มีอยู่่วินาทีหนึ่งที่เซี่ยจื่ออวี้รู้สึกหวั่นไหว
หวังเจี้ยนหัวที่นอนกองอยู่บนพื้นคือคนขี้เมา ผู้ชายที่ใช้เหล้าคลายความทุกข์คือคนที่ไม่เอาไหนที่สุด
เซี่ยจื่ออวี้คุ้นเคยกับพฤติกรรมเช่นนี้ดี เพราะพ่อของเธอก็เป็เช่นนั้น แค่เห็นเธอก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที
แต่เธอจะหวั่นไหวไม่ได้ แม้จะรู้สึกไม่มั่นใจ แต่เธอทุ่มเทให้กับหวังเจี้ยนหัวมากเกินไปแล้ว เพื่อหวังเจี้ยนหัว เซี่ยจื่ออวี้ทุ่มเททั้งเวลา เงินทอง รวมถึงร่างกายของตัวเอง อีกทั้งยังมีบทลงโทษของวิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่ง ไหนจะธุรกิจชั้นเรียนกวดวิชาที่ต้องปิดตัวลงด้วย!
แม้แต่เซี่ยฉางเจิงก็ต้องกลายเป็คนพิการ พอคิดดูให้ดีแล้วเื่พวกนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับหวังเจี้ยนหัว
ผู้ชายคนนี้คือคนที่เธอพยายามใช้ทุกวิถีทางเพื่อแย่งมาจากมือของเซี่ยเสี่ยวหลาน หากเธอยอมแพ้กลางคัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทุ่มเทไปก็คงกลายเป็เื่ตลกมิใช่หรือ?
หวังเจี้ยนหัวจะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน
ไม่รู้ว่าเซี่ยจื้ออวี้คิดอะไรออก สีหน้าของเธอถึงได้กลับมาแน่วแน่อีกครั้งเช่นนี้
“เจี้ยนหัว อย่าทำร้ายตัวเองแบบนี้เลย เธอลืมสิ่งที่เคยพูดกับฉันในวันที่เกาเข่าเสร็จแล้วไม่ได้หรือ ฉันเชื่อมาโดยตลอดว่าเธอจะทำได้อย่างแน่นอน มีครอบครัวคอยช่วยเหลือหรือไม่เธอก็จะสามารถทำได้... คิดในแง่ดีสิ คุณลุงแค่ย้ายตำแหน่งงาน ไม่ได้ถูกลดขั้นเสียหน่อย ไม่แน่อาจจะยังมีโอกาสใหม่ๆ อีกก็ได้นะ จากไร่ย้ายกลับมาที่ปักกิ่งยากเสียขนาดนั้นท่านยังทำได้เลย ครั้งนี้ก็ต้องทำได้อย่างแน่นอน!”
เซี่ยจื่ออวี้เชื่อมั่นในตัวหวังเจี้ยนหัวอย่างงมงาย หวังเจี้ยนหัวได้ยินดังนั้นก็รู้สึกจุกในลำคอ เขากอดแฟนสาวอย่างซาบซึ้งใจ
“จื่ออวี้ เธอพูดถูก!”
