“เสี่ยวเฟิง”
มู่เฉินที่พุ่งทะยานมาบนอากาศรีบเข้าไปสำรวจมองมู่เฟิงอย่างรวดเร็ว เขาเอ่ยถามเด็กหนุ่มด้วยความเป็ห่วงว่า “เ้าไม่เป็อะไรใช่หรือไม่?”
“ไม่เป็อะไรขอรับ โชคดีที่มีเสี่ยวเทียนอยู่ด้วย”
มู่เฟิงส่ายหน้า เมื่อเห็นดังนั้นมู่เฉิน มู่เยี่ยและคนอื่นๆ ต่างก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก จากนั้นพวกเขาก็มองไปยังงูเจียวสีขาวที่อยู่ใต้เท้าของมู่เฟิง แน่นอนว่าเ้าสิ่งมีชีวิตตัวนี้ทำให้พวกเขารู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
“นี่คงเป็งูเจียวที่เล่าขานกันในตำนานสินะ นึกไม่ถึงว่าเ้าจะมีโชคชะตาที่สามารถสยบอสูริญญาตัวนี้ได้”
ผู้าุโมู่หวากล่าวออกมาด้วยความประหลาดใจ
มู่เฟิงยิ้มบางและไม่ตอบอะไรกลับไป เขาะโลงจากหลังของเสี่ยวเทียน ก่อนที่ร่างของเสี่ยวเทียนจะหดเล็กลง และกลายเป็งูสีขาวพันรอบแขนของมู่เฟิง
“ครั้งนี้จะต้องเป็มือสังหารจากจวนเป่ยอ๋องอีกแน่ หึ เ้าคนผู้นี้ช่างชั่วร้ายนัก ยังไม่คิดจะวางมืออีกอย่างนั้นรึ หรือว่าเขาจะรู้ถึงตัวตนของเ้าแล้ว?”
มู่เยี่ยเอ่ยออกมาด้วยความสงสัย
“คงไม่ใช่หรอกขอรับ ข้าคิดว่าบางทีอาจจะเป็เพราะพร์ที่ข้าแสดงออกมาในวิหารสลักลายมันไปกระตุ้นความกลัวของพวกเขามากกว่า ดังนั้นพวกเขาจึงส่งคนมาสังหารข้า”
มู่เฟิงส่ายหน้าพลางกล่าวสิ่งที่ตนคาดเดาออกมา และแน่นอนว่าสิ่งที่เขาคาดเดานั้นถูกต้อง
“พวกเขาไม่้าให้ตระกูลมู่ของเรามีความหวัง แต่พรุ่งนี้ทางสำนักศึกษาราชวงศ์จะเปิดรับศิษย์แล้ว ถึงเวลานั้นพวกเราก็ไม่จำเป็ต้องเกรงกลัวพวกเขาอีกต่อไป หากว่าเ้าเข้าศึกษาในสำนักศึกษาราชวงศ์แล้ว คราวนี้คงเกินอำนาจที่หนานหาวจะจัดการได้”
มู่เฉินกล่าวอย่างเ็า “ไปกันเถอะ กลับจวนกันก่อน”
จากนั้นกลุ่มคนทั้งหมดก็กลับไปยังจวนตระกูลมู่
เช้าวันรุ่งขึ้น มู่ขวงและไป๋จื่อเยว่มาหามู่เฟิงั้แ่เช้าตรู่ เพราะวันนี้เป็วันที่ทางสำนักศึกษาราชวงศ์เปิดรับศิษย์
เวลานี้ที่ลานจัตุรัสใหญ่ใจกลางเมืองหนานหลิงกำลังพลุกพล่านไปด้วยผู้คน เนื่องจากมีผู้คนจำนวนหลายแสนคนมารวมตัวกันที่นี่ ดังนั้นบริเวณโดยรอบจึงมีเสียงอึกทึกและเสียงพูดคุยเซ็งแซ่ดังออกมาไม่หยุด เป็สถานการณ์ที่ค่อนข้างวุ่นวายอย่างยิ่ง
บรรดาตระกูลใหญ่แต่ละตระกูลต่างก็พาศิษย์ในตระกูลของตนที่อยู่ในวัยอันเหมาะสมมารวมตัวกันที่นี่ เพื่อเตรียมตัวเข้าร่วมการสมัครเป็ศิษย์สำนักศึกษาราชวงศ์
กลางจัตุรัสมีแท่นสูงเหนือพื้นตั้งอยู่ ซึ่งตอนนี้ก็มีกลุ่มคนจากสำนักศึกษาราชวงศ์อยู่บนนั้น ในหมู่พวกเขามีคนรุ่นเยาว์จำนวนหลายสิบคน และมีชายวัยกลางคนจำนวนสามคนซึ่งสวมใส่ชุดคลุมสีน้ำเงิน นอกจากนี้ด้านหลังของพวกเขายังมีเสาหินสีขาวน้ำนมขนาดใหญ่ตั้งอยู่ นั่นคือเสาหินวัดระดับปราณ
