ในปัจจุบันทุกคนสามารถดูการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ได้ในทีวีกันหมดแล้วทำให้เื่พวกนี้ไม่ใช่เื่แปลกใหม่แต่อย่างใดผู้คนจึงหมดความสนใจในเื่นี้โดยสิ้นเชิง แต่จริงๆแล้วยอดฝีมือมักจะปะปนอยู่กับพวกเรานี้แหละ พวกเขาต้องฝึกฝนั้แ่เด็กใช้เวลาสิบกว่าปีถึงจะเห็นผลถึงแม้ไม่เหมือนยอดฝีมือในหนังที่สามารถเดินบนกำแพงหรือเหาะเหินบนอากาศได้แต่ถ้าเป็การสู้แบบหนึ่งต่อสิบแล้วล่ะก็ สามารถทำได้อย่างง่ายดายเลยเชียวล่ะ
จ้าวเถี่ยจู้มองสาวสวยที่เพิ่งเปิดโปงแผนการของพวกมิจฉาชีพดูท่าเธอแล้วฝีมือคงดีไม่ใช่เล่นเขาคาดเดาจากประสบการณ์ที่เคยทำงานเป็นักฆ่ามาก่อน ซึ่งไม่น่าจะผิดพลาดอะไร
โหวจื่อเป็คนแรกที่เริ่มลงมือก่อน มันกำหมัดและเหวี่ยงออกไปเต็มแรง เฮ้อไม่เป็มืออาชีพเอาเสียเลย จ้าวเถี่ยจู้ส่ายหัวอย่างอ่อนอกอ่อนใจมันเหวี่ยงออกไปทั้งตัวแบบนั้นได้ยังไงกันด้านสาวสวยเธอเพียงแค่ก้าวเท้าขวาถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าวเพื่อเบี่ยงตัวหลบแค่นี้หมัดของโหวจื่อก็ทำอะไรเธอไม่ได้แล้ว พร้อมกันนั้นเธอก็เหวี่ยงหมัดขวาของเธอไปที่ตัวของโหวจื่อโดยไม่ให้อีกฝ่ายได้ทันตั้งตัวหมัดนี้ของเธอดูท่าคงจะโดนเข้าที่กระดูกซี่โครงของอีกฝ่ายเข้าเต็มแรงเพราะมันหมดสิ้นเรี่ยวแรงล้มลงไปกองที่พื้น น้ำหูน้ำตาก็ไหลออกมาอีกรอบ
“แหม แสดงได้ดีจริงๆ” จ้าวเถี่ยจู้หันไปชื่นชมกับการแสดงของโหวจื่อ
ขณะที่โหวจื่อล้มลงไปกองกับพื้น จ้าวเหล่าลิ่วและพรรคพวกก็ตีวงเข้ามาใกล้หญิงสาวเรื่อยๆพวกมันแน่ใจแล้วว่าหญิงสาวตรงหน้านั้นเป็มวย จึงมองหน้ากันเพื่อส่งสัญญาณให้จู่โจมพร้อมๆกัน
ด้านหญิงสาวเมื่อเห็นว่าตนโดนล้อมก็ไม่มีอาการหวาดกลัวเลยสักนิดเดียวกลับพุ่งตัวไปข้างหน้าใช้มือทั้งสองข้างรับหมัดของอีกฝ่ายไว้หลังจากนั้นจึงหันกลับไปจัดการคนที่อยู่ด้านหลังด้วยท่าทุ่ม
คนที่โดนทุ่มไม่คิดเลยว่าหญิงสาวจะมีแรงเยอะขนาดนี้ รู้เพียงแต่อยู่ดีๆตนเองก็ลอยไปบนอากาศแล้วชนเข้ากับพวกเดียวกันก็เท่านั้น
“แหมะ ท่านี้สวยจริงๆ ต้องทำให้สองคนแรกหมดแรงก่อน ทีนี้จะได้เหลือแค่สองคนมาดูกันสิว่าเธอจะใช้วิธีไหนจัดการ” จ้าวเถี่ยจู้ลูบคางของตัวเองพลางมองไปที่หญิงสาวที่กำลังต่อสู้อยู่อย่างกำลังคิดวิเคราะห์
