ตระกูลหลานเป็หนึ่งในห้าตระกูลใหญ่แห่งจักรวรรดิเชียนซาน หลานเซิ่งเจี๋ยเป็แม่ทัพแห่งจักรวรรดิ เขาอยู่ใน่รุ่งโรจน์และมีผลงานทางการทหารที่โดดเด่น ทั้งยังมีบุตรชายสามคน บุตรสาวหนึ่งคน ซึ่งทั้งหมดล้วนศึกษาอยู่ภายนอกจักรวรรดิ
หลานซานหู่เป็บุตรชายคนเล็กของหลานเซิ่งเจี๋ย เนื่องจากความล้มเหลวในการปลุกสายเื เขาจึงถูกส่งไปยังเมืองไป่หลิงและเลือกเข้าสำนักั์พฤกษาซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสี่สำนักสำหรับผู้บำเพ็ญจื๋อซิวสายพฤกษา ก่อนจะเสียชีวิตอย่างไม่คาดคิดในแดนลับ
จากสารที่ได้รับจากสำนักั์พฤกษา ใจความมุ่งเป้าไปยังหนิงเทียน ดังนั้น พวกเขาจึงกล่าวถึงหนิงเทียนอย่างชั่วร้าย ทั้งยังประณามสำนักร้อยบุปผาที่ให้ความคุ้มครองฆาตกร เื่นี้ทำให้หลานเซิ่งเจี๋ยโกรธมาก ทว่าเขาก็เตรียมใจไว้ก่อนแล้ว
จักรวรรดิเชียนซานเป็เพียงจักรวรรดิธรรมดาแห่งหนึ่งในดินแดนหยวนซิง แม้ตำแหน่งแม่ทัพจะยิ่งใหญ่และทรงอำนาจด้วยสถานะอันสูงส่ง แต่สำหรับผู้บำเพ็ญแล้วเขาก็เป็เพียงคนธรรมดา
ในดินแดนหยวนซิงมีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะได้รับความเคารพ ซิงซิวยอดเยี่ยม หยวนซิวยิ่งใหญ่ แม้กระทั่งจื๋อซิวก็ไม่ใช่สิ่งที่จักรวรรดิจะสามารถรุกรานได้
เพื่อล้างแค้นให้บุตรชาย หลานเซิ่งเจี๋ยจึงเตรียมการอย่างเต็มกำลัง ด้วยเหตุนี้การดำเนินการจึงล่าช้าไปหลายวัน มิฉะนั้น พวกเขาคงไปสังหารถึงเมืองไป่หลิงนานแล้ว
ทหารม้าเข้ามาในเมืองด้วยพลังอันน่าประหลาดใจ ทว่าเหมือนจะมาในเวลาที่ไม่เหมาะสม
กลางจัตุรัสกลางเมือง ทุกคนล้วนสนทนากันเื่ตี๋เยี่ยนจวิน จู่ๆ กองทหารม้าเหล็กแห่งจักรวรรดิก็ปรากฏตัวขึ้น จึงทำให้หลายคนงุนงง
“กองกำลังเสือดาวเหินแห่งกองทัพตระกูลหลานมาทำอะไรที่นี่? พวกเขามามอบรางวัลให้ศิษย์สำนักทะยานเวหาหรือ?”
“ชิ! ดูสิ่งที่เ้าเพ้อออกมาสิ มันเป็ไปได้อย่างไร?”
สีหน้าของทหารม้าแห่งตระกูลหลานทุกคนฉายแววประหลาดใจและสับสน ผู้คนมากมายในเมืองมาเพื่อต้อนรับพวกเขาหรือ?
