เมื่อเห็นสิ่งนี้ หลงเซี่ยวอวี่ก็รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย เมื่อไม่นานมานี้เขาตามใจหญิงโง่เขลาผู้นี้เกินไปหรือไม่?
ความกล้าหาญของนางถึงได้ล้นทะลักออกมาเกินขอบเขต มากจนเริ่มหยิ่งยโสต่อเขามากขึ้นเรื่อยๆ และยามนี้นางกล้าดีอย่างไรถึงมาแลบลิ้นและทำหน้ามุ่ยต่อหน้าเขา?
แต่ความกลัดกลุ้มก็เป็เพียงความกลัดกลุ้ม ฉีอ๋องซึ่งเดิมทีไม่มีความสุขในหัวใจเป็อย่างมาก ในยามที่เห็นท่าทางที่ซุกซนของมู่จื่อหลิง กลับยังพ่ายแพ้ต่อนางในทันที
ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาที่สามารถควบคุมทุกผู้ทุกคนได้ ที่มุมปากสีแดงของมารร้ายค่อยๆ เกิดรอยยิ้มจางๆ ราวกับดอกไม้สีแดงเืที่บานสะพรั่ง
ผู้ซึ่งสงบอยู่เสมอ และแม้กระทั่งเขาไท่ซานจะถล่มลงต่อหน้าก็ยังไม่เปลี่ยนสีหน้าที่เยือกเย็นอย่างท่านอ๋อง ในยามนี้เนื่องจากการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยของมู่จื่อหลิง กลับทำให้เขาแย้มยิ้มออกมาได้อย่างน่าประหลาด หากไม่เห็นด้วยตนเอง ผู้ใดจะเชื่อ?
หญิงที่กล้าหาญและโง่เขลาผู้นี้ กลับทำให้เขายิ่งชอบมากขึ้นเรื่อยๆ และตลอดชีวิตนี้ก็ไม่อาจทนได้ที่จะปล่อยนางไป
ดังนั้น ในเวลานี้ ฉีอ๋องผู้หยิ่งจองหองจึงคิดในใจอย่างร้ายกาจว่า เป้าหมายสูงสุดของเขาคือการเคยชินกับการทำตัวไร้กฎเกณฑ์เพื่อเอาใจหญิงโง่ผู้นี้
ด้วยนางคุ้นเคยกับความไร้ระเบียบ และการกระทำที่ทำทุกสิ่งตามอำเภอใจโดยไม่เกรงกลัวผู้ใด เขาจะตามใจนาง เพื่อให้ไม่มีผู้ใดบังอาจแย่งนางไปได้ไม่ว่านางจะไปที่ใดก็ตาม เป็การดีที่สุดที่จะให้คนอื่นหลีกเลี่ยงนางในทุกที่ที่นางไป
เขาจะเป็คนเดียวทั้งใน์และใต้หล้าที่สามารถทนต่อนางได้ ในท้ายที่สุดนางก็จะทำได้เพียงพึ่งพาเขาอย่างไร้ยางอาย และนางก็ทำได้เพียงอยู่เคียงข้างเขาอย่างเชื่อฟังและไม่กล้าวิ่งหนีไปที่ใดอีก
หากมู่จื่อหลิงที่ยังคงนิ่งเฉยอยู่รู้ว่าหลงเซี่ยวอวี่กำลังคิดสิ่งใดอยู่ในยามนี้ ไม่รู้ว่าจะแสดงออกแบบไหนและจะมีอารมณ์เช่นไร?
หรือบางทีเมื่อคิดไปถึงจุดจบแล้ว นางอาจจะอยากโต้สายลม และปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาก็เป็ได้ จากนั้น...ก็ก้าวขาออกก่อนวิ่งหนีไป...
