมาร้านหมูกระทะกับเพื่อนของเขามันคืออะไร แต่ที่แน่ ๆ การกระทำของอีกฝ่ายในวันนี้ แม้อาจมีการฟาดฟันกับอรด้วยคำพูดจาอยู่บ้าง แต่มันก็ทำให้เพื่อนของเขาเข้าใจได้ว่าตัวของพอร์ตเองก็ยังมีความแคร์และใส่ใจเจแปนอยู่บ้าง ไม่ใช่นึกถึงแค่เฉพาะตอนที่กำลังเดือดร้อนเท่านั้น
หลังกินหมูกระทะและแยกย้ายกับเพื่อนเรียบร้อยแล้ว เจแปนก็เดินนำพัตเตอร์มายังรถของตัวเอง เพราะอีกฝ่ายจะต้องกลับไปยังคอนโดพร้อมเขา
“ไม่พอใจเราเหรอ” เมื่อเดินมาถึงรถแล้ว เสียงของพัตเตอร์ก็ดังขึ้น
“เพิ่งรู้เหรอ?” เจแปนถามกลับไปแล้วพูดต่อ “เราก็นึกว่านายรู้ั้แ่แรกอยู่แล้วแต่แกล้งเมินซะอีก ที่แท้ก็ยังไม่รู้ตัวนี่เอง”
“...”
“รู้ตัวช้านะเนี่ย” ว่าจบ เจแปนก็หันไปยกยิ้มให้พัตเตอร์เล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเปิดประตูรถฝั่งคนขับแล้วขึ้นไปนั่ง
เมื่อต่างฝ่ายต่างขึ้นมานั่งบนรถ ทั้งสองก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก ต่างฝ่ายต่างเอาแต่เงียบเนื่องจากไม่มีเื่อะไรให้ต้องคุยกัน เนื่องจากพัตเตอร์ไม่ใช่คนรักของเขาแต่เป็พอร์ตต่างหาก
“ลืมไปเลยแฮะ” ระหว่างที่กำลังติดอยู่สี่แยกไฟแดง เจแปนก็พึมพำกับตัวเองเสียงแ่ หลังเขาเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองยังไม่ส่งข้อความไปบอกแฟนหนุ่มว่าถ่ายงานเสร็จแล้ว ทั้งที่เขาเป็คนบอกกับพอร์ตเองว่าถ้าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เขาจะส่งข้อความไปหาอีกฝ่าย
“ตอนนี้เรากำลังอยู่ด้วยกันแท้ ๆ แต่ยังส่งข้อความไปหามันเนี่ยนะ” พัตเตอร์ที่นั่งอยู่ข้างกันและรู้ว่าเจแปนกำลังพิมพ์ข้อความส่งไปหาใครรีบพูดขึ้นเหมือนไม่พอใจกัน ซึ่งนั่นก็ทำให้เจแปนต้องผละสายตาออกจากหน้าจอโทรศัพท์ แล้วมองอีกฝ่ายอย่างตั้งคำถาม
“ก็พอร์ตเป็แฟนเรานี่ ถ้าเราจะส่งข้อความไปหาแฟนตัวเอง แล้วมันจะเป็อะไรอ่ะ?” เขาถามอย่างตรงไปตรงมา “อีกอย่าง... ลืมเหรอว่าตัวเองเป็ใคร คิดว่าตัวเองมีตัวตนขนาดนั้นเลยหรือไง”
ไม่รู้ว่าเป็เพราะเจแปนไม่พอใจพัตเตอร์เป็ทุนเดิมอยู่แล้ว หรือเป็เพราะว่าเขาเริ่มที่จะรับมือกับร่างดอพเพลแกงเกอร์ได้กันแน่ นั่นจึงทำให้เจแปนกล้าที่จะพูดแบบนั้นออกไป แบบที่ไม่สนใจว่าการพูดจาทำนองนั้น มันจะสร้างอันตรายให้กับตัวเองหรือเปล่า
โดยหลังจากที่เขาพูดแบบนั้น พัตเตอร์ก็ถึงกับนิ่งค้างไปพักหนึ่งคล้ายกับนึกไม่ถึงว่าเจแปนจะกล้าได้ถึงขนาดนี้
“ทำไมแปนถึงพูดแบบนี้กับเรา” อีกฝ่ายถามกลับมา
“แล้วทำไมเราจะพูดไม่ได้ ในเมื่อมันคือความจริง”
“...”