ในกลุ่มบัณฑิตของสำนักศึกษาราชวงศ์ที่อยู่บนแท่น มีคนผู้หนึ่งอายุราวสิบเก้าปี ใบหน้าหล่อเหลา แต่ดวงตาของเขากลับจมอยู่ในความมืดมนเล็กน้อย คนผู้นี้คือซั่งกวานเชียนจื้อ
บรรยากาศที่แผ่ออกมาจากตัวซั่งกวานเชียนจื้อให้ความรู้สึกกระตือรือร้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง เขาเข้าฝึกฝนในสำนักศึกษาราชวงศ์มาเป็เวลาสองปีแล้ว เวลานี้วรยุทธ์ของเขาอยู่ในระดับจื่อฝู่ขั้นหก ซึ่งแข็งแกร่งกว่าเมื่อสองปีก่อนมาก
“มู่เฟิง น่าเสียดายที่เ้าตายไปแล้ว ไม่อย่างนั้นคราวนี้เ้าคงได้อับอายต่อหน้าคนทั้งเมืองหลวงอย่างแน่นอน”
ซั่งกวานเชียนจื้อพึมพำกับตัวเอง
ในบรรดาผู้าุโทั้งสาม ยังคงมีจ้าวเหิงรวมอยู่ในนั้นด้วย ซึ่งคนผู้นี้คือคนที่เคยดูถูกมู่เฟิงและได้ทำข้อตกลงกับมู่เฟิงเอาไว้เมื่อสองปีก่อน
แต่ตอนนี้เขาได้หลงลืมมู่เฟิงไปแล้ว เพราะคิดว่าเด็กคนนั้นตายไปแล้ว
บรรดาศิษย์รุ่นเยาว์จากตระกูลใหญ่ต่างก็มารวมตัวกันในลานจัตุรัส นอกจากนี้ยังมีผู้ใหญ่อีกจำนวนไม่น้อยที่มาดูสถานการณ์ เวลานี้ทุกคนต่างก็เหลือบมองไปทางกลุ่มคนของตระกูลมู่ที่มีศิษย์รุ่นเยาว์มาเข้าร่วมราวยี่สิบคน ซึ่งในกลุ่มคนเ่าั้ก็มีคนผู้หนึ่งที่สามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนได้เป็อย่างดี เขาสวมใส่ชุดคลุมสีดำ รูปร่างสูงโปร่ง เส้นผมของเขามีสีขาวราวกับหิมะ นอกจากนี้เขายังสวมใส่หน้ากากสีเงินปิดบังใบหน้าเอาไว้ครึ่งหนึ่ง
“เฮ้ เ้าเคยได้ยินเื่ของเฟิงเย่ผู้นั้นหรือไม่ ข้าได้ยินมาว่าเขามีพร์ด้านการสลักลายเส้นด้วย อายุเพียงสิบเจ็ดปีแต่สามารถสลักลายเส้นโอสถและเครื่องรางได้ถึงขั้นสองแล้ว นอกจากนี้เขายังได้คารวะท่านจ้าววิหารสองคนเป็อาจารย์ด้วย”
กลุ่มเด็กสาวจากตระกูลหนึ่งหันไปมองทางมู่เฟิงก่อนจะกระซิบกระซาบกัน สายตาที่เหลือบมองไปทางเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ข้าเองก็ได้ยินมาเช่นกัน เหตุใดก่อนหน้านี้ข้าถึงไม่รู้กันนะว่าในตระกูลมู่มีอัจฉริยะเช่นนี้อยู่ เฟิงเย่ผู้นี้มีผมสีขาวั้แ่อายุยังน้อย ทั้งยังสวมใส่หน้ากากเอาไว้ตลอดเวลา ข้าว่าหน้าตาของเขาคงจะอัปลักษณ์มากจนไม่้าให้ใครพบเห็นเป็แน่ คิกๆ”
“อย่าได้พูดจาเหลวไหล คนที่มีพร์ด้านการสลักลายเส้น รูปร่างหน้าตาของเขาจะเป็อย่างไรนั้นไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือพร์ หากในอนาคตเขาสามารถกลายเป็นักสลักลายเส้นขั้นสามได้ คนอย่างข้ากับเ้ายังเทียบอะไรกับเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ”