หญิงสาวเมื่อจัดการได้คนหนึ่งแล้วเธอก็คุกเข่าลงกับพื้นเพื่อหลบขาของอีกฝ่ายที่เตะมาราวกับเธอมีตาหลังก็ไม่ปานพร้อมกันนั้นเธอก็จับขาของอีกฝ่ายไว้แล้วพลิกจนอีกฝ่ายล้มลงหน้ากระแทกพื้นหมดไปแล้วอีกหนึ่งคน หญิงสาวจัดการกับชายสองคนนี้ภายในเวลาไม่กี่วิถึงแม้ว่าโดยรวมจะดูเหมือนนานก็ตาม หญิงสาวรู้ตัวอีกทีคือตอนที่โดนหมัดของอีกฝ่ายอีกทั้งแขนก็โดนจับเอาไว้ และโดยไม่ทันตั้งตัวเธอก็ถูกเตะจนตัวลอยแต่ก็ถือว่าเธอตั้งตัวได้ไวพอสมควรเพราะเธอม้วนตัวในอากาศแล้วลงในท่าคุกเข่ากับพื้นหน้าของเธอเริ่มแดง หายใจยังไม่ทันเข้าที่ดี จ้าวเหล่าลิ่วที่เตะเธอเมื่อสักครู่ก็เดินตรงมาหาเธอพร้อมกับถือกระบองสีดำขนาดเล็กและยาวอยู่ในมือเตรียมจะฟาดลงไปที่ศีรษะของเธอ
หญิงสาวเมื่อเห็นแบบนั้นก็เบิกตาโตด้วยความใ แขนเริ่มชาจะหลบก็คงไม่ทันเพราะกระบองที่อีกฝ่ายฟาดลงมาอยู่ห่างจากเธอไม่ถึงคืบแล้ว เธอรู้สึกเสียใจเหลือเกินสองมือยังไงก็สู้สี่มือไม่ได้สินะถึงยังไงก็ถือว่าตนได้พลีชีพอย่างกล้าหาญที่สุดแล้ว
ปึง! หญิงสาวรู้สึกเพียงว่าเสียงที่ได้ยินนั้นอยู่ใกล้กับตนมากแล้วพบอีกว่าตอนนี้ในสายตามีคนเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งคนซึ่งเพิ่มมาตอนไหนก็ไม่รู้ชายที่เธอเห็นนั้นรูปร่างผอมซึ่งถูกแสงอาทิตย์บดบังจนแทบจะมองไม่เห็นว่าเขามีลักษณะอย่างไร
“ใช้กระบองกับผู้หญิงนี่มันไม่เลวไปหน่อยเหรอ” จ้าวเถี่ยจู้ใช้มือข้างหนึ่งจับไม้กระบองเอาไว้
“น้องชาย ถ้าไม่อยากตายก็หลบไป” จ้าวเหล่าลิ่วพยายามจะกระชากกระบองกลับไป
“สมัยนี้พกกระบองไปไหนมาไหนมันไม่ค่อยดีนะ ถ้าโดนคนเข้าคงจะแย่แต่ถ้าไม่โดนคนกลับไปโดนพวกต้นไม้ดอกไม้ข้างทางเข้า มันก็ไม่ดีอีกเหมือนกันส่งกระบองมานี่เถอะ”จ้าวเถี่ยจู้ใช้แรงแค่นิดเดียวก็สามารถกระชากกระบองให้มาอยู่ในมือตนได้แล้ว
จ้าวเหล่าลิ่วมองกระบองของตนที่ไปอยู่ในมืออีกฝ่ายด้วยความใที่ผ่านมาเขาเคยฝึกกับกองทัพอยู่ก็หลายปี ทุกคนรู้ว่าเขามีแรงเยอะมากเป็อันดับหนึ่งของกองทัพเลยก็ว่าได้แต่นี้กลับโดนเด็กหนุ่มรูปร่างผอมแย่งกระบองกลับไปถืออย่างง่ายดายครั้งนี้เขาคงจะเจอตอเข้าอย่างจังแล้วสินะ
“เห็นแก่พวกนายที่เล่นละครให้ผมดูงั้นผมจะมอบประตูนี้เป็ค่าตอบแทนก็แล้วกัน”จ้าวเถี่ยจู้พูดพร้อมกับใช้มือเพียงข้างเดียวขว้างประตูที่แบกไว้บนบ่าออกไปประตูถูกขว้างไปโดนจ้าวเหล่าลิ่วจนกระเด็นไปหลายเมตรแล้วล้มลงในที่สุด
หญิงสาวที่ตอนนี้เพิ่งจะมองเห็นชัดว่าคนที่ช่วยตนไว้เป็ผู้ชายแถมยังเป็ชายที่โดนพวกนั้นหลอกเสียด้วยและก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่อีกเหมือนกันที่เขาคุกเข่าลงมาตรงหน้าเธอ
“คุณเป็อะไรหรือเปล่า” จ้าวเถี่ยจู้ยื่นมือไปตรงหน้าหญิงสาวเพื่อพยุงให้ลุกขึ้น
“ไม่เป็ไร ขอบคุณนะ” หญิงสาวจับมือเขาไว้แล้วลุกขึ้นยืน
“คุณไม่ได้รับาเ็ใช่ไหม” เขาถามต่อ
“ไม่มีๆ”
“ไม่มีจริงๆ นะ?” เขาถามย้ำ
“ไม่มีจริงๆ!”