ผู้ดูแลั์พฤกษาทราบเื่นี้ดี แต่พวกเขาแสร้งทำเป็ไม่รู้
ปัจจุบันหนิงเทียนมีข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่หลักของแดนลับ และสำนักั์พฤกษาย่อมไม่โง่พอที่จะทรยศต่อเขาในเวลานี้ ผู้าุโมู่จึงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยและฝืนแสดงสีหน้ายินดี
แม้สำนักั์พฤกษาจะไม่สามารถโจมตีหนิงเทียนได้เป็การชั่วคราว แต่พวกเขาหวังว่าตระกูลหลานจะสามารถสังหารเด็กคนนั้นเพื่อระบายความโกรธต่อศิษย์ที่เสียชีวิตได้
“อนุสาวรีย์พฤกษาจิตหยั่งลึก? ค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว” เสียงเ็าและภาคภูมิใจนี้ไม่ดังนัก ทว่าสามารถดึงดูดความสนใจของยอดฝีมือบางคน
ในบรรดาทหารม้ากว่าร้อยคน นอกจากแม่ทัพหลานเซิ่งเจี๋ยแล้ว ยังมีบุตรชายคนรองหลานซานเยวี่ย และชายวัยกลางคนที่แต่งกายหรูหรา
หลานเซิ่งเจี๋ยสวมเครื่องแบบทหาร เขาอยู่ในวัยประมาณห้าสิบปี ซึ่งมีกลิ่นอายเ็าราวกับน้ำแข็งและดวงตาเฉียบคม
หลานซานเยวี่ยในวัยยี่สิบห้าปีทั้งสูงและหล่อเหลา เขามีกลิ่นอายที่สง่างามและเต็มไปด้วยพลัง ทั้งยังดูเหมือนสัตว์ร้ายโบราณในชุดสีน้ำเงิน ยามนี้เขานั่งอยู่บนเสือดาวั์พร้อมมองผู้คนในเมืองด้วยความรังเกียจ และมีความดุร้ายแผ่ออกมาผ่านใบหน้า
นี่ไม่ใช่การดูิ่คนใดคนหนึ่ง แต่เป็การดูิ่ทุกคน
เื้ัหลานซานเยวี่ย มีม้าตู๋เจี่ยวโซ่ว[1]สีขาวราวหิมะ ซึ่งมีลำตัวสูงใหญ่เด่นสง่า ั์ตาดุจไพลิน มีหมอกขาวพ่นออกมาจากปากและจมูกราวกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน
ผู้ที่นั่งบนหลังม้าตู๋เจี่ยวโซ่วเป็ชายวัยกลางคนซึ่งแต่งกายหรูหรา และประโยคที่น่าสนใจก็กล่าวออกมาจากปากของเขา
ยามนี้ อนุสาวรีย์พฤกษาจิตหยั่งลึกกลับสู่ภาวะปกติแล้ว ทั้งลำแสง นามจารึก และรูปร่างบนท้องฟ้าล้วนสลายหายไปจนสิ้น
เหล่ายอดฝีมือจากสำนักทะยานเวหาที่รวมตัวรอบอนุสาวรีย์พฤกษาจิตหยั่งลึกต่างก็ตื่นเต้นอย่างมาก
ส่วนยอดฝีมือจากสำนักเชียนเฉ่า สำนักร้อยบุปผา และสำนักั์พฤกษาต่างให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวของกองทหารม้าเหล็ก
หลานเซิ่งเจี๋ยคุมเสือดาวั์เคลื่อนไปเบื้องหน้า เสือดาวที่เขานั่งอยู่นี้มีขนาดประมาณสามจั้ง ทั้งยังเป็อสูรระดับสอง
“ที่แห่งนี้มียอดฝีมือจากสำนักร้อยบุปผาและสำนักั์พฤกษาอยู่หรือไม่? ข้ามีนามว่าหลานเซิ่งเจี๋ย มาที่นี่เพื่อทวงความยุติธรรมให้กับเ้าลูกหมา[2]หลานซานหู่!”
