ณ เรือนหลังจวนอวี๋อ๋อง
ตอนที่โอวหยางรุ่ยเพิ่งกลับไปถึงห้องของตน ก็เห็นหลิงเยว่เซวียนกำลังเย็บผ้าภายใต้แสงเทียนทันใดนั้นเขาก็ขมวดคิ้ว เดินเข้าไปดึงผ้าที่นางกำลังเย็บอยู่ขึ้นมาแล้วพูดว่า“เยว่เอ๋อร์ เหตุใดดึกดื่นเพียงนี้แล้วจึงยังไม่เข้านอนอีก”
หลิงเยว่เซวียนแย่งผ้าในมือเขากลับมา จากนั้นจึงกล่าวตอบ “ท่านไม่กลับมา ตัวข้าก็นอนไม่หลับอีกทั้ง ข้ายังคิดอยากจะทำชุดให้หวานหว่านสักชุด แต่เกรงว่าอาซีและจวินเหยียนจะพักอยู่ที่นี่ไม่กี่วันจึงคิดอยากจะทำให้เสร็จโดยไว”
เมื่ออวี๋อ๋องได้ยินคำตอบนั้น เขาก็ยอมมอบผ้าในมือคืนให้ภรรยาตนแต่โดยดี จากนั้นจึงตั้งใจเฝ้ามองนางปักเย็บอาภรณ์ทุกๆ ฝีเข็ม แต่ละเส้นด้ายที่พาดผ่านเนื้อผ้า ใบหน้าของสตรีที่รักล้วนเต็มไปด้วยความเมตตารักใคร่คล้ายกับว่ายามนี้ในมือนางกำลังถืออัญมณีล้ำค่าควรเมืองเอาไว้
“เยว่เอ๋อร์ เ้าชอบอาซีและหวานหว่านมากหรือ? ”จู่ๆ เขาก็ถามขึ้น
หลิงเยว่เซวียนได้ยินคำถามนั้นของสามีก็ไม่แม้แต่จะคิด นางพยักหน้ารับ“อืม ชอบมากเลย” นี่เป็ความในใจของนางอย่างแท้จริง นางชอบแม่นางคนนั้นมากที่นอกจากใบหน้าจะเหมือนตนราวกับแกะแต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ เมื่อได้มองอีกฝ่าย ในใจกลับรู้สึกมีความสุข
คำตอบของภรรยา ทำให้ชั่วขณะนั้นอวี๋อ๋องโอวหยางรุ่ยไม่รู้ว่าตนควรตอบรับเช่นไรเนื่องด้วยเื่ฐานะที่แท้จริงของหลิงเยว่เซวียน เขาได้รู้แล้ว นางเป็มารดาผู้ให้กำเนิดอวิ๋นซีหรือก็คือ เขาโอวหยางรุ่ยได้ตบแต่งกับผู้เป็มารดาแท้ๆ ของภรรยาหลานชาย
นี่นับว่าเขาแย่งชิงภรรยาของบุรุษอื่นมาหรือไม่?