เขากะแล้วว่าความรักของเขากับจื่ออวี้จะสามารถผ่านบททดสอบเหล่านี้ไปได้
ตอนจื่ออวี้เลือกเขา เธอก็ยังไม่รู้ว่าเขาจะได้กลับมาเป็ลูกชายข้าราชการอีกครั้ง เพราะตอนนั้นเธอไม่ได้คาดหวังสิ่งเหล่านี้กับเขา ดังนั้นตอนนี้เธอย่อมไม่มีทางรังเกียจที่พ่อของเขาถูกโยกย้ายไปอยู่ในหน่วยงานที่ไร้ความสำคัญ
การกลับจากไร่มาปักกิ่งกับการย้ายจากสำนักประวัติศาสตร์พรรคคอมมิวนีสต์ไปยังหน่วยงานอื่นเป็คนละเื่กันอย่างแน่นอน อย่างแรกนั้นขึ้นอยู่กับสภาพการเมืองในขณะนั้น เดิมทีประเทศชาติก็ต้องดำเนินการตามนโยบาย การจะกลับมายังปักกิ่งนั้นขึ้นอยู่กับว่าจะสามารถคว้าโอกาสมาได้หรือไม่... แต่การย้ายออกจากหน่วยงานที่ไม่สำคัญ ไม่มีนโยบายไหนที่สามารถพึ่งพาได้เลยสักอย่าง
หวังเจี้ยนหัวเองก็ไม่อยากเชื่อว่าจะไม่มีโอกาสอีกเลย ทว่าพอเซี่ยจื่ออวี้พูดเช่นนี้ เขาก็อยากหลอกตัวเองอีกสักนิด
มนุษย์เรานั้นช่างแปลกประหลาดนัก เมื่อก่อนตอนเป็จือชิงที่ชนบทยังผ่านมันมาได้ ปัจจุบันหวังก่วงผิงแค่ถูกสั่งโยกย้ายตำแหน่งงาน สภาพความเป็อยู่ของบ้านหวังดีกว่าเมื่อก่อนมาก ย่อมมีความหวังอย่างแน่นอน
เซี่ยจื่ออวี้เห็นหวังเจี้ยนหัวดูมีสติขึ้นไม่น้อยจึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า
“ครั้งนี้ที่คุณลุงถูกสั่งย้ายเกี่ยวข้องกับเธอคนนั้นหรือเปล่า”
ไม่รู้ั้แ่เมื่อไร เซี่ยจื่ออวี้กับหวังเจี้ยนหัวต่างก็ไม่อยากให้คำว่า ‘เซี่ยเสี่ยวหลาน’ หลุดออกจากปากของตนเอง เมื่อใดก็ตามที่ต้องพูดถึงเซี่ยเสี่ยวหลาน ทั้งคู่มักจะใช้คำว่า ‘เธอ’ เป็สรรพนามแทนทุกครั้ง
ในบริบทเช่นนี้ หวังเจี้ยนหัวเข้าใจภายในชั่วพริบตา
“ฉันไม่รู้”
หวังเจี้ยนหัวรู้สึกปวดใจอีกแล้ว ถ้าเื่นี้เกี่ยวข้องกับเซี่ยเสี่ยวหลานจริง คำสั่งย้ายของหวังก่วงผิงก็คือสิ่งที่เขาทำให้มันเกิดขึ้นมานั่นเอง
หวังเจี้ยนหัวรับความจริงเช่นนี้ไม่ได้ เขาจึงดื่มเหล้าจนเมาหัวราน้ำ
ถึงอย่างไรั้แ่มีคำสั่งย้ายตำแหน่ง หวังก่วงผิงก็ไม่คุยกับเขาอีกเลย นอกจากนี้วันๆ หร่านซูอวี้ก็เอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญ หวังเจี้ยนหัวไม่อาจทนอยู่บ้านหลังนั้นต่อไปไหว
ปฏิกิริยาของหวังเจี้ยนหัว เซี่ยจื่ออวี้ไม่มีทางที่จะไม่เข้าใจ
เกี่ยวข้องกับเซี่ยเสี่ยวหลานจริงสินะ... ตระกูลโจว ตระกูลโจวเก่งกาจขนาดนี้เชียวหรือ?
เื่เลวร้ายที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้เซี่ยจื่ออวี้รู้สึกด้านชา แม้ปากของเธอจะพูดปลอบโยนหวังเจี้ยนหัว แต่ในใจกลับเริ่มตั้งข้อสงสัย เพียงแต่เธอข่มมันเอาไว้ในใจเท่านั้น
ตอนนี้หากบอกให้เซี่ยจื่ออวี้ยอมรับว่าตนคิดผิดที่แย่งผู้ชายคนนี้มาจากเซี่ยเสี่ยวหลาน ถึงได้ทำให้เซี่ยเสี่ยวหลานเดินไล่บี้เธอมาจนขั้นนี้ได้ นั่นก็เท่ากับความเชื่อมั่นทั้งหมดที่ผ่านมาของเธอจะต้องพังทลายลง!
ไม่ เธอไม่ได้เลือกผิด!