หลานเซิ่งเจี๋ยไม่ได้แสดงความโกรธ ทว่าแผ่กลิ่นอายที่สง่างามของแม่ทัพออกมา เขามองไปรอบๆ ด้วยสายตาเ็า พร้อมกล่าวถึงจุดประสงค์ของตน
หนิงเทียนขมวดคิ้ว หลังจากผ่านไปหลายวัน เขาคิดว่าเื่ในแดนลับจะจบลงแล้ว ไม่คาดคิดเลยว่าตระกูลหลานจะมาเยือนถึงที่
“ไม่ต้องกังวล ณ ที่แห่งนี้พวกเขาย่อมไม่กล้าทำอะไรเ้า”
ซิ่งอวี่เจวียนปลอบเบาๆ แต่ดวงตาของนางจับจ้องไปยังม้าตู๋เจี่ยวโซ่ว ก่อนจะมีร่องรอยความกังวลฉายในดวงตา
“ข้านามหลี่ซาน ผู้าุโฝ่ายในแห่งสำนักร้อยบุปผา ท่านแม่ทัพมาเพื่อทวงความยุติธรรมแบบใด?” ผู้าุโหลี่กล่าวขึ้นพร้อมเดินช้าๆ ไปยังกองทหารม้าเหล็ก
หลานเซิ่งเจี๋ยมองผู้าุโหลี่แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้ม “เ้าลูกหมาหลานซานหู่เป็ศิษย์ของสำนักั์พฤกษา ข้าได้ยินมาว่าเขาถูกหนิงเทียนจากสำนักร้อยบุปผาสังหารในแดนลับ”
ผู้าุโหลี่โต้กลับอย่างไม่แยแส “การฝึกภายในแดนลับมีผู้เข้าร่วมทั้งหมดหนึ่งพันแปดร้อยคนจากทั้งสี่สำนัก และมีเพียงห้าร้อยกว่าชีวิตที่รอดออกมาได้ เช่นนี้ครอบครัวของเหล่าศิษย์ที่เสียชีวิตต้องสังหารทั้งห้าร้อยคนที่รอดมาได้หรือไม่เล่า?”
หลานเซิ่งเจี๋ยขมวดคิ้ว ด้วยความเฉยเมยและเกลียดชังต่อร่างของผู้าุโหลี่ เขาจึงพูดรุนแรงขึ้น “ข้าไม่สนว่าผู้อื่นจะคิดอย่างไร! แต่เ้าลูกหมาตายที่นั่นและข้าหวังว่าสำนักร้อยบุปผาจะส่งตัวฆาตกรมา!”
หลี่ซานหัวเราะพร้อมกล่าวว่า “จะให้ส่งตัวหรือ? เ้ารู้หรือไม่ว่าลูกชายของเ้าสังหารคนจากสำนักร้อยบุปผาไปกี่คนก่อนที่เขาจะเสียชีวิต?”
สิ่งนี้จะไม่เป็ความจริงหากไร้ข้อพิสูจน์ ทว่าหลานซานหู่ก็สังหารศิษย์สำนักร้อยบุปผาในแดนลับไปหลายคนจริงๆ
หลานเซิ่งเจี๋ยพูดอย่างไม่พอใจ “ผู้าุโหลี่พยายามปกป้องศิษย์ของตนอยู่หรือ?”
“ข้าแค่เตือนเ้าว่าบ้านเมืองมีกฎแห่งแคว้น สำนักก็มีกฎเช่นกัน พวกเราได้เตือนศิษย์ทุกคนก่อนเข้าแดนลับแล้วว่าการเดินทางครั้งนี้เป็อันตรายถึงชีวิต และการลงทะเบียนก็เป็ไปตามความสมัครใจ ในฐานะที่เ้ามาเพื่อแก้แค้นและเห็นแก่ความรักอันลึกซึ้งที่เ้ามีต่อบุตรชาย ข้าจะไม่ถือโทษในเื่นี้ แต่เ้าจงกลับไปเสียเถิด”
หลานเซิ่งเจี๋ยคำราม “ผู้าุโหลี่คิดว่าข้าหลอกง่ายเพียงนั้นเชียวหรือ? ข้าสามารถเข้าใจได้ว่ามีอันตรายอยู่ในแดนลับ แต่เ้าลูกหมาของข้าถูกสังหารโดยเจตนา ข้าจะเพิกเฉยต่อมันได้อย่างไร? วันนี้ข้าเพียง้าตามหาฆาตกรและทวงความยุติธรรม!”