ในเวลาเดียวกัน องค์หญิงอันหย่ายังคงตั้งตารอให้หลงเซี่ยวอวี่พูดอะไรสักหน่อย พูดเพียงคำเดียวก็ยังดี แต่หลังจากรอมาระยะหนึ่ง เขาก็ไม่ได้ส่งเสียงแต่อย่างใด
มู่อี๋เสวี่ยซึ่งอยู่ข้างๆ หัวใจเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง เมื่อเห็นว่าองค์หญิงอันหย่าถูกฉีอ๋องเมินใส่ ความรู้สึกเย้ยหยันก็แวบวาบอยู่ในใจของนาง
ั้แ่ครั้งล่าสุดที่มู่อี๋เสวี่ยถูกเหยียบย่ำเหมือนวัชพืชบนรถม้าโดยองค์หญิงอันหย่า นางก็เข้าใจแล้วว่าองค์หญิงอันหย่าเพียง้าใช้นางเพื่อกำจัดมู่จื่อหลิง
องค์หญิงอันหย่าไม่จริงใจกับนาง นางก็ไม่จำเป็ต้องจริงใจเช่นกัน
มู่อี๋เสวี่ยเยาะเย้ยในใจ ความเป็พี่น้องไร้ค่าอะไรถึงเพียงนี้?
ยามนี้นางและองค์หญิงอันหย่าเพียงมีผลประโยชน์ร่วมกันเท่านั้น องค์หญิงอันหย่ากำลังใช้ประโยชน์จากนาง และนางกำลังใช้ประโยชน์จากองค์หญิงอันหย่า
มู่อี๋เสวี่ยเหลือบมองไปที่คนบางคนข้างรถม้าที่พวกเขาละเลย ก่อนที่รอยยิ้มเ็าจะปรากฏขึ้นที่มุมริมฝีปากสีแดงของนาง
สรุปก็คือ พวกนางมีเป้าหมายเดียวกัน...คือมู่จื่อหลิง และมีเป้าหมายเดียวกัน...นั่นคือตำแหน่งฉีหวางเฟย
มาดูกันว่าผู้ใดจะเป็ผู้ชนะในท้ายที่สุด?
“ฉีอ๋อง...” หลังจากรอเป็เวลานาน และยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ องค์หญิงอันหย่าจึงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและจ้องไปที่หลงเซี่ยวอวี่ นางยังคง้าที่จะพูดอะไรบางอย่าง แต่ในเวลาต่อมา นางก็กลืนคำพูดนั้นกลับลงไป
เนื่องจาก...หลงเซี่ยวอวี่ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ และในที่สุดเขาก็หันมาสบตากับองค์หญิงอันหย่าแวบหนึ่ง
แม้ว่ามุมโค้งบนริมฝีปากของเขาจะยังไม่จางหายไป แต่ดวงตาที่ลึกล้ำและมืดมนนั้นก็ยังเ็ามาก ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยออกมาอย่างเ็าว่า “มีอะไรอีกไหม?”
ั์ตาของหลงเซี่ยวอวี่เ็าราวกับน้ำแข็งพันปี [1] เยือกแข็งจนถึงกระดูก กวาดผ่านองค์หญิงอันหย่า ให้ความรู้สึกอ้างว้างและหนาวเย็น และมันกวาดผ่านเพียงแวบเดียวเท่านั้น
เมื่อเห็นสิ่งนี้ คอของมู่จื่อหลิงก็หดลง ชายผู้นี้ช่างเ็าเหลือเกิน!