นี่คือบททดสอบจาก์ หวังเจี้ยนหัวต้องเจออุปสรรคครั้งนี้ อนาคตเขาจึงจะประสบความสำเร็จ... เซี่ยจื่ออวี้หวังว่าบททดสอบของ์จะไม่นานเกินไป หวังเจี้ยนหัวเกิดปี 1958 ปัจจุบันคือเดือนกุมภาพันธ์ของปี 1985 อีกไม่กี่เดือนหวังเจี้ยนหัวก็จะอายุครบ 27 ปี
ระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยครูทั้งหลายใช้เวลาเรียน 4 ปี ยังเหลือเวลาอีกสองปีถึงจะจบการศึกษา เมื่อถึงตอนนั้นหวังเจี้ยนหัวก็จะอายุ 29 ปี
พอคิดถึงเื่นี้เซี่ยจื่ออวี้ก็รู้สึกร้อนใจจนแทบทนไม่ไหว
ทั้งที่รู้ดีว่าคำสั่งย้ายของหวังก่วงผิงเกี่ยวข้องกับเซี่ยเสี่ยวหลาน แต่คนของตระกูลหวังกับเซี่ยจื่ออวี้กลับไม่กล้าพูดถึง ‘การแก้แค้น’ แต่อย่างใด
คำสั่งโยกย้ายของหวังก่วงผิงทำให้เซี่ยจื่ออวี้รู้สึกใกลัว
แม้หร่านซูอวี้จะด่ากราดในบ้านทุกวัน แต่ก็ไม่กล้าไปด่าต่อหน้าคนตระกูลโจวสักครั้งเดียว
ทุกคนต่างก็จินตนาการไปเองว่า ตระกูลโจวเป็คนผลักดันให้การเกิดคำสั่งโยกย้ายครั้งนี้ขึ้น หวังก่วงผิงไม่คิดว่าตนได้ทำผิดต่อทุกคนในที่ทำงาน พอถึงคราวเคราะห์ เขาไม่รู้เลยว่ามีคน้าเหยียบย่ำเขามากแค่ไหน ฝ่ายบริหารไม่ใช่หน่วยงานของตระกูลโจวเสียหน่อย แล้วตระกูลโจวจะชี้นิ้วเลือกว่าอยากให้รองหัวหน้าหวังย้ายไปอยู่สำนักประวัติศาสตร์พรรคคอมมิวนีวต์ได้อยย่างไรกัน
คนขาดคุณธรรมย่อมไร้คนช่วยเหลือ หลักการง่ายๆ แค่นี้ทว่าคนตระกูลหวังกลับไม่เข้าใจ
เซี่ยจื่ออวี้ทุกข์ทรมานใจ น้ำตาของเธอไหลรินโดยไม่รู้ตัว หรือว่าเธอจะทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากอดทนกับเซี่ยเสี่ยวหลาน?
ตระกูลโจวมีอำนาจมากขนาดนั้น เจี้ยนหัวต้องใช้เวลาอีกกี่ปีถึงจะไล่ตามทัน หรือเธอจะต้องแย่งผู้ชายของเซี่ยเสี่ยวหลานอีกครั้งหนึ่ง?
เซี่ยจื่ออวี้รู้ดีว่าความคิดนี้ช่างบ้าคลั่งยิ่งนัก ตอนนี้เซี่ยเสี่ยวหลานไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ความจริงแล้วเธอไม่มั่นใจเลยว่าจะสามารถแย่งผู้ชายจากเซี่ยเสี่ยวหลานได้อีกครั้งหนึ่ง ถึงอย่างไรตอนแย่งหวังเจี้ยนหัวมาได้ก็เป็เพราะปัจจัยทุกอย่างช่างลงตัวน่ะสิ
ออกจากหมู่บ้านต้าเหอ อยู่ในกรุงปักกิ่งที่ไม่คุ้นเคย เซี่ยจื่ออวี้คงไม่อาจรังสรรค์เงื่อนไขต่างๆ เหมือนตอนนั้นได้อีกแล้ว
นอกเสียจากโจวเฉิงจะรังเกียจเซี่ยเสี่ยวหลานเสียเอง
เซี่ยจื่ออวี้ใจเต้นรัว เธอจะลงมือเองไม่ได้ เพราะถ้าเกิดมีใครสืบรู้เข้าคงจบเห่อย่างแน่นอน
ถ้าอย่างนั้นจะมีใครบ้างที่สามารถทำแทนเธอได้?
—---------------------------------------------
สนามบินไป๋อวิ๋นยังคงเหมือนเดิม การนั่งเครื่องบินในยุค 80 สำหรับเซี่ยเสี่ยวหลานนั้นคือเื่ปกติ
ก็แค่สนามบินเล็ก เครื่องบินเล็ก เที่ยวบินน้อย และผู้โดยสารน้อยเท่านั้น ปรับตัวให้ชินก็พอแล้ว!