“เยว่เอ๋อร์เหตุใดเ้าถึงได้ชอบอาซีมากเพียงนั้น? เพราะว่าหน้าตาที่คล้ายกันน่ะหรือ? ” โอวหยางรุ่ยมองใบหน้าที่งดงามยิ่งของภรรยาที่อยู่ท่ามกลางบรรยากาศอันสดใสสูงสุดปราศจากฝุ่นโคลนอันหมองหม่นทั้งหลายในตอนนั้นเป็เขาช่วยนางไว้ ตอนหลังเมื่อนางฟื้นคืนสติ นางที่าเ็สาหัสกลับไม่หลงเหลือแม้ความทรงจำใดไม่ต่างจากเด็กคนหนึ่ง ทั้งยัง อนุญาตเพียงเขาให้ได้เข้าใกล้ชิด ส่วนผู้อื่นย่อมไม่ยินยอม
่เวลานั้น เขาอยู่เป็เพื่อนนางทุกวัน เฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงของนางทีละวันทีละวันคลับคล้ายกับมองตนเองที่กำลังเติบโตขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน ท้ายที่สุดอวี๋อ๋องที่ประกาศตนเป็คนเ้าชู้มากคารมกลับทิ้งตัวจมดิ่งอยู่ในมือนางทั้งตัวและหัวใจมีเพียงนาง
เขาตกหลุมรักนางอย่างบ้าคลั่ง จนกระทั่งครั้งหนึ่งที่เขาเมามายและพลั้งเผลอกระทำเื่ของสามีภรรยากับนาง ในคืนนั้นเองที่เขาเพิ่งได้รู้ว่า ตัวนางนั้นหาใช่เป็หญิงสาวเบญจมาศ[1] ทว่าอย่างไรเขาก็ไม่ได้สนใจเลยสักนิด และคิดเพียงว่าขอแค่ให้นางได้อยู่ข้างกายตนก็นับว่าเพียงพอแล้ว
ในตอนหลังพวกเขาทั้งสองก็ได้แต่งงานกัน และในปีที่สองก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายอย่างโอวหยางฮ่าวฟาน
เื่ราวก็เป็เช่นนี้ สามีภรรยารักใคร่กันมาสิบกว่าปี
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่เคยนึกฝันว่า วันนี้หลังจากผ่านไปสิบกว่าปี ตนเองจะเพิ่งมาค้นพบว่าแท้จริงแล้วภรรยาตนเป็มารดาของภรรยาหลานชายตนเอง อีกทั้ง เมื่อได้รู้ว่าต่อให้วันเวลาจะผ่านมาเกือบสิบเก้าปีแล้ว แต่บิดาของอาซีก็ยังคงรักใคร่ ‘ภรรยาผู้จากไป’ ของตนเองอย่างลึกซึ้งชั่วขณะนั้นโอวหยางรุ่ยก็มีความรู้สึกราวกับตนได้ไปขโมยของของคนอื่นมาอย่างไรอย่างนั้น
สำหรับค่ำคืนนี้ เขานั่งเป็เพื่อนภรรยาจนถึงยามซานเกิง [2] นางทำชุดของหวานหว่านเสร็จแล้วจึงได้ยอมไปนอน ทันทีที่เขาเอนกายลงบนเตียง และได้ฟังเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของภรรยาในสมองของเขานึกย้อนไปถึงคำตอบของนาง ‘ข้าเองก็บอกไม่ถูกว่าเหตุใดถึงได้ชอบเพียงแต่รู้สึกว่า อาซีคล้ายกับเป็ส่วนหนึ่งของข้า ยามที่ข้าได้มองนาง ความรู้สึกที่ก่อขึ้นในใจก็แปลกประหลาดยิ่งข้าไม่อาจหักห้ามใจตนไม่ให้อยากทำดีต่อนางได้เลย’
คำตอบนั้นเขารู้ดี เหตุที่นางห้ามตนเองไม่ได้ นั่นก็เพราะสายสัมพันธ์ของมารดาและบุตรสาวที่มีมาแต่กำเนิดและเพราะสายเื เขาเองถึงได้รู้ว่า เหตุใดบุตรชายตนถึงได้ชื่นชอบแม่นางที่มีนามว่าอวิ๋นซีผู้นี้นักนั่นก็เพราะอีกฝ่ายเป็พี่สาวแม่เดียวกันกับบุตรชายตน นี่คงเป็สายใยที่มองไม่เห็นที่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ตัดไม่ขาดกระมัง