“ไม่...” องค์หญิงอันหย่าสั่นสะท้านและส่ายหัวอย่างประหม่า
เหตุผลที่นางรู้สึกประหม่านั้นเป็เพราะนางเห็นส่วนโค้งของริมฝีปากที่เ็าของหลงเซี่ยวอวี่ แม้จะดูเหมือนไม่มีอะไร แต่นางก็ยังสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน และส่วนโค้งนั้นดูเหมือนจะไม่หายไปในชั่วขณะหนึ่ง
ผ่านไปครู่หนึ่ง องค์หญิงอันหย่าแทบเป็บ้า
ั้แ่เด็กจนโต แม้ว่าจำนวนครั้งที่นางได้พบกับเขาจะสามารถนับได้ด้วยนิ้ว แต่นี่เป็ครั้งแรกที่นางได้เห็นรอยยิ้มของผู้ชายที่นางชื่นชมมาั้แ่เด็ก
รอยยิ้มนี้ราวกับเมฆบางเบาที่ห่อหุ้มดวงจันทร์สว่างไสว ล่องลอยและไม่แน่นอนเหมือนหิมะหมุนวนที่ปลิวไปตามสายลม [2] งามดังดอกถานฮวา [3] ที่บานในยามราตรีอันมืดมิด ทั้งงดงามและสดใส ทำให้คนตกตะลึงอย่างไม่อาจห้าม
องค์หญิงอันหย่ามองที่หลงเซี่ยวอวี่ด้วยดวงตาเป็ประกาย แต่เป็เพียงความโลภที่มีเพียงไม่นาน ก่อนจะจางลงไปอย่างเงียบ ๆ
แม้ว่าผิวขององค์หญิงอันหย่าจะอ่อนนุ่มและอ่อนแอ แต่ธรรมชาติของนางนั้นมีความสูงส่งและสง่างาม มีความหยิ่งผยองและมีเกียรติ ย่อมไม่สามารถนำนางไปเปรียบกับสาวหลงดอกไม้อย่างมู่อี๋เสวี่ยที่อยู่ถัดจากนางได้
โลภสักเพียงใดนางก็ยังรู้จักความพอดี
นางรู้ว่าที่หลงเซี่ยวอวี่ถามเช่นนั้น เป็เพราะกำลังขับไล่คนออกไป
แต่องค์หญิงอันหย่ายังคงยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน
นางไม่เคยคิดฝันว่าการเข้าวังของนางในวันนี้ จะได้มาพบกับเขาที่นี่
โชคดีที่ในยามที่นางอยู่ในรถม้า บังเอิญรู้สึกอึดอัด จึงเปิดม่านออกโดยไม่ตั้งใจ คาดไม่ถึงว่านางจะได้พบว่าเขามาที่นี่
ดังนั้นด้วยโอกาสที่หายากที่จะได้พบเขา ทำให้นางไม่อยากจากไปเช่นนั้น ครั้งหน้าผู้ใดจะรู้ว่าเราจะได้พบกันอีกเมื่อใด?
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เฉยเมยของฉีอ๋องที่มีต่อองค์หญิงอันหย่า ความดูถูกของมู่อี๋เสวี่ยที่มีต่อองค์หญิงอันหย่าก็ยิ่งทวีคูณมากขึ้น
ชิ! องค์หญิงผู้สูงศักดิ์แล้วอย่างไร? มีความโปรดปรานขององค์ไทเฮาแล้วอย่างไร? ฉีอ๋องของนางจะหลงรักต้นกล้าอ่อนแอที่แทบปลิวไปตามลมได้อย่างไร?
ดังนั้น มู่อี๋เสวี่ยซึ่งเดิมทีก้มศีรษะอย่างเขินอาย ในยามนี้ นางอดไม่ได้ที่จะแอบเงยหน้าขึ้น และเหลือบมองฉีอ๋องที่นางกำลังนึกถึง
แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาเช่นเดียวกับใบหน้าที่ไร้เทียมทานของเทพในตำนานเทพเ้ากรีกโบราณ [4] ดวงตาเปล่งประกายราวกับดวงดาวส่องแสงเจิดจ้า เผยให้เห็นความคมชัดที่ไม่มีใครเทียบได้
ริมฝีปากที่สมบูรณ์แบบของเขาที่ยกขึ้นเล็กน้อยแลดูงดงาม...
์ ์! นางได้เห็นฉีอ๋องกำลังยิ้มแล้ว ฉีอ๋องผู้ไม่เฉยเมยยิ้มด้วยเหตุใด?
มู่อี๋เสวี่ยแทบจะควบคุมเสียงอุทานของนางไม่ได้ นางกลืนน้ำลายไปหลายหยดก่อนที่จะระงับความเขินอายและความตื่นเต้นที่ปั่นป่วนในหัวใจของนางได้
เพียงครู่เดียว มู่อี๋เสวี่ยก็เกือบตาพร่า ราวกับว่านางไม่สามารถขยับหนีได้
ใบหน้าหล่อเหลาที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้ รอยยิ้มที่หายากนี้ ทำให้ผู้คนหลงใหลและมึนเมาอย่างสุดซึ้ง ไม่สามารถถอนตัวออกได้อีกต่อไป...