หลี่ซานเยาะเย้ยว่า “ข้าได้อธิบายให้เ้าฟังแล้วว่าชีวิตและความตายในแดนลับนั้นถูกกำหนดโดยโชคชะตา ลูกของเ้าสังหารศิษย์ของข้า และในที่สุดก็จบชีวิตด้วยน้ำมือของศิษย์สำนักร้อยบุปผา นั่นเป็โชคร้ายของเขา ไม่มีผู้ใดตำหนิได้ ข้าเข้าใจว่าเ้าอยากแก้แค้น แต่ถ้าเป็การทำร้ายศิษย์ของข้าก็อย่าตำหนิข้าที่หยาบคาย”
“ในเมื่อผู้าุโหลี่เข้าใจความรู้สึกของข้า ท่านก็ควรรู้ว่าั้แ่ข้าย่างกรายเข้ามา ข้าจะไม่มีวันจากไปโดยไม่ได้สังหารศัตรู นี่เป็ความแค้นส่วนตัว หากผู้าุโหลี่ขัดขวาง เกรงว่าจะกลายเป็...”
“เ้าขู่ข้าหรือ?”
ดวงตาของผู้าุโหลี่เบิกกว้างด้วยแรงอารมณ์ ลมพัดหวนรอบกาย คลื่นลมกระโชกแรงจากพื้นดิน กลายเป็ัเกรี้ยวกราดที่คำรามก้องทั่วทั้งปฐี
หลานเซิ่งเจี๋ยแต่งกายด้วยชุดชั้นสูง แววตาของเขาดูหม่นหมอง แต่ก็ยังไม่ยอมล่าถอย
“หากผู้าุโยืนกรานที่จะปกป้องลูกศิษย์ เช่นนั้นก็อย่าตำหนิคนแซ่หลานที่หยาบคาย ตั้งขบวน!”
เมื่อได้รับคำสั่ง กองกำลังเสือดาวเหินก็ตั้งขบวนอย่างรวดเร็ว แต่ละคนถือหอกยาว ชุดเกราะบนร่างเรืองแสงประกายสีฟ้าน้ำแข็ง พร้อมแผ่กลิ่นอายสังหารคละคลุ้ง
หลานซานเยวี่ยผู้นั่งบนเสือดาวั์คำรามลั่น “หนิงเทียนอยู่ที่ใด? จงออกมารับความตาย!”
ซิ่งอวี่เจวียนเลิกคิ้วอย่างเ็าแล้วพูด “ส่งเสียงเสียใหญ่โต แม่ทัพธรรมดาเพียงคนเดียว กล้ามายั่วยุถึงเมืองไป่หลิงได้อย่างไร? ไม่กล้าหัวหลุดเลยใช่ไหม?”
หลานซานเยวี่ยพูดเยาะเย้ยว่า “สังหารคนย่อมต้องชดใช้ด้วยชีวิต หนิงเทียนสังหารน้องชายของข้า ข้าก็จะสังหารเขาเพื่อชดใช้ ถ้าสำนักร้อยบุปผายังคงขัดขวางอย่างเปิดเผย เช่นนั้นข้าก็จะกำจัดสำนักร้อยบุปผาและล้างสถานที่แห่งนี้ด้วยเื!”
หลี่ซานหัวเราะด้วยความโกรธ “เ้ากล้ากล่าววาจาหยิ่งยโสเช่นนี้ เชื่อหรือไม่ว่าสำนักร้อยบุปผาของข้าจะทำลายพวกเ้าจนสิ้นซาก?”
หลานซานเยวี่ยหัวเราะลั่น เขายืนบนลำตัวเสือดาวั์แล้วก้มมองทุกคน “ข้าคือศิษย์หลักของสำนักชื่อหยวนปัง หากกล้าก็ลองดู!”
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา ผู้ชมทั้งหมดล้วนตกตะลึง ผู้าุโหลี่และซิ่งอวี่เจวียนต่างก็แสดงสีหน้าประหลาด ในดวงตาของพวกเขามีนัยของความเศร้าหมอง
“โอ้์! เขาเป็ลูกศิษย์หลักของสำนักชื่อหยวนปัง ยามนี้สำนักร้อยบุปผาประสบปัญหาหนักแล้ว”
“สำนักชื่อหยวนปังเป็หนึ่งในสี่แดนศักดิ์สิทธิ์ของเชื้อสายหยวนซิว มีชื่อเสียงพอๆ กับสำนักวั่นจื๋อของจื๋อซิวสายพฤกษา เป็หนึ่งในสิบแดนศักดิ์สิทธิ์ของผู้บำเพ็ญทั้งสามสายในดินแดนหยวนซิง อาจกล่าวได้ว่าเขาเป็ผู้ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง”
หลานเซิ่งเจี๋ยมองผู้าุโหลี่แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้ม “ตราบใดที่สำนักร้อยบุปผาส่งตัวหนิงเทียนมา เราจะจากไปทันที”
หลี่ซานคำรามเ็า “ที่นี่คือเมืองไป่หลิง ไม่ใช่อาณาเขตของสำนักชื่อหยวนปัง หากเ้า้าดำเนินการกับสำนักร้อยบุปผาและให้ข้าส่งตัวหนิงเทียนให้ นั่นไม่มีทาง!”