“ไม่ได้หลอกกันใช่ไหม?”
“ฉันไม่ได้หลอกคุณ พี่ชาย ทีนี้จะปล่อยแขนฉันได้หรือยัง” หญิงสาวหน้าแดงราวกับลูกตำลึงสุก
“เอ่อ ขอโทษทีๆ ผมลืมไปน่ะ ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ” จ้าวเถี่ยจู้รีบปล่อยมือหญิงสาวแล้วลูบที่ผมของตนแทน อืม มือเธอนุ่มจริงๆไม่คิดเลยว่ามือของคนที่ฝึกหมัดมวยจะนุ่มขนาดนี้เขาคิดอย่างแสนเสียดายที่ไม่สามารถจับมืออีกฝ่ายได้นานกว่านี้
ผู้ชายคนนี้นี่มันยังไงกันนะ ตอนแรกเหมือนคนอ่อนแอจนโดนคนพวกนั้นรังแกต่อมาก็เปลี่ยนเป็คนเก่งที่สามารถจัดการกับคนพวกนั้นได้แล้วตอนนี้ยังกลายเป็คนลามกที่หลอกจับมือเธออีก
“เอ่อคือ...ผมชื่อจ้าวเถี่ยจู้ แล้วคุณมีชื่อเสียงว่าอะไร”
“ชื่อเสียง? คุณนี่ตลกดีนะ” หญิงสาวพูดพร้อมกับหัวเราะออกมาซึ่งเป็เสียงที่ไพเราะราวกับกระดิ่งเลยทีเดียว “ฉันชื่อเฉินหลิงชาน เรียกหลิงชานเฉยๆ ก็พอ”
จ้าวเถี่ยจู้มองหญิงสาวตรงหน้าที่แสดงออกถึงพลังชีวิตอันเต็มเปี่ยมอาจเป็เพราะเธอเพิ่งจะออกกำลังกายไปก็เป็ได้ ใบหน้าของเธอมีเหงื่อออกเล็กน้อยสีผิวเป็สีน้ำผึ้งแบบคนสุขภาพดี ไม่แต่งหน้ารูปร่างมีส่วนเว้าส่วนโค้งแบบที่ผู้หญิงทุกคนเห็นแล้วต้องอิจฉา โดยเฉพาะบั้นท้ายของเธอที่มีมากจนกางเกงวอร์มที่สวมดูยืดเป็พิเศษ แล้วไหนจะทรงผมที่ตัดสั้นอย่างคนมีความมั่นใจนั้นอีก
“มองอะไรเหรอ”
จ้าวเถี่ยจู้หลุดออกจากภวังค์ความคิดของตนเมื่อได้ยินที่เฉินหลิงชานถามก่อนจะพูดตอบกลับไป “เปล่าๆ แค่มองว่าหน้าคุณมีแผลหรือเปล่าก็แค่นั้น เอ่อเพราะคุณช่วยผมไว้แท้ๆ เลย งั้นเพื่อเป็การตอบแทน ให้ผมเลี้ยงข้าวสักมื้อนะ”
“เื่เลี้ยงข้าวคงไม่ต้องหรอกเพราะฉันยังมีธุระอีก ฉันไปก่อนนะ” เฉินหลิงชานพูดจบก็ทำท่าจะเดินจากไป
จ้าวเถี่ยจู้มองหญิงสาวที่กำลังเดินจะจากไปอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี นานๆทีเขาถึงจะเจอผู้หญิงแบบนี้สักคน จะปล่อยเธอไปง่ายๆ ก็กระไรอยู่แล้วนี่เขาจะขอเบอร์เธอยังไงดีล่ะ ระหว่างที่เขาคิดหาวิธีอยู่นั้นหัวหน้าหลีก็เดินมายืนตรงหน้าเขาและเฉินหลิงชาน พร้อมกับพนักงานรักษาความปลอดภัยอีกสิบคนแค่เห็นเขาก็รู้แล้วว่างานนี้คงอีกยาว