เช้าวันที่สอง จวินเหยียนเอ่ยคำลาต่อเหล่าผู้าุโ ด้วยเหตุที่ต้องเร่งรีบกลับเมืองหลวงอวี๋อ๋องและภรรยาเมื่อได้ทราบความก็ได้แต่รั้งคนไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่พวกเขากลับยังคงหนักแน่นตัดสินใจจะจากไปเช่นเดิม ด้วยเหตุนี้ เมื่อทำอันใดไม่ได้แล้วหลิงเยว่เซวียนก็ทำได้แค่มอบชุดที่ตนเย็บปักเรียบร้อยแล้วให้อวิ๋นซี “เดิมคิดว่าเมื่อเสร็จของหวานหว่านแล้วจะทำให้เ้าอีกสักชุดหนึ่ง มิคาดยามนี้พวกเ้าจะมีเหตุให้ต้องรีบร้อนจากไป”
อวิ๋นซีมองชุดกระโปรงลายดอกไม้ที่ถูกพับไว้อย่างเรียบร้อยบนมือตนนางเม้มปาก ยิ้มบางๆ แล้วกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณเสด็จอาสะใภ้เพคะ”
หลิงเยว่เซวียนอดไม่ได้ให้เข้าไปโอบกอดอวิ๋นซีเบาๆ พูดเสียงเบา “ข้ารู้สึกตัดใจให้เ้าจากไปไม่ได้จริงๆโดยเฉพาะเมื่อเห็นเ้ากำลังจะจากไปเช่นนี้ ใจข้าก็คล้ายกับกำลังจะขาดอันใดไป”
คำพูดของนาง ทำให้อวิ๋นซีแทบอดกลั้นน้ำตาที่เอ่อล้นขึ้นมาไม่ได้ นางอยากจะร้องไห้แล้วนี่คงเป็เพราะสายเืของแม่ลูก ไม่ว่าคนจะจดจำได้หรือไม่ ขอแค่ได้พบกันอีกครั้งในใจก็ยังคงรู้สึกผูกพันคะนึงหา ขอแค่อีกฝ่ายยังคงอยู่ข้างกายตน เพียงเท่านี้ก็รู้สึกสงบใจ
เมื่อโอวหยางรุ่ยและจวินเหยียนได้เห็นฉากเช่นนี้ ในใจก็รู้สึกไม่ดีเป็อย่างยิ่ง
ขณะที่โอวหยางฮ่าวฟานที่ยืนอยู่เื้ัหลิงเยว่เซวียนได้เห็นมารดาและพี่สะใภ้กอดกันร่ำลาเขาก็ค่อยๆ หันกายไปอีกทาง กัดริมฝีปากตน คำบางคำที่มาถึงปาก สุดท้ายแล้วกลับต้องกลืนลงคอไป
เมื่อคืนนี้หลังจากที่เขารู้ว่าญาติผู้พี่อยู่ในห้องหนังสือของเสด็จพ่อเดิมทีเขาคิดอยากจะไปหาเสด็จพ่อ แต่บังเอิญเมื่อไปถึงกลับได้ยินเื่ที่ไม่ควรได้ยินแท้จริงแล้วอวิ๋นซีหรือพี่สะใภ้ของเขาคือบุตรสาวแท้ๆ ของมารดา คนเป็พี่สาวของตน
ชั่วขณะนั้นหนุ่มน้อยเป็ต้องอึ้งค้างไปทั้งร่าง นี่มันเื่อันใดกัน?เหตุใดจึงเป็เช่นนี้ไปได้? อีกทั้ง มารดายังเสียความทรงจำไปตั้งสิบกว่าปีแต่ตัวเขากลับไม่รู้เื่ใดมาโดยตลอด
เดิมคิดว่า เหตุที่ท่านแม่ไม่เคยไปมาหาสู่บ้านเดิมคงเพราะนางเป็ลูกกำพร้าดูท่า ตอนนี้จะมีเื่อีกมากที่ไม่ได้เป็ไปดังที่ตนคิด มิคาดสิบกว่าปีมานี้ตัวเขาโชคดีที่ได้รับการปกป้องดูแลจากทั้งพระบิดาและมารดาจนเติบใหญ่แล้วพี่หญิงเล่า?
พี่หญิงต้องสูญเสียมารดาไปั้แ่เล็ก ่ชีวิตของนางนับแต่เด็กจักต้องลำบากและน่าสงสารมากเลยสินะ
เมื่อคิดเช่นนี้ ในใจเขาก็ยิ่งรู้สึกไม่ดีราวกับว่า ทุกสิ่งที่เขามีอยู่ในตอนนี้ล้วนแย่งมาจากพี่หญิงทั้งสิ้นเขารู้สึกว่าตนเองไม่ต่างจากจอมโจรคนหนึ่ง
โอวหยางรุ่ยและโอวหยางฮ่าวฟานอาสาไปส่งอวิ๋นซีและคนอื่นๆ ถึงนอกประตูเมืองด้วยตนเองก่อนจะจากไป อวิ๋นซีก็พูดกับอวี๋อ๋องว่า “เสด็จอา หลานอยากจะขอพูดกับท่านสักสองสามประโยคจะได้หรือไม่เพคะ”
เมื่อโอวหยางรุ่ยได้ยินก็อึ้งไปเล็กน้อย ในใจเขาเริ่มเป็กังวลขึ้นมาเขากังวลว่า อวิ๋นซีจะขอร้องให้ตนยอมปล่อยเยว่เอ๋อร์ไป
หากเป็เช่นนั้นจริงๆเขาควรจะเลือกอย่างไร?