หลานซานเยวี่ยตะคอกทันที “ตาเฒ่าหัวแข็ง! เ้ารู้หรือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเ้าทำให้ตระกูลหลานของข้าขุ่นเคือง?”
ซิ่งอวี่เจวียนพึมพำ “ตระกูลหลานไม่ใช่ตัวแทนของสำนักชื่อหยวนปัง อย่าคิดทำตนเป็จิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือเลย”
ผู้าุโมู่แห่งสำนักั์พฤกษาขยิบตาให้เหล่าศิษย์
“ดูนั่นสิ! นั่นหนิงเทียนไม่ใช่หรือ?”
เหล่าศิษย์ของสำนักั์พฤกษาอุทานขึ้น สายตาหลายร้อยคู่จับจ้องไปยังหนิงเทียนซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ซิ่งอวี่เจวียน
หลี่ซานและซิ่งอวี่เจวียนโกรธมาก ทั้งยังลอบตำหนิสำนักั์พฤกษาที่ทำตนน่ารังเกียจด้วยการจงใจเปิดเผยตัวตนของหนิงเทียน
หลานเซิ่งเจี๋ยและหลานซานเยวี่ยต่างมองหนิงเทียนด้วยเจตนาสังหารที่ปรากฏในดวงตา
“ไอ้หนูมานี่! จงคุกเข่าแล้วตายเสีย!”
หลานซานเยวี่ยตะคอกเสียงดังด้วยแรงกดดันอันล้นหลาม
เมื่อเห็นเช่นนี้ สำนักเชียนเฉ่าและสำนักทะยานเวหาจึงสั่งให้ลูกศิษย์ของตนหลีกออกไป
ผู้เห็นเหตุการณ์กลางจัตุรัสรีบเคลื่อนตัวออกอย่างรวดเร็ว ด้วยกลัวว่าจะเกิดปัญหา
ฉินเสี่ยวเยวี่ยยืนอยู่ในฝูงชน ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความยินดีเมื่อเห็นฉากนี้ ส่วนเสิ่นซินจู๋ก็พยายามดิ้นออกจากการกีดขวางของเฉินจี๋ และรีบวิ่งไปหาหนิงเทียนทันที
ใบหน้าของซิ่งอวี่เจวียนมืดมน นางเบี่ยงตัวขึ้นมาปกป้องหนิงเทียนไว้เื้ั
“ไม่ต้องกลัว”
หนิงเทียนมองหลานซานเยวี่ย เขารู้สึกถึงรัศมีอันทรงพลังบนร่างกายของอีกฝ่ายจึงประหลาดใจเล็กน้อย แต่เขาไม่ได้กลัวเกรง ทั้งยังกล้าสบตากับหลานซานเยวี่ยอีกด้วย
“เ้ามีสิทธิ์อะไร?”
หลานซานเยวี่ยหัวเราะอย่างดุเดือดแล้วพูดว่า “สิทธิ์ที่จะสังหารเ้า และเ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน!”
เสิ่นซินจู๋รีบวิ่งไปหาหนิงเทียนแล้วคว้าแขนของเขาไว้แน่น ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
หลานเซิ่งเจี๋ยจ้องหนิงเทียนด้วยสายตาแฝงเจตนาสังหาร ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงแสดงความเกลียดชัง “พาตัวเขามาให้ข้า!”
“น้อมรับคำสั่ง!”