พวกเธอต้องเดินทางจากสนามบินไป๋อวิ๋นไปยังเผิงเฉิง รถคันเล็กที่คังเหว่ยซื้อมาจอดทิ้งไว้ที่เผิงเฉิง ตอนนี้ทั้งหลิวหย่งและเส้ากวงหรงต่างก็ไม่อยู่ที่เผิงเฉิง ดังนั้นไป๋เจินจูจึงเป็คนขับรถมารับด้วยตัวเอง
ตอนนี้หากบอกว่าไป๋เจินจูเป็ผู้หญิงก็คงไม่มีใครเชื่อแน่นอน
ผู้หญิงคนนี้นับวันจะยิ่งแต่งตัวเหมือนผู้ชายเกินไปแล้ว ตอนที่เธอเดินมากอดเซี่ยเสี่ยวหลาน ผู้โดยสารชายจากเที่ยวบินเดียวกันยังอดอิจฉาไป๋เจินจูไม่ได้ เพราะเซี่ยเสี่ยวหลานเป็สาวสวยน่ะสิ
“เสี่ยวหลาน เธอมาสักที ครั้งนี้จะอยู่เผิงเฉิงกี่วันล่ะ”
เซี่ยเสี่ยวหลานยังไม่แน่ใจจึงตอบไปตามความจริง “แล้วแต่สถานการณ์น่ะ”
เธอต้องขอลองตามหาโจวเฉิงของเธอก่อน เซี่ยเสี่ยวหลานกับคังเหว่ยเพิ่งก้าวขึ้นรถ ไป๋เจินจูก็เริ่มเล่าเื่กิจการของร้านวัสดุก่อสร้างให้ทั้งสองฟัง
“เสี่ยวหลาน ฉันไม่ได้เอาสมุดบัญชีมาด้วย เธอควรได้อ่านมันจริงๆ นะ ตอนนี้กิจการของพวกเราต้องทำให้เธอรู้สึกใแน่ๆ”
ไป๋เจินจูพูดจนเซี่ยเสี่ยวหลานเริ่มอยากรู้ ครั้งก่อนที่มาเผิงเฉิงหลักๆ แล้วมาเพราะเื่ ‘ปัญหาชีวิต’ ของหลิวหย่ง ตอนหลังก็มีหลิวเทียนเฉวียนเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้เซี่ยเสี่ยวหลานไม่มีเวลาอ่านบัญชีรายรับรายจ่ายของร้านเลยสักครั้ง
นอกจากนี้สองเดือนที่ผ่านมาเธอทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับการแข่งภาษาอังกฤษ จึงไม่ค่อยได้ใส่ใจเื่ที่เผิงเฉิงนัก
“พี่ไป๋ ฟังพี่พูดแบบนี้แล้ว กิจการคงไปได้สวยมากเลยสินะ”
ทว่าไป๋เจินจูกลับแกล้งยั่วให้อยากรู้
“ไปดูเอง เดี๋ยวก็รู้”
ความอยากรู้อยากเห็นของเซี่ยเสี่ยวหลานถูกยั่วยุด้วยประการฉะนี้ สหายไป๋เจินจูนับวันยิ่งมีวาทศิลป์ ต่างจากสหายหญิงนิสัยเถรตรง ผู้ที่เคยยืนเฝ้าแผงขายผลไม้เมื่อหนึ่งปีกว่าก่อนหน้านี้ราวกับคนละคนโดยสิ้นเชิง
นี่ก็คือผลของการทำธุรกิจ
ตอนนี้ไป๋เจินจูต้องดูแลธุรกิจร้านขายวัสดุก่อสร้าง แม้ธุรกิจเปิดแผงขายของยังทำอยู่ ทว่าเพียงแต่จ้างลูกจ้างมาช่วยเฝ้าร้านเท่านั้น
แม้แต่ศิษย์พี่ว่านก็ยังเลิกการตั้งแผงขายของของตัวเองแล้วมาเป็ลูกจ้างของไป๋เจินจูด้วยซ้ำ ตอนนี้สหายไป๋กลายเป็เ้าแม่แผงลอยของตลาดสะพานเหรินหมิ๋นไปแล้ว!