หลายคนต่างก็เหลือบมองไปยังเด็กหนุ่มผู้สวมใส่หน้ากากสีเงินด้วยความประหลาดใจระคนอิจฉาในพร์ของเขา
ลำพังเพียงผู้ที่มีพร์ด้านการสลักลายเส้นก็นับว่าน่าอิจฉาแล้ว ดังนั้นไม่จำเป็ต้องกล่าวถึงยอดอัจฉริยะในบรรดาผู้มีพร์อย่างเขาเลย
การแข่งหลอมโอสถระหว่างเฟิงเย่และจางเฉวียนตั้นนั้นเกี่ยวพันกับความขัดแย้งระหว่างจวนเป่ยอ๋องและตระกูลมู่ ดังนั้นเื่นี้จึงดึงดูดความสนใจของกองกำลังกลุ่มอื่น ด้วยเหตุนี้ชื่อของเฟิงเย่จึงแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว
หลายคน้าตรวจสอบความเป็มาของเฟิงเย่ เพียงแต่อีกฝ่ายนั้นลึกลับเกินไป แม้แต่บรรดาศิษย์ในตระกูลมู่ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลยแม้แต่น้อย พวกเขาทราบเพียงว่าอีกฝ่ายปรากฏตัวขึ้นในตระกูลอย่างกะทันหันเท่านั้น
ในบรรดาศิษย์รุ่นเยาว์ของตระกูลมู่ มีหลายคนมองตามหลังเด็กหนุ่มด้วยสายตาที่ซับซ้อน เพราะมันมีทั้งความรู้สึกหวาดหวั่น ประหลาดใจและความอิจฉา
เฟิงเย่ผู้นี้ลึกลับมาก ไม่มีใครรู้ความเป็มาของเขาเลยสักคน!
“ได้ยินข่าวมาว่าตระกูลมู่มีนักสลักลายเส้นอัจฉริยะผู้หนึ่ง เหมือนว่าเขา้าจะเข้าศึกษาในสำนักศึกษาราชวงศ์ของเราด้วย นี่นับว่าเป็ข่าวดี”
ในบรรดาผู้าุโทั้งสามของสำนักศึกษาราชวงศ์ มีผู้าุโร่างท้วมคนหนึ่งกล่าวขึ้นอย่างอารมณ์ดี
“ถูกต้อง สำนักศึกษาของเรายังนับว่าขาดแคลนอัจฉริยะด้านการสลักลายเส้น ได้ยินมาว่าเขาอายุเพียงสิบเจ็ดปีเท่านั้น แต่กลับสามารถบรรลุการสลักลายเส้นขั้นสองได้แล้ว และยังเชี่ยวชาญทั้งศาสตร์โอสถ ศาสตร์เครื่องราง นับว่าเป็อัจฉริยะที่พบเห็นได้ยาก”
สตรีในชุดกระโปรงสีน้ำเงินก็หัวเราะออกมาเช่นกัน
“ตระกูลมู่ช่างโชคดีนัก ไม่รู้ว่าพวกเขาไปได้อัจฉริยะเช่นนี้มาจากที่ใด แต่ข้าคิดว่าอัจฉริยะเช่นนี้ทางตระกูลมู่คงไม่อาจรักษาเอาไว้ได้”
จ้าวเหิงแค่นยิ้มออกมาก่อนจะพูดจาเสียดสีอีกฝ่าย
ผู้าุโอีกสองคนไม่ได้กล่าวอะไรออกมามากนัก พวกเขาเข้าใจดีว่าจ้าวเหิงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับท่านอ๋องหนานหาว ดังนั้นอีกฝ่ายจึงไม่ชอบใจคนตระกูลมู่
“เฮ้อ กล่าวถึงตระกูลมู่แล้วข้ายังนึกเสียดายเด็กหนุ่มที่มีพร์กระดูกิญญาที่ชื่อมู่เฟิงผู้นั้นอยู่เลย หากเส้นลมปราณของเขาไม่ถูกทำลาย เกรงว่าเวลานี้ความแข็งแกร่งของเขาคงสามารถเอาชนะบรรดาศิษย์คนอื่นได้แล้ว”
ผู้าุโร่างท้วมทอดถอนใจ