กองกำลังเสือดาวเหินตอบโดยพร้อมเพรียงกัน ม้าศึกยกกีบขึ้นแล้ววิ่งพุ่งเข้าหาหนิงเทียน
“หยุด! อย่าเข้ามาใกล้กว่านี้ ไม่เช่นนั้นก็อย่าโทษข้าที่โเี้” หลี่ซานยื่นมือออกไปหยุดกองทหารม้า ไม่ปล่อยให้พวกเขาผ่านไป
หลานเซิ่งเจี๋ยพูดอย่างเ็า “ผู้าุโได้พิจารณาถึงผลที่จะตามมาแล้วหรือ? คุ้มค่าแล้วหรือที่จะยั่วยุตระกูลหลานของข้าและทำให้สำนักชื่อหยวนปังขุ่นเคือง เพียงเพราะศิษย์ฝ่ายในผู้เดียว?”
“แล้วเ้าคิดว่าสำนักร้อยบุปผาจะไม่สามารถทำลายตระกูลหลานได้หรือ?”
หลานซานเยวี่ยพูดอย่างเหยียดหยาม “สำนักร้อยบุปผา้าทำลายตระกูลหลานของข้าหรือ? มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก เข้ามาเลย ข้าจะสังหารทุกคนที่กล้าหยุดทหารของข้า!”
ทหารม้าส่งเสียงคำราม หอกแหลมคมพุ่งไปข้างหน้าโดยไม่สนใจการสกัดกั้นของหลี่ซาน
สำนักั์พฤกษา สำนักเชียนเฉ่า และสำนักทะยานเวหาล้วนถอยทัพออกไปไกล เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่้ามีส่วนร่วมในเื่นี้ นี่มันเกี่ยวข้องกับสำนักชื่อหยวนปังที่แม้แต่หยวนซิวยังไม่กล้ายั่วยุ ไม่ต้องพูดถึงศิษย์จื๋อซิวเลยไม่ใช่หรือ?
“ท่านผู้ดูแล ท่านคิดว่าเื่นี้เราควร...”
ผู้ดูแลฝ่ายในของสำนักร้อยบุปผาพูดอย่างเ็า “ออกคำสั่งในนามของข้า หากผู้ใดก็ตามจากตระกูลหลานกล้ากระทำการหุนหันพลันแล่น จงสังหารอย่างไร้ปรานี!”
สิ้นคำพูดนี้ผู้าุโหลายคนต่างก็ใ หรือท่านผู้ดูแลกินยาผิดประเภท? หลานซานเยวี่ยเป็ถึงศิษย์หลักของสำนักชื่อหยวนปังเชียวนะ!
ผู้ดูแลสำนักร้อยบุปผาลงมืออย่างรวดเร็ว ดอกไม้ประหลาดกระจายไปทั่วทั้งจัตุรัส กลิ่นหอมของมวลผกาทรงเสน่ห์ฟุ้งกระจาย และกลิ่นอายสังหารอันเยือกเย็นก็ทำให้อุณหภูมิโดยรอบลดลงอย่างกะทันหัน
หลานเซิ่งเจี๋ยขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดสำนักร้อยบุปผาถึงทำเช่นนี้ ศิษย์ฝ่ายในเพียงคนเดียวคุ้มค่ากับความพยายามอย่างสิ้นหวังเช่นนี้เลยหรือ?
ก่อนมาที่นี่ หลานเซิ่งเจี๋ยได้พิจารณาถึงความเป็ไปได้ที่จะพบกับเหตุการณ์นี้ ดังนั้น เขาจึงเรียกหลานซานเยวี่ยกลับมาโดยเฉพาะ จุดประสงค์คือการใช้ชื่อของสำนักชื่อหยวนปังข่มขู่ให้สำนักร้อยบุปผาหวาดกลัว และบังคับให้พวกเขายอมจำนน
ทว่าตอนนี้สิ่งต่างๆ กลับผิดไปจากที่คาดไว้ ซึ่งทำให้หลานเซิ่งเจี๋ยประหลาดใจอย่างมาก!
---------------------------------------
[1] ม้าตู๋เจี่ยวโซ่ว (独角兽) แปลว่า ม้ายูนิคอร์น
[2] เ้าลูกหมา (犬子) เป็คำที่ใช้เรียกลูกของตัวเอง เพื่อแสดงความต่ำศักดิ์ในสมัยโบราณ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้