ในท้ายที่สุด มู่อี๋เสวี่ยไม่สามารถอดกลั้นไว้ได้ นางก้มศีรษะลงอย่างประหม่าและเขินอาย และตกอยู่ในจินตนาการอันบ้าคลั่ง...
นอกจากนี้นางยังเป็ผู้หญิงที่งดงามไม่เป็สองรองใครแห่งแคว้นเจียหลัว ในยามนี้นางเชื่อว่าตราบใดที่ฉีอ๋องได้จ้องมองนาง เขาจะประทับใจนางอย่างแน่นอน
ในเมื่อองค์หญิงอันหย่าไม่มองว่านางเป็จาน [5] แล้วเหตุใดนางถึงยังต้องรั้งอยู่อีกเล่า?
ถึงเวลาแล้ว เมื่อนางกลายเป็ฉีหวางเฟย ไม่เพียงแต่มู่จื่อหลิงเท่านั้น แต่ยังมีองค์หญิงอันหย่าด้วย พวกนางจะต้องถูกเหยียบย่ำอย่างไร้ความปรานี
มู่อี๋เสวี่ยคิดอย่างมีความสุขในใจ ด้วยความเชื่อมั่นในตนเองอย่างแน่วแน่และเด็ดเดี่ยว นางคิดแม้กระทั่งว่าอีกไม่นานนางจะได้เป็นายหญิงของจวนฉีอ๋อง
ในยามนี้ ดวงตาของมู่จื่อหลิงเหลือบมองที่มู่อี๋เสวี่ยโดยไม่ได้ตั้งใจ
แต่กลับเห็นนางก้มหน้าลง ใบหน้าเล็กๆ บอบบางของนางแดงก่ำ ทั้งตัวของนางก็สั่นสะท้านราวกับถูกวางยาพิษ ดูเหมือนว่าหากนางได้รับปีกคู่หนึ่ง นางก็จะบินได้อย่างสบายๆ [6]
ไม่รู้ว่ามู่อี๋เสวี่ยผู้นี้กำลังเพ้อฝันถึงสิ่งใด ในยามนี้หน้าแดงก่ำถึงเพียงนี้ นางกำลังเขินอะไร และนางตื่นเต้นกับสิ่งใด?
ดวงตาที่สดใสและเป็ประกายของมู่จื่อหลิงกลอกไปมาช้าๆ นางมองไปรอบๆ ราวกับว่านางจะมองออกถึงสิ่งที่มู่อี๋เสวี่ยกำลังคิดอยู่ในยามนี้ได้
เหตุใดรูปลักษณ์ของมู่อี๋เสวี่ยถึงได้ดูร้อนรนและคันคะเยอในใจ [7] ถึงเพียงนั้น?
มู่จื่อหลิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขันในใจ และอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวอย่างลับๆ “หึ เพียงได้พบกับฉีอ๋องก็พลาดพลั้งไปตลอดชีวิต [8] หญิงผู้นี้ถูกวางยาพิษลึกเกินไป [9]...ไม่มีทางที่จะช่วยได้แล้ว!”
แต่สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกขบขันมากยิ่งขึ้นคือ คำพูดต่อไปของมู่อี๋เสวี่ย
มู่อี๋เสวี่ยระงับความตื่นเต้นภายในใจของนาง แต่บนใบหน้ากลับมีความเขินอายที่ปกปิดไม่มิด
นางก้มหน้าลงอย่างอายๆ และพูดเบาๆ “ท่านอ๋อง ข้าคือเสวี่ยเอ๋อร์ มู่อี๋เสวี่ย ท่านยังจำข้าได้หรือไม่? ครั้งก่อนเราพบกันที่หน้าประตูจวนฉีอ๋อง”
เสียงนี้ โอ้ ให้ตายสิ! อาการขนลุกของมู่จื่อหลิงถูกกระตุ้นอย่างฉับพลันด้วยเสียงที่นุ่มนวลของมู่อี๋เสวี่ย
ในขณะเดียวกัน มู่จื่อหลิงก็แอบชื่นชมยินดีอยู่ในใจ
โชคดี โชคดีจริงๆ ที่ผู้หญิงมากเสน่ห์ผู้นี้ไม่ได้เกิดมาจากบิดามารดาเดียวกันกับนาง ไม่เช่นนั้นนางจะรู้สึกอับอาย
แต่ชื่นชมยินดีก็ส่วนชื่นชมยินดี หลังจากได้ยินคำพูดของมู่อี๋เสวี่ย มู่จื่อหลิงก็เกือบจะหัวเราะออกมา
มู่อี๋เสวี่ยผู้นี้กำลังกล่าวถึงครั้งก่อนที่นางถูกตบต่อหน้าสาธารณชนที่ประตูจวนฉีอ๋อง แล้วถูกจับโยนเหมือนเศษขยะอยู่หรือ?