สตรีในชุดกระโปรงสีน้ำเงินก็ทอดถอนใจออกมาเช่นกัน นางพยักหน้าอย่างเห็นด้วย คนทั้งสองอดไม่ได้ที่จะเหลือบหางตามองไปทางจ้างเหิง พวกเขายังจำได้ว่าระหว่างทั้งสองฝ่ายนั้นมีข้อพิพาทษาต่อกัน
“ป่านนี้เด็กคนนั้นคงกลายเป็โครงกระดูกไปแล้ว ไม่ว่าจะมีพร์ล้ำเลิศเพียงใดสุดท้ายก็เป็เพียงตัวตลกที่ตายไปแล้วผู้หนึ่งเท่านั้น”
จ้าวเหิงเอ่ยเสียงเรียบ
“ตายไปแล้ว?”
ทั้งสองผู้าุโต่างตกตะลึงกับเื่นี้ แต่พวกเขาไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกมา
บนอาคารสูงใกล้กับลานจัตุรัสของเมืองหนานหลิง
“จะมีงานไหนที่มือสังหารของเ้าทำให้ข้าพอใจได้บ้าง?”
เมื่อเหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มผมขาวที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน หนานหาวก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอันเย็นะเื
“ท่านอ๋อง โปรดอภัยให้กระหม่อมด้วย กระหม่อมเองก็คาดไม่ถึงว่าเขาจะมีอสูรพิทักษ์คอยปกป้อง”
ชายฉกรรจ์ร่างเตี้ยกล่าวด้วยเสียงเบาหวิว ร่างกายของเขากำลังสั่นเทาด้วยความกลัว
“หึ ครั้งนี้ข้าจะไว้ชีวิตสุนัขอย่างเ้าสักครั้ง ไสหัวไป!”
หนานหาวตวาดอย่างเ็า ชายฉกรรจ์ร่างเตี้ยผู้นั้นรีบก้มหัวและถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว
“ท่านอ๋อง กระหม่อมเกรงว่าเวลานี้คงไม่มีโอกาสสังหารเขาแล้ว ไม่สู้เราลองดึงเขาเข้ามาเป็พวกเดียวกันดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้สืบสายเืจากตระกูลมู่มาโดยตรง เฟิงเย่ผู้นั้นอายุยังน้อย หากว่ามีสิ่งที่สามารถล่อลวงใจเขาได้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะย้ายมาอยู่ฝั่งเรา หรือบางทีเพียงอธิบายถึงสถานการณ์ของตระกูลมู่ให้เขาเข้าใจ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะยอมแปรพักตร์มาอยู่กับพวกเราก็ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
ต้วนเชียนโหมวออกความเห็น
หนานหาวหรี่ตาลง จากนั้นก็พยักหน้าและกล่าวว่า “วิธีนี้ก็นับว่าไม่เลว หากสามารถแย่งตัวอีกฝ่ายมาได้ คราวนี้ตระกูลมู่คงเสียหายไม่น้อย ฮ่าๆ เื่นี้ข้ามอบหมายให้เ้าไปจัดการ เด็กหนุ่มที่มีกำลังวังชาเช่นนี้ไม่มีใครไม่ชื่นชอบหญิงงาม ส่งหญิงงามซีเจียงสองคนที่ข้าได้รับมาจากซีเป่ยไปให้เขา”
“กระหม่อมน้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
ต้วนเชียนโหมวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เวลานี้บรรดาศิษย์จากตระกูลใหญ่ต่างก็เริ่มทยอยทดสอบพร์ปราณกระดูกของพวกเขาแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้