ไม่ ไม่ได้เด็ดขาด สำหรับเขาแล้ว เยว่เอ๋อร์คือชีวิตเขาหากปราศจากเยว่เอ๋อร์ ครึ่งชีวิตที่เหลืออยู่ของเขาก็นับว่าไม่มีความหมายใด
อวิ๋นซีและโอวหยางรุ่ยเดินไปด้วยกันด้านข้าง นางมองโอวหยางรุ่ย ค้อมกายคารวะอย่างเป็ทางการจากนั้นจึงพูดว่า “อาซีขอขอบคุณเสด็จอาที่ตอนนั้นช่วยเหลือมารดาข้าไว้หากไม่ใช่เพราะท่าน เกรงว่าชาตินี้ ชั่วชีวิตนี้ ข้าคงไม่อาจได้พบหน้ามารดาอีก”
โอวหยางรุ่ยตกตะลึงไป ก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง “อาซี เ้า...”
ถึงกระนั้นเขาที่ยังไม่ทันได้พูดอะไร เป็อวิ๋นซีที่พูดขัดขึ้นมาเสียก่อน“วันหน้า ต้องรบกวนเสด็จอาแล้ว อาซีขอฝากนางไว้กับท่าน ข้าเชื่อว่า บิดาข้าเองก็คิดเช่นเดียวกันกับข้าที่วาดหวังให้นางมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดีมีความสุข แค่วันนี้ได้เห็นว่านางยังมีชีวิตอยู่ ก็เพียงพอแล้ว”
ใช่แล้ว ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าการมีชีวิตอยู่อีกแล้ว
โอวหยางรุ่ยคิดไม่ถึงว่า เื่ที่อาซีจะขอคุยกับตนเป็การส่วนตัวจะเป็เื่นี้เขาสูดหายใจเข้าลึกทีหนึ่ง พูดเสียงขรึม “ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ชั่วชีวิตนี้จะไม่ให้ใครหน้าไหนมารังแกนางได้ทั้งนั้น”
“เช่นนั้นก็ดียิ่งแล้ว อาซีขอขอบคุณในน้ำใจท่านมาก และหวังว่า ชั่วชีวิตนี้ของเสด็จอาจะไม่บอกเื่นี้แก่นางเพราะข้าเห็นว่า นางในตอนนี้ มีความสุขมากแล้ว เื่ใดที่ผ่านไปแล้ว เื่ใดที่ไม่เป็สุขเ่าั้ข้าหวังให้นางไม่ต้องจดจำหรือนึกขึ้นมาได้อีก” ไม่ใช่เพียงเื่ที่ทำให้ต้องทุกข์ทนที่อยากให้ลืมแต่เื่ราวดีๆ ที่มีความสุขที่ผ่านมาแล้วเ่าั้ก็ให้นางลืมไปให้หมด รวมถึงเื่ราวของสามีและบุตรสาวในอดีต
เมื่ออวิ๋นซีพูดจบก็ก้าวยาวๆ จากไป สิ่งที่นางทำได้คงมีแค่นี้
จวินเหยียนพยุงอวิ๋นซีขึ้นรถม้า จากนั้นก็สั่งเสียงขรึม “ไปเถอะ”
โอวหยางรุ่ยสองพ่อลูกได้แต่ใช้สายตาส่งพวกเขาจากไป และเป็ฮ่าวฟานที่พูดขึ้นขัดความเงียบสงัด“เสด็จพ่อ พวกเราติดค้างทั้งพี่หญิงและบิดาของนาง ชั่วชีวิตนี้มิอาจคืนให้ได้หมด...”
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] หญิงสาวเบญจมาศ(黄花闺女)ดอกเบญจมาศเป็ตัวแทนของหญิงสาวที่บริสุทธิ์หญิงสาวเบญจมาศจึงหมายถึงสาวน้อยที่ยังไม่ได้ออกเรือน
[2] ซานเกิง(三更)หมายถึง ่เวลา 23.00-01.00น.
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้