“ดูเหมือนนายจะเริ่มหลงผิดคิดไปเองแล้วนะว่าตัวเองมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้จริง ๆ น่ะ นี่นายลืมไปหรือเปล่าว่าตัวเองกำลังเป็เงาของใครอยู่ ผู้คนเขาเรียกชื่อนายด้วยชื่อใคร นายลืมไปแล้วหรือไง?” เจแปนว่าต่อ เมื่อเขาคิดว่าสิ่งนี้แหละมันจะสร้างปัญหาให้ในอนาคต
เพราะร่างดอพเพลแกงเกอร์จะเริ่มอยากมีตัวตนเป็ของตัวเอง ไม่อยากหลบอยู่ในเงามืดและเป็เงาสะท้อนของใครแล้ว
“อย่ามาปากดี” ในที่สุดพัตเตอร์ก็พูดขึ้นคล้ายกับทนไม่ไหวอีกต่อไป
“เราไม่ได้ปากดี เราก็แค่เตือนสติ” เจแปนสวนแล้วพูดต่อ “นายเคยบอกว่าถ้าเรายอมทำตามความ้าของนาย นายจะอยู่ในมุมเงียบ ๆ ของตัวเอง ไม่สร้างปัญหาให้กับใครใช่ไหม”
“...”
เราว่าตอนนี้ร่างดอพเพลแกงเกอร์อย่างนาย... ลองถามตัวเองอีกรอบดีกว่าไหม ว่านายพอใจให้มันเป็แบบนั้นจริง ๆ หรือเปล่า ไม่ใช่กระหายอยากได้อะไรมากกว่านี้เหรอ?”
มันต้องเป็ความบ้าบิ่นของเจแปนแน่ ๆ เขาถึงได้กล้าพูดอะไรแบบนั้นออกไป
เวลาต่อมา หลังทั้งคู่กลับมาถึงคอนโดของเจแปนแล้ว เจแปนก็รับรู้ได้ถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปของพัตเตอร์ ซึ่งเขาก็พอจะเข้าใจได้ เพราะคำพูดของเจแปนตอนที่อยู่บนรถมันค่อนข้างรุนแรง แต่สิ่งที่เขาพูดออกมามันคือความจริงทั้งนั้น ดังนั้นเจแปนจึงไม่จำเป็จะต้องรู้สึกผิดกับอีกฝ่ายด้วยซ้ำ
“แล้วเวลาที่เราไปเรียนล่ะ นายจะอยู่ห้องงั้นเหรอ” เจแปนเป็ฝ่ายถามขึ้นก่อน เมื่อทั้งคู่เข้ามาในห้องเรียบร้อยแล้ว
“ไม่อยู่ เพราะเราก็มีธุระของเราเหมือนกัน” พัตเตอร์ตอบ จากนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุมทั้งสองจนกลายเป็เื่ปกติไปแล้ว
ไม่ว่าเจแปนจะอยู่กับพอร์ตหรือพัตเตอร์ ทั้งคู่ก็มักจะสร้างบรรยากาศแบบนี้ขึ้นมาไม่ต่างกัน จนบางทีเขาก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังอยู่กับพอร์ตทั้งที่มันไม่ใช่
“แต่ว่านายมาค้างด้วยก็ดีแล้วล่ะ นายจะได้มาช่วยงานเขียนบทของเราด้วย เพราะเรายัง้าข้อมูลอะไรนิดหน่อย” เจแปนพูดขึ้นอีกครั้ง เมื่อสายตาของเขาเหลือบไปเห็นงานเขียนบทที่ถูกวางทิ้งไว้บนโต๊ะพอดี
“ถ้าจะให้ช่วย ก็ต้องแลกเปลี่ยนกันอีกรอบนะ”
“อะไรกัน เราแค่ขอข้อมูลนิด ๆ หน่อย ๆ เองนะ” เจแปนแย้งทันที เนื่องจากเขามองว่าสิ่งที่ตัวเองเพิ่งร้องขอจากพัตเตอร์ไปเมื่อครู่นี้ มันไม่ใช่เื่ที่ยากเย็นอะไรเลย
“ยังไงทุกอย่างมันก็คือข้อแลกเปลี่ยน” พัตเตอร์ยังคงยืนยันคำเดิม