ครั้งก่อนที่เจอหน้ากัน? เรียกว่าเจอกันได้ไหม? นี่คือวิธีที่ควรใช้ในการเริ่มต้นบทสนทนาหรือ?
การเริ่มสนทนานี้ทำให้คน ‘ได้รับความรู้’ จริงๆ
อยากจะเข้าไปจับมู่อี๋เสวี่ยดูจริงๆ นางมีผิวที่หนาถึงกี่ชั้นกันแน่? ครั้งที่แล้วยังอับอายไม่พอหรือ? ถึงได้หยิบยกมันขึ้นมาพูดเช่นนี้ได้?
หญิงอกใหญ่ไร้สมองผู้นี้ช่างตลกเสียจริง...มู่จื่อหลิงคิดว่ามันตลกมาก
แต่มู่จื่อหลิงไม่ทราบว่านี่เป็ครั้งแรกที่มู่อี๋เสวี่ยได้เห็นหลงเซี่ยวอวี่อย่างใกล้ชิด มันเป็ความเย้ายวนใจอย่างถึงที่สุดสำหรับนาง และนางแทบรอไม่ไหวที่จะพูดถึงมัน
องค์หญิงอันหย่าอดเย้ยหยันอยู่ในใจของนางไม่ได้ และนางไม่พอใจด้วยซ้ำที่มู่อี๋เสวี่ยไร้สมอง
หากไม่ใช่เพราะความเข้าใจต่อมู่จื่อหลิงของมู่อี๋เสวี่ย นางคงเขี่ยมู่อี๋เสวี่ยออกไปนานแล้ว คนต่ำต้อยเช่นนี้ยังจะกล้าเพ้อฝันปรารถนาถึงฉีอ๋อง
หลงเซี่ยวอวี่ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเฉยชา ดูเหมือนจะไม่ได้ยินเสียงของมู่อี๋เสวี่ยเลย
เห็นเพียงเขาเอนกายลงอย่างเกียจคร้านอยู่บนขอบรถม้า เผยให้เห็นเสน่ห์อันเป็เอกลักษณ์และไม่อาจต้านทานได้ทั่วร่างกาย มีความสูงศักดิ์และอำนาจที่สูงส่งโดยกำเนิด แต่เขากลับให้ทุกคนเว้นระยะห่างจากตน
ในยามนี้ มุมปากของหลงเซี่ยวอวี่ขยับเล็กน้อย ั์ตาสีดำของเขาเชิดขึ้น และมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สะท้อนออกมาในม่านตาสีดำ
“มู่มู่คนโง่ เด็กดี มานี่เร็ว” หลงเซี่ยวอวี่ขยับนิ้วสง่างามของตนไปทางมู่จื่อหลิงซึ่งกำลังยิ้มอยู่
คราวนี้ความอดทนของหลงเซี่ยวอวี่ต่อใครบางคนได้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
การกระทำของหลงเซี่ยวอวี่นั้นชัดเจนและเหนือความคาดหมาย แต่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นเพราะไม่มีผู้ใดกล้าจ้องมองเขาตลอดเวลารวมถึงผู้หญิงทั้งสองคนนี้ด้วย
แต่มู่จื่อหลิงสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
คนโง่และเด็กดี? ใบหน้าของมู่จื่อหลิงมืดลงจนเปลี่ยนเป็สีดำในทันใด
และเขากำลังทำสิ่งใดอยู่? เรียกลูกสุนัขหรือ?