“ทีนายไปกินข้าวกับเพื่อนเราวันนี้ ทั้งที่ตอนแรกนายขอแลกเปลี่ยนแค่มานอนค้างกับเราเป็เวลาเจ็ดวันเท่านั้น เรายังไม่ได้ว่าอะไรเลยนะ เพราะงั้นก็ยืดหยุ่นให้กันหน่อยไม่ได้หรือไง” เขายังคงท้วงต่ออย่างไม่ยอม
“ก็ได้ งั้นแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ ถ้ามีครั้งต่อไปคือต้องแลกเปลี่ยนกันเท่านั้น” นานเกือบนาทีกว่าที่พัตเตอร์จะตอบกลับมา ซึ่งพอเจแปนได้รับคำตอบที่น่าพอใจแล้ว เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
บางทีเจแปนก็อดคิดไม่ได้ว่าจุดประสงค์ที่ทำให้พัตเตอร์มาขออยู่กับเขาเป็เวลาเจ็ดวัน นั่นก็เป็เพราะอีกฝ่าย้าจะให้ทั้งสองได้มีโอกาสรู้จักตัวตนของกันและกันมากกว่านี้
ตัวตนที่เป็พัตเตอร์จริง ๆ ไม่ได้เป็เงาทับซ้อนของใคร
หลังจัดการธุระส่วนตัวเสร็จ เจแปนก็มานั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะทำงานของตัวเองเหมือนอย่างทุกวัน โดยวันนี้เขาก็มีเป้าหมายเอาไว้ว่างานเขียนบทของเจแปนจะต้องขยับสักเล็กน้อยก็ยังดี
“เอาล่ะ ตอนนี้นายพร้อมหรือยัง” เจแปนะโถามอีกคนที่อยู่ในห้อง เมื่อมันถึงคราวที่พัตเตอร์จะต้องมาให้ข้อมูลกับเขาแล้ว ในฐานะที่อีกฝ่ายเป็ร่างดอพเพลแกงเกอร์
“แล้วแปนอยากรู้เื่อะไรล่ะ” พัตเตอร์ที่อยู่ในชุดนอนของพอร์ตเดินเข้ามาหากันที่โต๊ะทำงาน
“เราอยากรู้วิธีกำจัดร่างดอพเพลแกงเกอร์น่ะ” เขาเอ่ย และนั่นก็ทำให้พัตเตอร์นิ่งไปทันที
“...”
“พอดีเราจะเอาข้อมูลนี้มาเขียนในงานน่ะ เราพยายามหาข้อมูลด้วยตัวเองแล้วนะ แต่ก็ยังไม่เจอสักที เราก็เลยอยากรู้ว่ามันมีวิธีหรือเปล่า” ระหว่างที่กำลังอธิบาย เจแปนก็จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของพัตเตอร์ด้วย ทำเสมือนไม่ได้มีอะไรแอบแฝงมากไปกว่าจะเอาข้อมูลมาใช้ในงานเขียนของตัวเอง
“เื่นี้เราก็ไม่รู้เหมือนกัน” พัตเตอร์ตอบกลับมาทั้งหน้านิ่ง ไม่แสดงพิรุธอะไรออกมาทั้งนั้น
“ไม่รู้หรือไม่บอกกันแน่”
“ไม่รู้ก็คือไม่รู้สิ แล้วทำไมแปนถึงคิดว่าเราจะไม่บอกล่ะ” อีกฝ่ายถามกลับมา
“ก็อาจเพราะความระแวงแหละมั้ง กลัวว่าเราจะเอาวิธีนี้มาใช้กับนาย” เจแปนคาดเดากลับไปให้ ซึ่งพัตเตอร์ก็ยังไม่แสดงท่าทีอะไรกลับมาทั้งนั้น นอกจากนิ่งใส่และพูดบางอย่างกลับมา
“ยังไงซะ... เราคิดว่ามันไม่น่าจะมีวิธีกำจัดร่างดอพเพลแกงเกอร์นะ”
“...”
“ดอพเพลแกงเกอร์ก็เปรียบเสมือนเงาตามตัวของเ้าของร่าง เพราะงั้นมันจะกำจัดได้ยังไงล่ะ จริงไหม?”
“ตกลงมันไม่มีจริง ๆ ใช่ไหม” เจแปนถามย้ำ พยายามจะค้นหาความจริงจากดวงตาของพัตเตอร์ ทว่าเขากลับไม่พบอะไรเลยนอกจากความแข็งกระด้างในดวงตาของอีกฝ่าย
“ไม่มีหรอก หรือไม่ก็อาจจะมี... แต่ว่าเราแค่ไม่รู้เฉย ๆ” พัตเตอร์ว่า ซึ่งไม่รู้ทำไมพักหลังมานี้เจแปนถึงเริ่มรู้สึกหงุดหงิดกับการเล่นลิ้นของอีกฝ่ายอยู่บ่อยครั้ง
อาจเพราะเขากำลังถูกพัตเตอร์ปั่นหัวแหละมั้ง มันถึงได้เกิดความรู้สึกทำนองนี้ขึ้น
“โอเค ถ้านายตอบเื่นี้ไม่ได้ก็ไม่เป็ไร เพราะเรายังมีอีกคำถามหนึ่ง” เจแปนพูดต่อ พยายามจะตัดใจจากคำถามแรกที่เขาอยากรู้แต่ไม่ได้รับคำตอบ
“ลองถามมาสิ เผื่อว่าเราจะตอบได้” คราวนี้พัตเตอร์พูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
“เราอยากรู้ว่าร่างดอพเพลแกงเกอร์จะทำยังไงเหรอ ถ้าสมมติมนุษย์รับรู้ถึงการมีอยู่ของตัวเองแล้ว”
“คำถามนี้น่าสนใจจังแฮะ” พัตเตอร์ว่า จากนั้นอีกฝ่ายก็นิ่งไปพักหนึ่ง แล้วค่อยพูดอะไรบางอย่างกลับมา “คำถามเหมือนไม่ได้มีอะไรซับซ้อนมาก แต่มันก็แอบยากอยู่นะเนี่ย”
“...”
“เพราะปกติแล้ว มันแทบจะไม่มีโอกาสที่มนุษย์จะรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของดอพเพลแกงเกอร์เลย เว้นเสียแต่ว่า...”
“เว้นเสียแต่ว่าอะไร ลีลาอยู่ได้” เจแปนพูดอย่างนึกรำคาญ
“มันเป็ความจงใจของร่างดอพเพลแกงเกอร์ยังไงล่ะ เหมือนอย่างที่เราทำกับแปน”
“นั่นสินะ แล้วทำไมนายต้องมาทำกับเราด้วยล่ะ” เจแปนถามต่อทั้งคิ้วขมวด
“อันนี้เกี่ยวกับงานเขียนบทหรือเปล่า” อีกฝ่ายถามกลับมา
“ไม่ อันนี้เราอยากรู้เองต่างหาก”
“ถ้าอยากรู้เองก็ต้องแลกเปลี่ยนกันนะ”
“อย่าเว่อร์ไปหน่อยเลย เราขอถามแค่คำถามเดียวเอง”
“ฮ่า ๆ ก็ได้” พูดจบ พัตเตอร์ก็จ้องลึกเข้ามาในดวงตาของเจแปนอีกหน โดยคราวนี้แววตาของอีกฝ่ายก็ดูจริงจังมากเป็พิเศษจนคนที่ถูกมองเริ่มเกิดอาการลุ้น “ที่เราจงใจทำให้แปนรับรู้ถึงการมีอยู่ของเรา นั่นก็เพราะพอร์ตบีบบังคับให้เราต้องทำแบบนี้ยังไงล่ะ”
“เรายังไม่เข้าใจอยู่ดี พอร์ตไปบีบบังคับอะไรนาย ในเมื่อเขาไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของนายด้วยซ้ำ” เจแปนถามต่อทันที
“ปกติแล้วดอพเพลแกงเกอร์มันมักจะเห็นดีเห็นงามกับเ้าของร่างเสมอ ซึ่งตัวของเจแปนเองก็มีดอพเพลแกงเกอร์เหมือนกันนะ โดยธรรมชาติมันจะอยู่กับเ้าของร่างตลอดทั้งชีวิตจนกว่าจะตายจากกันนั่นแหละ แต่ถ้าวันใดวันหนึ่งร่างดอพเพลแกงเกอร์มันเริ่มมีความคิดที่ขัดแย้งกับเ้าของร่างอยู่บ่อย ๆ เริ่มมีความคิดไม่ตรงกันเรื่อย ๆ จนไปด้วยกันไม่ไหวแล้ว มันก็จะแยกตัวออกมาใช้ชีวิตของมันเอง...”
“...”
“แล้วก็จะหาวิธีกำจัดเ้าของร่าง ก่อนจะสวมรอยเป็เ้าของร่างเสียเองยังไงล่ะ”