นางไม่อยากไปตรงนั้น และนางไม่ใช่ลูกสุนัข นอกจากนี้ถ้านางเข้าไป หากไม่ถูกสังหารด้วยสายตาของหญิงสาวสองคนนี้ ก็คงจะถูกยิงผ่านสายตาที่ชั่วร้ายของพวกนาง
แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดเห็นหลงเซี่ยวอวี่ขยับนิ้ว แต่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นสามารถได้ยินเสียงที่ชั่วร้ายและมีเสน่ห์ได้อย่างชัดเจน
ฝูหลินที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น เห็นได้ชัดว่าใกล้จะมีภูมิคุ้มกันแล้ว
เขาถึงกับเริ่มคิดกับตนเองว่า ดูเหมือนว่าในวันหน้าหากมีคนไม่เกรงกลัวต่อฟ้าดินอย่างนายหญิงของตนอยู่ คืนวันของพวกเขาคงจะดีขึ้น
คนอื่นมีภูมิคุ้มกัน แต่ผู้หญิงสองคนเมื่อได้ยินแล้วกลับไม่เป็เช่นนั้น
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ั์ตาเ็าราวกับน้ำแข็งพันปี (目光很冷) เป็สำนวน มีความหมายว่า สายตาที่เ็าและเยือกเย็นมากจนแทบจะฆ่าคนได้ พรรณนาถึงดวงตาสยดสยอง
[2] ราวกับเมฆบางเบาที่ห่อหุ้มดวงจันทร์สว่างไสว ล่องลอยและไม่แน่นอนเหมือนหิมะหมุนวนที่ปลิวไปตามสายลม (仿佛兮若轻云之蔽月,飘飖兮若流光之回雪) มีความหมายว่า สวยงามมาก เป็การพรรณนาถึงความงดงามในบทกวีเื่ 《洛神赋》ในยุคสามก๊กของจีน
[3] ดอกถานฮวา (昙花) คือดอกโบตั๋นชนิดหนึ่ง นำมาใช้อธิบายถึงความสวยงามที่เกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ ดอกถานฮวาเป็คนละพันธุ์กับดอกโบตั๋นที่คนส่วนมากรู้จัก ด้วยเป็ดอกไม้ที่จะบานเฉพาะ่กลางคืน และบานเพียง่เวลาสั้นๆ แค่คืนเดียวเท่านั้น ได้รับฉายาว่าราชินีแห่งรัตติกาล
[4] ใบหน้าที่ไร้เทียมทานของเทพในตำนานเทพเ้ากรีกโบราณ (如古希腊神话般俊逸无双的容颜) เป็วลี มีความหมายว่า หล่อคมคายจนไม่อาจมีใครมาเทียบได้ ความหล่อแบบเทพเ้ากรีกส่วนมากจะใช้บรรยายผู้ชายที่มีความหล่อเข้ม คมคาย และมีความสมบูรณ์แบบ
[5] ไม่มองว่านางเป็จาน (不把她当盘菜) เป็วลี มีความหมายว่า ไม่ให้ความสำคัญ
[6] หากนางได้รับปีกคู่หนึ่ง นางก็จะบินได้อย่างสบายๆ (给她一双翅膀就能轻飘飘地飞起来了) เป็วลี มีความหมายว่า ดีอกดีใจจนเกินหน้าเกินตา หรือแสดงอาการออกมาจนเกินจริง
[7] คันคะเยอในใจ (心痒难耐) คำอุปมา มีความหมายว่า ไม่อาจหักห้ามใจ หรือมีความคิดหรืออารมณ์บางอย่างในใจที่แปรปรวนและไม่สามารถยับยั้งได้
[8] เพียงได้พบกับฉีอ๋องก็พลาดพลั้งไปตลอดชีวิต (一见...误终生) เป็วลี มาจากบทกวีเื่ 《一见杨过误终身》มีความหมายว่า เพียงได้พบคนผู้นี้หรือเื่นี้ ก็จะส่งผลต่อชีวิตในการแต่งงานไปตลอดชีวิต นั่นคืออาจไม่ได้แต่งเพราะติดอยู่กับคนผู้นี้หรือเื่นี้นั่นเอง
[9] ถูกวางยาพิษลึกเกินไป (中毒太深) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า ตกหลุมรักคนๆ หนึ่งอย่างลึกซึ้ง จนติดอยู่ในวังวน ไม่อาจถอนตัวออกมาได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้